|
||||
สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
โดย ทีม สมอ. ตอน... 30 ปีแห่งการงานของพ่อท่าน |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 230 ฉบับ เดือนธันวาคม 2543 |
|||
|
||||
อโศก เพื่อมวลมนุษยชาติ เป็นอุดมการณ์สูงสุด ในการกอปรก่อ พุทธศาสนา ของสมณะโพธิรักษ์ ๓๐ ปีแห่งการงานของพ่อท่าน ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ ยืนยัน .......อาตมาทำให้คนนี่แหละ สามารถเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนแนววิถี การดำเนินชีวิต การดำรงชีวิต เปลี่ยนแปลงแนวคิด เปลี่ยนความรู้ความเห็น เปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ........ สร้างคนพันธุ์ใหม่ ที่มีคุณค่าสาระแก่โลก!
คุณภาพของศาสนาพุทธนั้น ไม่ได้สอนให้คนเห็นแก่ตัว หรือ เห็นแก่สิ่งที่เป็นภพ เป็นชาติ ที่ไปติดอยู่ในภวังค์ อยู่อย่างสงบนิ่ง ไม่รู้ไม่เห็นโลก เหมือนปิดทวารแท้ อย่างศาสนาฤาษีเดียรถีย์ต่างๆที่เป็นมา ศาสนาพุทธ ไม่ได้มีลักษณะอย่างนั้น แต่มีลักษณะเปิดโล่งเปิดกว้าง รู้จักโลก หรือ มีโลกวิทู จิตใจของคนที่ปฏิบัติ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุแล้ว จะเป็น โลกุตรจิต เป็นจิตที่อยู่ เหนือโลก อย่างที่ไม่ถูกอำนาจโลก อำนาจโลกีย์ ไม่ว่าลาภ ยศ สรรเสริญ หรือ โลกียสุข หรือ กิเลสทางกามก็ดี ทางอัตตามานะก็ดีครอบงำ ถ้าปฏิบัติ อย่างถูกทางแล้ว จะไม่ถูกครอบงำมาก กระทั่ง ลดลงไปๆ จากมากเหลือน้อยลงๆ จนกระทั่ง ครอบงำไม่ได้เลย แล้วก็จะเป็นคนรู้จักโลก รู้เท่าทันโลก และ สามารถ ช่วยคนในโลกได้ โดยตนเองก็พ้นทุกข์ อย่างแท้จริงด้วย เนื้อหาศาสนาของ พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธถูกเข้าใจผิดว่า เหมือนฤาษี ที่หนีสังคม ปลีกแยกไปเฉพาะตนไปนั่งสะกดจิต หลับตา ปฏิบัติศีล ก็เพียงแต่ เป็นการพยายามกดข่มกันไป โดยเข้าใจว่าได้ผลแค่ ทางกายกับวาจา เท่านั้น เป็นเพียงสำนึกส่วนนอก ที่หยั่งไม่ถึงจิตใจของตนเอง ไม่สามารถอ่านรู้เหตุ จนถึงอนุสัย, อาสวะจริง ไม่สามารถวิจัยเวทนาในเวทนา จิตในจิต อย่างแตกฉานจริง แต่กดข่มใจไว้เท่านั้น หรือ รู้อารมณ์ได้บ้างก็ไม่ลึกซึ้ง แตกฉาน เพียงแค่ฝึกฝน ให้มีความเคยชินในการทำดี ทำดี อย่าไปทำชั่วนะ แต่ก็ไม่รู้จักกิเลส ต้นตอ จึงไม่สามารถดับกิเลส ตัณหาอุปาทาน ได้สิ้นเกลี้ยง สัมบูรณ์ด้วย วิมุติญาณทัสสนะ มันก็เลยไม่จริงไม่จังเท่าไหร่ แม้จะพอมีประโยชน์บ้าง ก็เหมือนหลายๆ ศาสนา แต่ก็ยังสู้หลายๆ ศาสนาที่เขาทำสมาธิ สะกดจิต กันอย่างหนักๆ หรือ ศาสนาที่เขามีพระเจ้า เป็นเครื่องจูงใจไม่ได้ด้วยซ้ำไป ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธ จึงไม่มีประสิทธิภาพในการช่วยคน ให้เป็นคนที่ช่วยสังคม หรือ แม้แต่ช่วยตัวเองได้ในแง่การอดทน ต่ออำนาจกิเลส ก็ยังสู้ศาสนาฤาษีไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงมีผลอย่างที่เห็นนี้ พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยมีมากถึง ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่คุณภาพของชาวพุทธสู้ฤาษี หรือ ชาวศาสนาที่นับถือ พระเจ้า ก็ยังไม่ได้ กระทั่ง แม้ในระดับผู้บริหาร ก็เห็นแสดงความโลภ ความโกรธ แสดงความอาฆาตมาดร้าย แสดงความรุนแรงให้เห็นๆอยู่ โดยเฉพาะความโลภ โลภได้ถึงขนาดทุจริต หรือ ทำอย่างน่าเกลียดน่าชัง แม้แต่ในสายของด้านนักบวช ก็แสดงออกชัดๆ แจ้งๆ ถึงความไร้ประสิทธิภาพ น่าอดสูใจเหมือนกัน ถ้าถามว่า อาตมาภาคภูมิใจ ที่ได้ทำอะไรในชาตินี้ ก็เรื่องนี้แหละ ที่สามารถ ทำให้คน เข้าใจศาสนาพระพุทธเจ้าแล้ว ในช่วงระยะเวลาที่อาตมา ทำงานมาแค่ ๒๐-๓๐ ปี ก็ได้ผลเป็นกอบเป็นกำ เป็นกลุ่มเป็นหมู่ จนเกิดเป็น วัฒนธรรม เป็นแบบวิถีการดำเนินชีวิต ที่เข้าใจโลกุตรธรรม ไม่หลงจนเป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ขึ้นมาได้ตามลำดับ ชนิดเป็นจริง และ จะถาวรยั่งยืนต่อไป อย่างที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ เป็นรูปธรรมอยู่บ้างในทุกวันนี้
นัยะที่สูงขึ้นคือ ทำให้ดียิ่งขึ้น ฉะนั้น ที่พูดว่า เราไม่สอนคนชั่ว แต่สอนคนดี ให้ยิ่งๆ ขึ้นนั้น พูดอย่างนั้น ก็เข้าท่าอยู่เหมือนกัน คือถ้าคนหยาบจริงๆ คนที่ร้ายแรงจริงๆ ซึ่งต้องปรับปรุงแก้ไขด้วยวิธีแรง ด้วยวิธีลงโทษ กำราบกันหยาบๆ เหี้ยมๆนั้น เรายังมีแรงไม่พอ หยาบไม่พอ เราใช้วิธีลงโทษรุนแรง อะไรไม่ไหว เพราะฉะนั้น เราไม่อยู่ในฐานะที่จะไปแก้ไข ปรับปรุงคนที่หยาบมากๆ ต้องให้ออกไปอยู่กับ พวกที่หยาบด้วยกัน ถึงกับลงมือลงไม้ หรือ เล่นแรงกัน ให้เข็ดให้หลาบ โดยปรับปรุงแก้ไขกันมา ชั้นหนึ่งก่อน แต่ถ้าไม่ถึงขนาดขั้นที่ว่ามา ยังมีสำนึกที่ดี เราก็แก้ไข และ ทำงานกับคนพวกนี้แหละมาก เรามีสูตรที่ใช้อ่านพัฒนาการ สู่ความประเสริฐเป็นขั้นๆ คือ ๑. ดี ๒. ดีกว่า ๓. ดีขึ้น ๔. ดีแท้ ๕. ดีมากๆ ๖. ดีครบถ้วน ๗. ดีที่สุด ๘. ดีสัมบูรณ์
ขอให้พวกเราใช้ปัญญาไตร่ตรอง และ ปรับลักษณะที่ไม่แคร์ใคร จนกลายเป็น อัตตามานะ ถือดี ถือตัว และ ขัดแย้งกัน ทำอะไรก็ไม่ลงรอย ไม่โอนอ่อนเข้าหากัน ต่างคนต่างทำ ตกลงกันเป็นมติหมู่แล้ว ก็ยังไม่เอาตาม ควรใช้ปัญญาถอดถอน อย่าลำเอียงเข้าข้างตน เราต้องแคร์คนอื่น ถ้าเขาทำไม่สมใจเรา เรายังรู้สึกไม่ค่อยชอบ รู้สึกเสียใจ รู้สึกแข็งกระด้างขึ้นมา แล้วคนอื่นล่ะ ถ้าเราทำอะไรไม่แคร์ จนเขาได้รับผลกระทบ เขาจะรู้สึกอย่างไร มันน่าจะคำนึงตรงนี้ เขาไม่แคร์เรายังไม่สบายใจ ถ้าเราไม่แคร์ เขาก็ไม่สบายใจเหมือนกัน ต้องรู้จักมี เยื่อแห่งความสัมพันธ์ในโลกกันบ้าง คนเราจะเห็นใจกันได้ ไม่ใช่นั่งเพ่งดูใจกันง่ายๆ แต่ต้องดูจากกิริยา ดูจากพฤติกรรม ดูจากการคบคุ้น ดูจากองค์ประกอบทั้งหลายทั้งปวง อย่าให้เขา เข้าใจเราผิดว่าเป็นคนไม่มีน้ำใจ แต่ก็ไม่ใช่ประเล้าประโลม กันมากเกินไป เราควรรู้ประมาณว่า เขาควรจะได้อะไร มีขีดคั่นแค่ไหน ขอให้พวกเราพยายามปรับปรุงอันนี้กัน เพราะเป็นพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ ขอฝาก ให้พวกเรา ไปขยายต่อ ๓๐
ปีแห่งการงานของพ่อ แม้จะเกิดผลงานเป็นรูปธรรมให้เห็นมากมาย
|
||||
![]() |
||||
|
||||