>สารอโศก

 

พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๒๕
และโครงการพัฒนาประชาธิปไตย
ด้วยการเมืองระบบบุญนิยม ครั้งที่ ๑/๒๕๔๔

 

พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๒๕ และโครงการพัฒนาประชาธิปไตย ด้วยการเมือง ระบบบุญนิยม ครั้งที่ ๑/๒๕๔๔ วันที่ ๔-๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ณ ชุมชนศาลีอโศก อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์

ปีนี้เป็นปีที่ ๒ ที่งานพุทธาภิเษกฯ ย้ายมาจัดในเดือนกุมภาพันธ์ จากเดิมจัดในช่วงเมษายน เดือนที่ร้อนที่สุดของเมืองไทย ถึงอย่างนั้น บรรยากาศร้อนอบอ้าว แสงแดดแผดเผาในช่วงกลางวัน ก็ยังคงดำรงเอกลักษณ์ ของชุมชนศาลีอโศก เป็นบททดสอบให้นักปฏิบัติธรรม ฝึกฝนปฏิบัติไปพร้อมๆฝึกเข้ม กับกฎระเบียบ ถือศีล ๘ ตื่นตีสามครึ่ง ทานอาหารมื้อเดียว ไม่ใส่รองเท้า ไม่นอนกลางวัน รับฟังการอบรมธรรมะ ตั้งแต่ภาคทำวัตรเช้า ตี ๓.๓๐-๕.๓๐ โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ในหัวข้อ อีคิวโลกุตระ ธรรมะภาคก่อนฉัน ๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. ธรรมะภาคบ่าย ๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น. รับฟังธรรมะจากสมณะ และสิกขมาตุเกจิฯ ช่วงก่อนรายการภาคบ่าย ใครจะฟังธรรมเพิ่มเติม ก็มีรายการ ธรรมะสำหรับคนใหม่ และธรรมะขึ้นกระดานดำ หรือต้องการปรึกษา พูดคุยกับสมณะและสิกขมาตุอีก ก็ไปได้ที่เขตเกจิฯ ๖ โมงเย็นถึงสองทุ่ม เป็นรายการภาคค่ำ สัมภาษณ์ปฏิบัติกร แล้วแยกย้ายไปนอน เตรียมตัว รับฟังธรรมในเช้าวันใหม่...

ภาคทำวัตรเช้า โดยพ่อท่านโพธิรักษ์
ไอคิว(IQ) หมายถึง ความฉลาดทางเชาวน์ไว ไหวพริบหรือความฉลาดทางความคิด ใครๆก็อยากมีไอคิวสูง เพราะเชื่อกันว่า คนที่มีไอคิวสูง คือคนฉลาดเฉลียว เป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่จะได้เปรียบ แต่โดยสัจจะแล้ว ใครๆก็รู้ว่า ผู้ได้เปรียบอยู่ ไม่ใช่คนดีคนเจริญเลย ผู้เสียสละต่างหากคือคนดี

ใครสามารถหยั่งเข้าไปในจิตตนเอง จนรู้เหตุนั้นๆ ถูกตัวตนของมัน สามารถลดละ หรือดับเหตุในอารมณ์ของตน ได้เข้าใจอารมณ์ของตน แล้วปรับอารมณ์ให้เปลี่ยนไป เป็นความสุขที่ดี เป็นความเบิกบานร่าเริง เป็นความมีคุณค่าประโยชน์ ซึ่งเป็นการฉลาด ในการปรับอารมณ์ ใช้อารมณ์ได้ดีขึ้นๆ คนที่มีความสามารถเช่นนี้ คือ คนมีอีคิว(EQ) หรือคนมีความฉลาดทางอารมณ์

การก้าวหน้าขึ้นไปรู้เรื่องอีคิว(EQ) หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ หรือความรู้สึก รู้จักอารมณ์ของตน สามารถปรับปรุง อารมณ์ของตนให้พัฒนา เจริญขึ้นเป็นอารมณ์ที่ดีได้ และรู้จักอารมณ์ของคนอื่น ปรับตนเองให้ดูดีกับคนอื่นได้ มีความเห็นใจ และมุ่งหมายปรารถนาดี กับอารมณ์คนอื่น

ผู้มีความฉลาดแบบไอคิว ซึ่งฉลาดแค่ทางเชาวน์ไว ไหวพริบ ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ แย่กว่า ความฉลาดแบบอีคิวที่ยังพอฉลาด ทางอารมณ์อยู่บ้าง แต่ถ้าไม่ศึกษาให้ถึงขั้นโลกุตตระ แม้จะฉลาดทางอารมณ์ ก็ไม่สามารถจะพ้นตนเอง ลวงตนเองไปได้ง่ายๆ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความฉลาด ไอคิว หรือแม้แต่อีคิว มันอยู่ที่ความมีธรรมะ หรือมีโลกุตรธรรม แท้จริงหรือไม่

หากผู้ฉลาดมีโลกุตรธรรมแท้ ย่อมจะเป็น ผู้เห็นแก่ตัวน้อยลงๆ ที่สุดถึงขั้นไม่เห็นแก่ตัวเลย หรือเป็นคนที่กิเลสโลภ-โกรธ-หลง ลดลงน้อยลงจนหมด ความฉลาดเช่นนี้ เป็นความฉลาดที่ดี ที่เรียกว่า ปัญญา มิใช่ความฉลาดที่เลว ที่เรียกว่าเฉโก เพราะเป็นความฉลาด ที่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ ในเรื่องของจิตวิญญาณ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า จึงได้เรียนรู้อาการลักษณะอื่นๆ ของจิตวิญญาณ ซึ่งมีทั้งดีทั้งเลว พิสดารหลากหลาย แล้วสามารถทำลายอาการเลวในจิตวิญญาณ เสริมสร้างอาการดี ในจิตวิญญาณอย่างมีผลจริง

ภาคทำวัตรเช้า มีความลึกซึ้งมาก แม้จะสรุปย่อ ก็ยังครอบคลุมเนื้อหาได้ไม่หมด ขอเชิญติดตามรายละเอียดได้ ในหนังสือ หรือเท็ปชุด อีคิวโลกุตระ.....

วันเปิดงาน ๔ กุมภาพันธ์ ๔๔
เวลา ๐๙.๐๐ น. นายวิชัย บุญภักดี นายอำเภอไพศาลี มาเปิดงานและพูดคุยกับญาติธรรม
"รู้สึกชื่นชมยินดี ที่ทุกท่านมาร่วมฝึกฝน ทำสติอารมณ์ให้สะอาดผ่องใส ตามแนวทางของพระพุทธองค์ น้อยคนนักที่จะมีโอกาส ได้ทำเป็นกิจจะลักษณะเช่นนี้ ขอให้ทุกท่านอยู่ที่นี่ตลอด ๗ วัน ด้วยความสุขและปลอดภัย"
หลังจากนั้น พ่อท่านแสดงธรรม และพาปฏิญาณตน "อาตมาทำงานมา ๓๐ ปีแล้ว ปี ๔๔ ขึ้นทศวรรษที่ ๔ พวกเรายังมีจุดบกพร่อง จะต้องแก้ไขให้มีความเจริญขึ้น หลายคนมั่นใจ พึ่งแก่ เจ็บ ตายกันได้ ซึ่งต่างจากทุนนิยม ที่เอาลาภ ยศ ตำแหน่ง หน้าที่เป็นหลักประกัน แล้วก็เลยติดในโลกียะนั่นเอง พวกเราไม่ต้องมีลาภ ไม่ต้องสะสม ขยัน สร้างสรร กรรมเป็นของตน ขาดเหลืออะไรก็พึ่งสาธารณโภคี"

ช่วงบ่าย แสดงธรรมโดย ส.ดินดี สันตจิตโต, ส.หม่อน มุทุกันโต, ส.ดงเย็น สีติภูโต, สม.พูนเพียร ชาวหินฟ้า มี ส.ร้อยดาว ปัญญาวุฑโฒ ดำเนินรายการ
"
เรามาละบาปทั้งปวง แต่การเห็นบาปมันไม่ง่าย เราถูกลวงหลอกว่าลำบาก จึงต้องมาฝึกฝนอบรม ปรับเปลี่ยนความเห็น ความเข้าใจให้ถูกตรง อาศัยงานนี้ชำระล้างใจ อาศัยยัญพิธี หมู่กลุ่ม ชะล้างสภาวะที่ไม่ดีทิ้งไป แล้วรับเอาสิ่งดีใหม่ๆ เข้าไป เพื่อพร้อมรับภาระใหม่ ช่วยเหลือหมู่กลุ่มได้มากขึ้น"

ภาคค่ำ สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ในชุด รพม.เร่งรัดพัฒนามวลมนุษยชาติ ดำเนินรายการโดย ส.กล้าจริง ตถภาโว คุณสู้สู้ ธาตุหินฟ้า อายุ ๔๐ ปี จบ ป.๖ เป็นสมาชิกชุมชนราชธานีอโศกมา ๓ ปี ถือศีล ๕

“รพม.ด้วยการเร่งรัดพัฒนาตนเองก่อน ดำเนินชีวิตด้วยหลักมรรคองค์ ๘ ลุยทำงานส่วนรวม ในขณะเดียวกัน ก็ดูจิตใจตนเอง แล้วลดละกิเลสไปด้วย พยายามฝึกบริหารงาน บริหารเวลาให้ดี เวลาเห็นคนอื่นท้อ เหนื่อย เฉื่อย เราก็จะต้องกระตือรือร้น ถ้าเพื่อนอินทรีย์พละอ่อน เราต้องเข้มแข็งและช่วยเพื่อน เมื่อเห็นเขาทำไม่ไหว เราต้องลุย ตายเป็นตาย”

คุณลุงลำพัน ชะเอม อายุ ๕๙ ปี จบ ป.๔ ชาวนาทุ่งเขาขาด รู้จักชาวอโศกมา ๒๐ ปี “ไปๆ มาๆ ระหว่างวัดและครอบครัว ๒ ปีที่ผ่านมา ต้องดูแลแม่บ้านที่เป็นอัมพาต ป้อนข้าวป้อนน้ำ การตัดจากครอบครัวเป็นเรื่องยากมาก ได้แง่คิดว่า ชีวิตคนเรา หอบหวงเอาไว้มากมาย แต่สุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้ แล้วเราจะไปกอบโกย หาสมบัติเงินทองมากมายไว้ทำไม เมื่อแม่บ้านเสียชีวิต ตัดสินใจ ปลดห่วงลูกหลาน เข้าวัดถือศีล ช่วยงานส่วนกลางอย่างจริงจังๆ”

คุณแก่นฟ้า แสนเมือง อบต.ตำบลกระแชง และเลขาธิการพรรคสหกรณ์

“ทำโครงการ กลุ่มกสิกรรมไร้สารพิษ เริ่มให้ชาวบ้านเก็บผักป่ามาขาย สอนเขาขาย ตั้งกฎกติการ่วมกัน กลุ่มค่อยๆเข้มแข็งขึ้น แล้วซึมซับเอาแบบอย่างของเรา โดยไม่รู้ตัว จุดแข็งของชาวอโศก คือขยัน ซื่อสัตย์ เสียสละ จุดอ่อนคือ ประสานสังคมไม่ได้ เอาจุดแข็งของเราไปทำงานช่วยสังคมภายนอก แล้วใช้จุดแข็งภายนอก มาพัฒนาเรา”

จันทร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๔๔
ภาคก่อนฉัน ลิขิตชีวิต โดย ส.มือมั่น ปูรณกโร
“จบ ม.๖ เข้ากรุงเทพฯ ไปเรียน ม.รามคำแหง ได้คบคุ้นกับชาวอโศก ถูกคะยั้นคะยอ ให้ไปร่วมจัดตั้งกลุ่มรามบูชาธรรม ได้รับเลือกให้เป็นรองประธาน และเลื่อนเป็นประธาน รวมกลุ่มกันทำอาหารมังสวิรัติขาย ในรามฯ เรียนจบทางบ้านมีปัญหา เป็นหนี้ธนาคาร ต้องกลับไปช่วยดูแลกิจการ เป็นผู้จัดการ วางแปลนเตรียมแผนงานเอง ทุกเดือนเอาเงินไปตัดหนี้ ๓ ปีหนี้หมด วันสุดท้ายเอาเงินเข้าธนาคาร รับโฉนดคืน แล้วหอบเสื้อมาสันติอโศก อยู่จนถึงทุกวันนี้.. “

“มั่นในทิศทาง” โดย ส.ผืนฟ้า อนุตตโร
“อยู่แดนอโศก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นตัว ทำกรอบตัวเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง กลัวกิเลสจะมาถูกตัวทำให้เปื้อน พยายามหาถ้ำอยู่ มาอยู่สันติอโศก ทำงานโรงพิมพ์ ต้องฝึกใหม่ แม้จะไม่ชอบก็ต้องทำ เปิดตัวกว้างขึ้น เรามีภูมิคุ้มกัน หล่อหลอมมาจากแกนใน จนสามารถรับงานได้มากขึ้น “

ภาคบ่าย “มันไม่ง่าย” โดย ส.ดวงดี ฐิตปุญโญ
“เราต้องรักษาวัฒนธรรมของเรา ทั้งเรื่องกิน-อยู่-แต่งตัว ไม่มีใครมาทำลายชาติไทย ไทหรือทาสอยู่ที่เรา วัฒนธรรมบริโภคนิยม เกิดจากกิเลสตัณหา ๓ อาชีพกู้ชาติ เป็นไปได้จริง ถ้าหากเราทำจริง กลับบ้านไป ทำบ้านให้เขียว เราต้องทำได้ ทำทั้งภายใน-ภายนอก แล้วจะช่วยพ่อท่าน กู้ชาติได้จริงๆ”

“บ่มีจะซี้บ่” โดย ส.กลางดิน โสรัจโจ
“มาในงาน พวกเราขวนขวายฟังธรรมมาก แต่พอเลิกงานไม่มาฟังธรรมเลย ทำอะไรวูบวาบไม่ต่อเนื่อง ถ้าปฏิบัติธรรมจริงจังต่อเนื่อง กิเลสก็จะค่อยๆ ตายไปจนหมด บางคนอยู่ในอาณาจักรแห่งความกลัว เลยไม่กล้าทำ ไม่กล้าทิ้ง ต้องไปหาเงินก่อนแล้วจึงทิ้ง อยากให้อดทนดูซิว่า ไม่มีแล้วมันจะตายไหม ต้องมั่นใจ-เชื่อมั่นว่า จะอยู่กับอโศกจนตาย อโศกดูแลเราได้”

“อีกหนึ่งฟากฟ้า” โดย ส.ถ่องแท้ วินยธโร
“ชุมชนในฝัน คือชุมชนที่สามารถพึ่งตนเองได้ มีเศรษฐกิจแบบพอเพียง ชาวอโศกกินและขายอาหารมังสวิรัติ แต่ผักที่ เราใช้ ยังต้องซื้อมาจากตลาด รวมถึงยาสมุนไพร ก็ยังต้องนำวัสดุส่วนใหญ่ มาจากภายนอก จึงยังไม่ไร้สารพิษบริบูรณ์ ถ้าเราปลูกเองได้ เราก็ไม่ต้องซื้อ นั่นคือการเพิ่มรายได้แล้ว เก่งกว่านั้น ผลิตเพื่อจำหน่ายให้ประชาชนด้วย”

ภาคค่ำ สัมภาษณ์ปฏิบัติกรชุด “การศึกษาเพื่อชีวิต” ส.ฟ้าไท สมชาติโก ดำเนินรายการ

คุณประเสริฐ คำแดง อายุ ๔๙ ปี เป็นคน จ.อยุธยา
“มีพี่น้อง ๑๕ คน ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะครอบครัวยากจน อายุ ๓ ขวบ พ่อแม่ยกถวายพระ อายุ ๘ ปี สอบนักธรรมตรีได้ เปิดศูนย์เลี้ยงเด็ก เป็นผู้นำชุมชน พยายามพัฒนาชุมชน รู้สึกว่าตัวเองทำให้ผืนแผ่นดินเดือดร้อน ก็พยายามชดใช้ รณรงค์ชาวชุมชน เลิกยาเสพติดสำเร็จ เริ่มทำขยะ โดย ให้แต่ละบ้านแยกขยะ เราเก็บส่งขาย จนสามารถตั้งกองทุนชุมชนได้ ๑๐ กองทุน มีเงินหมุนเวียน ๑๑ ล้านบาท “

คุณต้นเกื้อ สิงห์คำ อายุ ๒๔ ปี อดีตนักเรียนสัมมาสิกขาศีรษะอโศก จบจากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาสิ่งแวดล้อมจาก ม.รามคำแหง
“มาช่วยงานวัด ๓ ปีแล้ว เป็นเจ้าหน้าที่การเงิน ทำงานไม่มีเงินเดือน กินข้าว ๑-๒ มื้อ ไม่คิดอยากรวย หรือไปทำงานข้างนอก ตอนจบม.๖ ยังสับสน ว่าจะไปไหนดี แต่พอนานไป ได้เห็นชีวิตชาวชุมชน วัฒนธรรมชุมชน ฟังสิ่งดีๆจากผู้รู้ ก็ซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ ทำแบบนี้ จนเป็นชีวิตของเราแล้ว จะให้เลวกว่านี้ก็ทำไม่ได้แล้ว “

อังคารที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๔๔
ภาคก่อนฉัน “กสิกรรมไร้สารพิษ...ไม่ง่ายอย่างที่คิด” โดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง
“โครงการเกษตรอยู่รอด สหกรณ์กสิกรรมไร้สารพิษ พลตรีจำลอง กสิกรปลูกผัก-ไม้ผลกินเอง ไม่ต้องไปซื้อที่อื่น เหลือขายอีกด้วย ไร้สารพิษ ๑๐๐% หลังจากเลิกทำงานการเมือง ลงไปคลุกคลีกับชาวไร่-ชาวนา ต้องการพิสูจน์ว่า กสิกรรายย่อย ทำกสิกรรมไร้สารพิษ อย่างเดียว ย่อมสามารถเอาตัวรอดได้ เกษตรกรในโครงการ ต้องทำกสิกรรมไร้สารพิษอย่างเดียว ห้ามทำอาชีพอื่นเสริม ห้ามจ้างใครมาทำ ไม่มีทีวีให้ดู กสิกรรมไร้สารพิษ ไม่ง่ายแต่ทำได้ เลี้ยงตัวเองรอดแน่นอน “

ภาคบ่าย “ผลกระทบของ พ.ร.บ. ๑๑ ฉบับ ต่อประเทศชาติ” โดยคุณณรงค์ โชควัฒนา
“เมื่อก่อนต่างชาติซื้อที่ดิน คอนโดมิเนียมไม่ได้ เดี๋ยวนี้ซื้อตึกสูงๆได้หมด และมีสิทธิ์ที่จะเช่าที่ดิน ๕๐ ปีต่อได้อีก ๑ ครั้ง รวมเป็น ๑๐๐ ปี ถ้าขนเงินมา ๒๕ ล้าน มีสิทธิ์ซื้อที่ได้ ๑ ไร่ เมื่อก่อนต่างชาติไม่มีสิทธิ์ซื้อที่ดิน วันนี้ออกกฎให้เขามีสิทธิ์ซื้อ ยึดครองเป็นเจ้าของที่ดินได้ ในหมวดของอาชีพ เราเคยสงวนอาชีพบางส่วน ไว้ให้คนไทยที่อ่อนแอทำ ซึ่งรัฐบาลทั่วโลก ก็ทำอย่างนี้ เช่น ธุรกิจค้าปลีก เมื่อรัฐบาลเปิดโอกาส ให้ต่างชาติแข็งแรง มาแข่งกับคนอ่อนแอ คนอ่อนแอก็แพ้ไป ทำให้คนตกงาน “

ภาคค่ำ “สัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจมหัศจรรย์ ผู้ค้นพบเหมืองแร่พันล้าน จากกองขยะ” คุณสมพงษ์ ฟังเจริญจิตต์ ผู้ดำเนินรายการ คุณสมไทย วงษ์เจริญ อายุ ๔๗ ปี เจ้าของ บ.วงษ์พานิชย์ จบชั้นมัธยม “ทำงานล้มลุกคลุกคลานมาหลายอย่าง สุดท้าย มาจับงานค้าของเก่า เริ่มต้นด้วย ความที่เป็นคนช่างสังเกต เห็นกองขยะ เวลาคนเดินผ่านจะเอามือปิดจมูก รีบเดินหนี สังเกตแล้ว ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า นี่คือบ่อแร่ ก็ลงมือจัดการ แยกของใช้ได้และของใช้ไม่ได้ แยกไปแยกมา เหลือขยะจริงๆ ๑๗% ทำของเสียให้เป็นของดี ของเหม็นให้เป็นของหอม ต้องใช้ความอดทน มานะพากเพียร ตระเวนไปตามหมู่บ้าน รับซื้อขยะได้ ๑,๐๐๐ กก./วัน และค่อยๆขยายจุดรับซื้อ ขยายโรงงานแยกขยะ จนเป็นระบบธุรกิจรีไซเคิล ที่เข้าสู่มาตรฐาน สามารถรับขยะได้ ๘,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ กก./วัน มีสาขา ๒๓ สาขา มีเครือข่ายประชาชน ๒,๐๐๐ ครอบครัว เป็นองค์กรที่รณรงค์ เพื่อสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะในสังคมและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อมโลกด้วย “

พุธที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๔๔
ก่อนฉัน : ให้แน่เถอะน่ะ โดย ไตรมาตุ สม.นัยนา เถระวงศ์ สม.นวลนิ่ม ชาวหินฟ้า สม.ต้นข้าว อโศกตระกูล “ชาวอโศกมีหลากหลาย ใครมีความชำนาญส่วนไหน ก็ทำส่วนนั้น เราอยู่จุดไหนก็ทำตรงนั้น ทำให้จริง ทำจนเป็นผู้ชำนาญการในเรื่องนั้น จนเป็นครูไปเลย ทำอย่างไร เราจึงจะทำได้จริง ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย อยากให้ทุกคนแน่จริง กลับไปตรวจตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่อง ตั้งใจทำให้จริง เอาจริง อย่ารวนเร สร้างเผ่าพันธุ์แบบโลกุตตระ ต่อสู้โลกียะ”

ภาคบ่าย “เรียบง่ายตามวิถี(ชาวอโศก)” โดย สม.กล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล
“เรามีพ่อที่มีไหวพริบปฏิภาณ ฉลาด รู้จักจังหวะถอยรุก รู้หลบหลีก รู้ยอม รู้สู้ เราเป็นลูก ทำไมให้เขาว่าได้ว่า เป็นคนมีศีลมาก พัฒนายากกว่าคนมีศีลน้อย ถ้าเราไม่กระตือรือร้นขึ้นมา ศีลของเขาจะฆ่าเราเอง เพราะเป็นศีลแบบ สีลัพพตุปาทาน ยึด แล้วไม่เกิดไหวพริบ ปฏิภาณ ถ้าไม่ทื่อ ก็อ่อนเกินไป เป็นชั่วโมงแห่งอันตราย ระหว่างฤาษีกับพุทธ สงบผิดปกติ เฉย ทื่อ บื้อ เป็นถีนมิทธะตกภพ เราต้องวิวัฒนาการ ให้ถึงขั้นศีลที่เป็นการงาน มีความรับผิดชอบ เป็นสติปัฏฐานของการงาน” เพียรให้หนักพักให้พอ โดย ส.เพาะพุทธ จันทเสฏโฐ “ควรรีบท ความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครเล่าจะรู้ว่า จะตายในวันพรุ่ง เมื่อเพียรไปได้สักพักแล้วเจอตอ อย่าหงอ อย่าท้อแท้ อย่ายอมจำนน ตอมีไว้ทดสอบกำลังในการกระโดดข้าม และถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกไม่เบื่อหน่าย มีฉันทะ เบิกบานแจ่มใส ทำความเพียรโดยมีการพักประกอบด้วย พักในงาน ทำงานด้วยจิตมีฉันทะ ยินดี แม้งานหนักก็เป็นสุข“

ภาคค่ำ “สุดยอดกสิกรรม” ส.เสียงศีล ชาตวโร ดำเนินรายการ คุณอำนาจ หมายยอดกลาง บ้านน้ำซับ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
“ก่อตั้งกลุ่มกสิกรรมไร้สารพิษ มีการรวมกลุ่มกันของเกษตรกรในเขต ๓๒ หมู่บ้าน เขต อ.วังน้ำเขียว เป็นโครงการในพระราชดำริ มีสมาชิกกลุ่ม ๕๐๐ กว่าคน การปลูกผัก ซึ่งโดยมากเป็นผักเมืองหนาว ส่งตลาด ซึ่งมีทั้งตลาดขายตรง ขายตามห้างฯ และตลาดส่งออกนอก สมาชิกต่างประสบผลสำเร็จ มีรายได้ดี ทั้งนี้จะมีการสุ่มว่า ใช้ยาฆ่าแมลง หรือปุ๋ยเคมีหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องออกทั้งกลุ่มเลย ตอนนี้ประสบความสำเร็จมาก มีประชาชนเข้าไปดูงานมากมายในแต่ละวัน”

คุณสมหมาย หนูแดง เกษตรกรจากบ้านพุน้ำทิพย์ ต.หนองแขม อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี
“ลาออกจากราชการ(ศึกษานิเทศน์ ระดับ ๖)มาทำกสิกรรมธรรมชาติ ในเนื้อที่ ๕๐ กว่าไร่ ซึ่งเป็นดินเปิดป่าใหม่ มีความอุดมสมบูรณ์ ของอินทรียวัตถุอยู่แล้ว ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์ และมีการควบคุมระบบ ให้ธรรมชาติจัดการกันเอง โดยไม่ใช้สารขับไล่แมลง แต่จะไปขอแมลงจากศูนย์ไบโอ มาปล่อยในพื้นที่ โดยศึกษาว่า แมลงตัวไหน จัดการกับแมลงตัวไหนได้บ้าง”

ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนจากชาวนา อ.อินทร์บุรี
“ริเริ่มการทำนาโดยใช้หลักเกษตรธรรมชาติ ใช้จุลินทรีย์หมักหอยเชอรี่ หรือเศษหัวปลา ไส้ปลา ฉีดบำรุงในนา ทำให้นาข้าวอุดมสมบูรณ์ ต้นข้าวโตใหญ่ออกรวงดี ผลผลิตต่อไร่ เพิ่มเกือบเท่าตัว สูตรการทำนา โดยใช้ปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ ฉีดฟาง เวลาไถ แล้วสูบน้ำเข้า ๔-๕ วัน เริ่มไถกลบ และหว่านเมล็ดข้าวลงตาม จากนั้นปล่อยน้ำออก เพื่อป้องกันไม่ให้หอยเชอรี่ กินต้นข้าวที่กำลังโต (ถ้ามีน้ำ หอยจะกินต้นข้าวได้) จนข้าวโตขึ้นมากๆ จึงปล่อยน้ำเข้าอีกครั้ง การฉีดด้วยปุ๋ยจุลินทรีย์ ทำให้ข้าวโตสวย และออกรวงดี “

พฤหัสบดีที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๔๔
ก่อนฉัน : “โถ! แค่นี้เอง” โดย ส.ดินทอง นครวโร
“สมัยเด็กๆ ชอบฟังธรรมะ ได้ซึมซับสิ่งดีๆ มาปฏิบัติธรรม จึงมีพื้นฐานมาบ้าง กว่าจะได้มาอยู่วัด ต้องอดทนมาก อยากมาอยู่วัด แต่ภารกิจไม่สิ้นเสร็จ ฝึกน้องๆให้ทำงาน พยายามบอกตัวเอง ให้อดทนไว้ ได้มาอยู่วัด รู้สึกอิสระ เหมือนถูกปล่อย พยายามตั้งใจลดละกิเลสมา ๑๕ ปี ก็ยังได้แค่นี้ ถ้าไม่ตั้งใจ จะเป็นอย่างไร พวกเราสามารถฟันฝ่าสิ่งต่างๆมาได้ เพราะเรามีสิ่งที่ดี จึงควรรักษาสิ่งดีๆนั้นไว้ และทำดีให้ยิ่งๆขึ้นไว้ “

กู้ดินฟ้า เพื่อฟ้าดิน โดย ส.เก้าก้าว สรณีโย
“ทำไมต้องกู้ดินฟ้า เพราะดินคือแม่ กำลังถูกทำลาย ดินคือสิ่งที่เราต้องอาศัย จึงควรรักษา ดินดีคนดีด้วย เราหวังอะไรไม่ได้ จากระบบทุนนิยม สังคมตกเป็นทาสวัตถุนิยม ทางรอดของชาติ คือชุมชนเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ อโศกคือทางรอด เรามีคุณธรรม มีจิตใจที่เสียสละ เราต้องมีคุณภาพที่แข็งแรง สามารถผลิตอาหารเองได้ ทำกสิกรรมไร้สารพิษ ต่อไปทุกพุทธสถาน จะนับถอยหลัง ไม่กินผัก(สารพิษ)ตลาด”

ภาคบ่าย “เข้าหาแก่นธรรม” โดย ส.เดินดิน ติกขวีโร ส.บินบน ถิรจิตโต ส.ฟ้าไท สมชาติโก สม.รินฟ้า นาวาบุญนิยม เป็นการตอบปัญหาแทนพ่อท่าน เนื่องจากลูกๆ เกรงพ่อท่านจะเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ทั้งนี้เพื่อผลดี ที่จะได้รักษาสุขภาพ ของพ่อท่าน เพื่อที่จะอยู่กับลูกๆไปนานๆ มีคำถาม ซึ่งนำมาเล่าย่อๆ พอสังเขปได้ ดังนี้
การจะเข้าแก่นธรรมได้นั้น จะต้องมีอะไรบ้าง ?
-มีสัมมาทิฏฐิ ทั้งทางกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม ซึ่งเกิดจากการฟังธรรม ศึกษาพระธรรม หมั่นทำธรรมวิจัย และเป็นผู้ที่ฟังด้วยดี (ปรโตโฆษะ)
-คิดทางบวก มองเห็นความดีของคนอื่นเสมอ จะทำให้รู้สึกว่า จิตใจเบิกบานแจ่มใส กุศลธรรมเกิดขึ้น และจะเข้าหาแก่นธรรมได้ง่าย
-หาประโยชน์จากการฟัง ด้วยการฟังธรรมด้วยจิตใจที่เยือกเย็น ฟังให้มาก แล้วคิดตาม เกิดธรรมวิจัยในการฟังธรรม จากนั้นปฏิบัติตามศีล เห็นโทษภัย ของวัฏสงสาร เชื่อในกฎแห่งกรรม จะทำให้เดินเข้าหาแก่นธรรมได้
เรื่องงานที่มีอยู่มากมาย งานขยะ งานกสิกรรมไร้สารพิษ งานที่รับผิดชอบภายใน จนไม่รู้ว่าจะทำงานเหล่านี้อย่างไรดี ?
-วางใจให้ดี แม้จะมีงานมากมายแค่ไหน แต่ขอให้มีจิตใจมุ่งมั่นต่อสู้ กล้ารับผิดชอบ ก็จะทำสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี -วางตัวให้ดี พยายามทำใจ ให้ลดละกิเลส ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ลดละตัวขัดแย้ง แล้วทำในสิ่งที่ใกล้ตัว ให้ดีเสียก่อน งานก็จะสำเร็จด้วยดี
-เดินมรรคมีองค์แปดในการทำงาน เพราะการปฏิบัติธรรมกับการปฏิบัติงาน ต้องควบคู่กันไป
เมื่อเห็นอัตตามานะ และความเป็นคนมากเหตุผลของตัวเอง แถมยังไม่มีตัวยอม แม้กับรุ่นพี่ๆ ที่เคยอยู่วัดมาก่อน?
-มองข้อบกพร่องของตัวเอง จะได้ไม่มองข้อบกพร่องคนอื่น และไม่ลบหลู่ดูหมิ่นท่าน
-มองหลายมุม ไม่มองมุมเดียว มองเอาประโยชน์ ไม่มองหาโทษของคนอื่น
-หัดฟังคนอื่นมากๆ ลดการพูดลง รับฟังเหตุผลของคนอื่นมากขึ้น

ภาคค่ำ รายการพิเศษวันมาฆบูชา ญาณ ๗ ของพระโสดาบัน โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ผู้ที่จัดอยู่ในภูมิโสดาบัน จะต้องมีญาณทั้ง ๗ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยโสดาปัตติผล ได้แก่
๑. เป็นผู้รู้แจ้งชัดในปริยุฏฐานกิเลส รู้แจ้งในกิเลสนั้นๆ ได้จริงตามฐานะ แห่งภูมิของพระอาริยชน ระดับนี้ กล่าวคือ เป็นผู้มีจิตตั้งไว้ดี เพื่อตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย
๒. เป็นผู้ไม่หนีหน้า เหตุที่จะเกิดกิเลส เป็นนักปฏิบัติธรรม ผู้กล้าประจัญกับเหตุ คบคุ้นกับปัจจัยนั้นๆ ตามชีวิตปกติสามัญ โดยกล้าประจัญกับสงครามกิเลส จนสามารถฆ่าละล้าง หรือจนระงับดับกิเลสนั้นลงได้
๓. มีปัญญารู้ชัดได้ว่า ทิฏฐิที่ประกอบไปด้วยหลักเกณฑ์ และมรรคผล ชนิดที่เราปฏิบัติได้ผลมาแล้วนี้นั้น มันไม่เหมือนกันกับทิฏฐิอื่นชนิดอื่น ของนักปฏิบัติอื่น แม้เขาจะได้ผล ก็เป็นอย่างอื่นๆ
๔. ผู้บรรลุแล้ว จะมีชีวิตเป็นอยู่ตามศีล ที่ตนได้แล้วนั้นอย่างสบายๆ แต่หากถ้าเมื่อใด มีการบกพร่องในศีล หรือผิดพลาดในศีล ที่ตนได้แล้วนั้นขึ้นมา ก็จะรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจทันที แล้วจะรีบปลงอาบัติ ด้วยสำนึกอย่างเร็วพลัน แล้วสำรวม ในข้อผิดพลาดนั้นๆ ต่อไป
๕. ต้องเป็นผู้มีความสามารถปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติฌานอยู่พร้อมๆกันกับ การทำงานตามปกติคนสามัญ ผู้ปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิจริง ยิ่งเป็นคนกระตือรือร้น ขวนขวาย ในกิจในงานสร้างประโยชน์ แก่สังคมยิ่งๆขึ้นด้วย และยิ่งสมาธิแน่วแน่ รู้ทันกิเลสไปในขณะมีสัมผัสอยู่ กับอะไรต่ออะไรต่างๆ นั้นด้วย
๖. เป็นผู้มีใจเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ ต่อธรรมทั้งปวง และเป็นผู้จดจ่อ ตั้งใจใฝ่ฟัง เอามาไตร่ตรองอย่างดี จะรับได้รู้ได้ เลือกเฟ้นเอาได้ ว่าอย่างนี้ คือพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างนั้นไม่ใช่ ก่อประโยชน์ได้ ทำใจในใจ จนเกิดคุณค่าได้อย่างแข็งแรง ถึงขั้นเรียกได้ว่า ความเป็นกำลัง ความเป็นอำนาจ
๗. สามารถเข้าใจและรู้จักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสแสดงไว้ดีแล้ว และมีมรรคผล จนแข็งแรงสมฐานะ มีความรู้อรรถ รู้ธรรม มีความสุขใจ ยินดีร่าเริงอิ่มเอม อันเกิดขึ้นจากธรรม มีความแข็งแรง เป็นกำลัง เป็นอำนาจ

ศุกร์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๔๔
ภาคก่อนฉัน ลูกหลงพ่อ โดย ส.นาไท อิสสรชโน
" รู้สึกว่าเรากำลังหลงสบาย ติดสวรรค์อยู่ เกิดความรู้สึกกลัว กลัวว่าชาติหน้า จะเสียเวลาหลงทางจากพ่อไปอีกนาน ต่อไปนี้ จะพยายามเอาจริง ปิดปัจจัยที่ทำให้ เป็นลูกหลงพ่อ เดินออกจากสวรรค์ให้เร็วที่สุด เพื่อไปสู่นิพพาน นี่คือเป้าหมายของเรา"

ภาคบ่าย ตอบปัญหาพัฒนาอีคิว โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ในงานพุทธาภิเษกฯ ญาติธรรมได้ถามปัญหา หลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งพ่อท่านได้ตอบคำถามโดยสรุป ดังนี้
- โดยมากญาติธรรมมักจะเกิดปิติ ในงานพุทธาภิเษกฯ มีไฟในการปฏิบัติธรรม และสงสัยว่า ทำอย่างไรจะมีไฟเรื่อยๆ และมีจิตดีโดย ตลอด
- เมื่อมีไฟก็ให้เร่งปฏิบัติธรรม เร่งทำและตรวจสอบผลที่ได้ทำเรื่อยๆ เมื่อได้ผลของการกระทำ เห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม ก็ต้องประคองรักษาไว้ ไม่ให้ตกต่ำ
- การกระทำทุกอย่าง ถ้าเป็นกุศลเจตนา เกิดจากกุศลจิต ก็เป็นบุญทั้งนั้น ยกตัวอย่าง ญาติธรรมที่มาจองที่นั่งข้างหน้า ก็เพื่อต้องการจะฟังธรรมใกล้ๆ มองเห็นพ่อท่านชัดๆ ก็เป็นกุศลเจตนาไม่ผิด

พ่อท่านตอบปัญหาเรื่อง การติดใจในรสอร่อยของโลกียสุข ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันริเริ่มตั้งแต่ จิตเสพติดความอร่อย ตอนแรก อาจจะยังไม่ทุกข์ เพราะหลงเชื่อในความลวง ต้องพิจารณาว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นภาระที่ไม่จบสิ้น ต้องหามาบำเรอ เสพอร่อยแล้วก็ทุกข์ หามาเสพใหม่ พอสมใจในความลวง ก็ต้องหามาใหม่อีก วนเวียนไม่จบสิ้น

พ่อท่านชี้ข้อปฏิบัติ ที่จะทำให้บรรลุนิพพาน คือ ศึกษาปริยัติ ศึกษาทฤษฎีวิธีปฏิบัติ เมื่อศึกษาแล้วต้องตรวจตนเอง ตรวจกิเลสในตัวเรา ว่าเหลือกิเลสตัวไหนบ้าง ที่เราสู้ไม่ไหว แล้วก็ลงมือปฏิบัติ ดูผลที่ปฏิบัติ ถ้าไม่เกิดผล ต้องพากเพียร เริ่มใหม่ ปฏิบัติธรรมเหมือนแม่โค เลี้ยงลูกไป เล็มหญ้าไป ฉันใดฉันนั้น

พ่อท่านชี้ว่า การปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติงาน ญาติธรรมควรดึงศักยภาพในตัวเองออกมา และพยายามเร่งตัวเอง เข้ามาช่วยงานในวัด อยู่ในวัด มีการขัดเกลา มีการท้วงติง มีโจทย์เยอะ ซึ่งจะทำให้เราพัฒนาตัวเองและแข็งแรง พอที่จะออกไปสร้างกลุ่มข้างนอก ให้พยายามพากเพียร เพราะการจะเกิดเป็นคนในชาติหน้าได้นั้น คือ คนที่มีศีลห้า เป็นหลักประกันเท่านั้น

ภาคค่ำ รักษาสุขภาพ เพื่อ รพม. น.พ.วีรพงษ์ ชัยภักดิ์ แพทย์รังสีประจำ รพ.หาดใหญ่ น.พ.อุดม แพทย์ศัลย์ออโธปิดิกส์ ประจำ รพ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ คุณตายแน่ เชียวเขตรวิทย์ พนักงาน บ.พลังบุญ

“คุณตายแน่ เชียวเขตรวิทย์ อายุ ๒๔ ปี สุขภาพแข็งแรงมาตลอด จู่ๆก็มาป่วยด้วยโรคข้ออักเสบ จนไม่สามารถทำงานได้ แม้แต่จะขยับตัว ไปหาหมอหลายหมอ แต่ก็ไม่หาย แต่จู่ๆ ก็หายได้เอง โดยที่ไม่ได้กินยาเลย คุณหมออุดมอธิบายว่า ได้ตรวจโรคคุณตายแน่จริง และพบว่ามีการอักเสบของข้อจริงๆ คุณหมอยังได้เล่าประสบการณ์ เกี่ยวกับคนไข้ ที่ป่วยด้วยโรค SLE และมีภาวะข้ออักเสบ รักษาหลายหมอไม่หาย แต่พอไปรดน้ำมนต์ กลับหายอย่างไม่น่าเชื่อ คุณหมออธิบายกรณีคุณตายแน่ และคนป่วยโรค SLE เป็นไปได้ที่คนไข้จะหายจากโรคได้ เพราะศรัทธา ที่มีต่อการรักษาแบบนั้นๆ คุณตายแน่มีศรัทธาต่อพุทธศาสนา เคยปฏิบัติธรรม และรู้ว่าตัวเองน่าจะหาย ถ้าได้ทำให้จิตใจมีศรัทธามากขึ้น และปฏิบัติธรรม ถูกแนวทางมากกว่านี้ โดยหัดละวางสิ่งที่เคยยึดถือ เจริญอิทธิบาท และมีจิตเมตตามากขึ้น รวมทั้งรับประทานอาหารธรรมชาติ ที่ประกอบด้วย ข้าวกล้อง ถั่ว งา ผักสด พอหายป่วย ก็ฟื้นฟูสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย และปฏิบัติตาม ๕ อ.(อาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลังกาย อุจจาระ) คุณหมอวีรพงษ์ให้ ความเห็นว่า ศรัทธาและกำลังใจ เป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรค ถ้าเราท้อแท้หมดหวัง โรคก็ยิ่งทรุด ชาวอโศกปฏิบัติธรรม สวนกระแสโลก ทำงานไม่มีค่าตอบแทน ไม่เหมือนทางโลก และต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเอง หรือเวลาเจอผัสสะ เอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ก็เครียด วิธีแก้ก็คือ ปรับความคิดจิตร่างกาย ให้เหมาะสมกับภาวะการณ์นั้นๆ”

เสาร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๔๔
ภาคก่อนฉัน เป็นภาคสุดท้ายของงานนี้ เป็นรายการ “สรุปงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๒๕” โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ คุณใจจริง คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ คุณแก่นฟ้า แสนเมือง

-พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
“งานพุทธาฯ เราทำมาถึง ๒๕ ปีแล้ว เป็นสิ่งที่ดีงามของชาวอโศก งานลงตัวเข้า ระบบเนียนขึ้นเรื่อยๆ ถึงวันนี้ การงานของชาวอโศก ทั้งการศึกษา การเมือง ตลาดอาริยะ กสิกรรม ฯลฯ มีผลดีถึงมวลมนุษยชาติ ทุกคนตื่นตัวช่วยเหลือกัน ทำอย่างไรเราจึงจะมีมวลเพิ่มขึ้น มาร่วมกันในชุมชน มาเคี่ยวข้น เติมคุณภาพของตน เวลาที่เหลือ เราจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เพื่อสะสมเงิน โลกียสุข ลาภ อัตตามานะ อีกสักหน่อยอย่างนั้นหรือ? ” (จากหนังสือ สารอโศก อันดับ ๒๓๓)


สารอโศก อันดับ ๒๓๓ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้า ๔-๑๒