อาริยะยุค ๒๐๐๐
ตอนที่ ๑๕

เกลียวธรรม

 


"ก๋วยเตี๋ยวเจทรงเครื่องมั้ง" ฟ้าลั่นพูดแซวตอบมายิ้มๆ เพราะรู้อยู่ว่าเธอชอบ "ไม่ค่ะ...เพราะแม่รู้ว่าตอนนี้ ขวัญตั้งตบะไม่กินเส้นค่ะ" เด็กสาวแย้งเบาๆ
"แต่แม่รักบุญ...อาจจะคิดว่า ขวัญตั้งไม่กินเฉพาะสีขาว แต่กินเส้นสีอื่นก็ได้นี่ครับ" "ขวัญไม่กินทุกเส้น ทุกสีนั่นแหละค่ะ" สาวผู้ฉลาด เพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกยั่ว จึงหันมาค้อนขวับทันที เหมือนจะบอกว่า... อย่ามาหาเรื่องลองใจยั่วกิเลส เสียให้ยากเลย... รู้ทันอยู่หรอกนะคะ ก่อนที่หนุ่ม สาวจะโต้ตอบอะไรกันอีก ก็เห็นผู้เป็นแม่ โผล่ออกมา

"เอ้า...เสร็จเรียบร้อยกันหรือยังล่ะ ภาระหน้าที่ของพวกเธอที่รับมา? รักบุญเดินออกมาจาก ห้องน้ำ พร้อมกับการไต่ถาม เหมือนจะเร่งให้รีบกลับบ้าน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เบิกบาน..."

"ครับ...ค่ะ..." หนุ่มสาววัยรุ่นพูด พลางถอดเอี๊ยม ออกจากตัว นำไปแขวนไว้มุมเสา และหัน มากล่าวคำอำลา กับพ่อให้แม่ให้ทั้งหลาย ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วจึงเดินตามรักบุญ ไปขึ้นรถ ที่จอดอยู่หน้าร้าน

...ต่ำคือแดนเขตแผ่นดิน เขตเมฆินท์เขตแดนฟ้า... สูงส่งเหลือคณา พาให้คนึง... แดนดิน แดนฟ้า ตราไว้ประหนึ่ง

เสียงเพลงจากตลับเท็ปดังแว่วขึ้นมาเบาๆ มันเป็นเพลงเก่าๆ ที่เอามาทำใหม่ของ ครูรัก รักพงษ์ ชื่อเพลง ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ซึ่งยังเป็นที่ชื่นชอบ ของชาวไร้ธุลีหมอง และสังคมข้างนอก อยู่จนถึงปัจจุบันนี้... ใครเล่าจะเคยคาดคิดว่า หนุ่มรูปหล่อ นักจัดรายการทีวีชื่อดัง ของช่อง ๔ บางขุน พรหมในอดีต ที่มีความสามารถ แต่งเพลงได้ไพเราะด้วย... เขาจะมาสละ ละทิ้ง ทรัพย์สมบัติ และ เกียรติยศ ชื่อเสียงโด่งดังทางโลก มาบวชเป็นสมณะ ผู้เคร่งครัด ที่มีลีลา การแสดงธรรม ที่องอาจ ฉาดฉาน จนได้ฉายาว่า ขวานจักตอก ซึ่งปัจจุบันนี้ ก็คือ พ่อท่าน ของชาวไร้ธุลีหมองนั้นเอง

รักบุญ ฟังเพลงไปพลาง และก็ได้โน้มน้อมจิต ระลึกถึงการต่อสู้ของท่าน พระโพธิสัตว์ยุค ค.ศ.๒๐๐๐ ไปพลาง ด้วยความศรัทธา อย่างสุดเศียรสุดเกล้า...

โถ...พ่อท่านยืนหยัดต่อสู้อย่าง อหิงสาอโหสิมาตลอด อดทนต่อการกล่าว ให้ร้ายป้ายสี ยัดเยียด ความผิดให้ โดยไร้วิจารณญาณ ของบัณฑิต... มันเป็น ธรรมมา-ธรรมะสงคราม และในที่สุด ท่านก็พ่ายแพ้ ต่อสังคมยุคที่มี อำนาจเป็นธรรม แต่แม้จะได้รับการตัดสิน ของขบวนการมนุษย์ว่า เป็นผู้แพ้ ท่านก็ยังยิ้มสู้ ชะตากรรมที่เกิดขึ้น อย่างเข้าใจสมมุติ เหมือนกับเพลง ที่ท่านเคยแต่งไว้ เมื่อตอนสมัย เป็นฆราวาส ที่ กล่าวว่า...

... "แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง" และนี่คือเพลง ผู้แพ้ ที่โด่งดังเช่นกัน หากว่าโลกนี้ถึงยุค มีธรรมเป็นอำนาจ ประชาชน และผู้มีศีล คงจะไม่ได้รับความเดือดร้อน อย่างนี้แน่ๆ

สาวใหญ่นักปฏิบัติธรรมนั่ง ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พระภิกษุผู้ปฏิบัติดี ประพฤติชอบ โดยไร้ความชอบธรรม ทางธรรมวินัยที่พระบรมศาสดา ได้บัญญัติไว้ อย่างรู้สึก เหนื่อยอ่อนหัวใจ เพราะเกิดความรู้สึก เปรียบเทียบกัน ระหว่างสังคม ของชาวพุทธส่วนใหญ่ ในปัจจุบันแล้ว เห็นว่าชาว บ้านหรือชาวเมืองนั้น อนุเคราะห์เลี้ยงดู พระสงฆ์องค์เจ้าไว้ เพื่อเป็น พราหมณ์ สำหรับทำพิธีกรรม สวดส่งดวงวิญญาณของผู้ตาย หรือพิธีอันไร้สาระ ทางธรรมะ เสียเป็นส่วนมาก...

หาได้บำรุงเลี้ยงดูด้วยความศรัทธา ในการปฏิบัติ อันเป็นวัตรของภิกษุไม่ จึงไม่ค่อย คอยสนใจ เตือนติง ทักท้วง เมื่อเห็นภิกษุบางรูปที่ทำอนาจาร ผิดธรรมผิดวินัย เห็นอยู่โต้งๆ... คงเป็นเพราะ สัทธรรม ปฏิรูป (ลงเหว) ไปแล้ว ชาวบ้านจึงสับสนมึนงง กับความถูกผิด ของสังคมสงฆ์ ที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน หรือ อาจโดนคำขู่ ที่กรอกหูว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ อย่าไปยุ่งกับท่าน เดี๋ยวจะตก นรกหมกไหม้... ถ้าหากพุทธบริษัท คิดกันเยี่ยงนี้ ก็เปรียบเสมือนว่า... เหล็กที่ขึ้นสนิม อยู่แล้ว... ยังขวนขวาย เอาน้ำทะเล ไปราดรด แล้วอะไรจะเกิดขึ้น...

"เฮ้อ...คิดแล้วมันช่างสังเวชใจจริงๆ รักบุญเผลอตัวถอนใจ และพึมพำออกมา แต่บังเอิญ เสียงเพลง ดังกลบเสียงของเธอ เด็กๆจึงไม่ได้ยิน เสียงผิดปกติที่เกิดขึ้น นักปฏิบัติธรรม วัยกลางคน ก็จมไปในภพ แห่งความคิดต่อไปอีก

...เคยมีญาติธรรมชายคนหนึ่ง ท่าทางไฟแรง เขาบอกกับเราว่า... การพัฒนากรมศาสนา หากจะเอากันจริงๆ และไม่ไป มัวหลงทิศผิดทาง... ก็ต้องหันมาเน้นกัน ที่ตัวบุคคล คือการพัฒนา ผู้นุ่งเหลืองห่มเหลือง ให้มาอยู่ใน ธรรมวินัย ตามที่พระพุทธเจ้า บัญญัติไว้ให้ได้... อย่างเช่น จงหยุดหาเงิน และ ปลงอาบัติข้อนิคสัคคียปาจิตตีย์ ล้างบาปให้ตัวเอง บริสุทธิ์เสียที... ด้วยการสละทรัพย์ สินเงินทอง ส่วนตัวไปให้ กรมศาสนา หรือว่าส่วนกลางสงฆ์ ให้หมดเนื้อ หมดตัวกัน ทุกคนสิ.. แค่นี้แหละ แค่นี้จริงๆ... ประเทศชาติก็ก้าวหน้า ศาสนาพุทธรุ่งเรือง ไม่หม่นหมอง อย่างเช่นปัจจุบันนี้... และกรณีพระปลอมพระเก๊ ก็จะหมดไป โดยปริยายทันที

...เพราะจะเกิด นิยามใหม่ ของคำว่าพระนั้นคือ... พระแปลว่า ผู้ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งมัน เป็นอรรถะสาระ ของคำแปลว่า ประเสริฐ ใช่มั้ย?... และพัฒนาได้ ถึงระดับนี้ มิจฉาทิฏฐิ นอกขอบเขตพุทธอื่นๆ ก็จะแห้งเหี่ยวหมดไปเอง... แต่ปัจจุบันนี้ เหล่าเจ้ากูทั้งหลายนั้น จับจ่ายใช้สอย เงินทองกันอย่าง ไม่เคอะเขินเสียแล้ว ประพฤติตน ล่วงละเมิดอาบัติ ข้อนี้เป็นอาจินต์ จนเหล่าพุทธมามกะ ที่เป็นผู้รู้ ต่างก็แทบจะเอาหัวมุด แทรกแผ่นดิน หลบหน้าหนี เหมือนดั่ง นกกระจอกเทศ ผู้ไร้เดียงสา มุดดินหนีภัย ผมมั่นใจว่า นี่คือทางรอด

...เราอยากจะเถียงว่า... คุณพูดได้ดี แต่จะให้วงการสงฆ์ทั่วไป ทำตามธรรมวินัย อันเป็น ความดีระดับนั้น มันยากเสียยิ่งกว่าการ "เข็นภูเขาขึ้นครก" อีกค่ะ แต่ในใจลึกๆ เราก็มิใช่ดูถูก หรือปัดทิ้ง ปฏิเสธว่า มันเป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ในคณะสงฆ์อื่น เช่น คณะสงฆ์ของ ชาวไร้ธุลีหมอง ก็สามารถทำได้ และยืนหยัดปฏิบัติมา จนครบรอบ สามสิบปีนี้แล้ว ทำไมสงฆ์หมู่อื่น ที่มุ่งจะเดินตามรอย ของพระพุทธองค์ เพื่อช่วยกัน สืบทอดศาสนา ให้เจริญรุ่งเรือง จะทำไม่ได้เล่า?... เพียงแต่ ทำความคิด ให้ถูกตรงเป็นสัมมาว่า เงินทอง ไม่ใช่ปัจจัย ที่ภิกษุสมณะ จะเข้าไปยึดถือเลย แต่มันเป็น อสรพิษ เป็นวัตถุอนามาส ไม่คู่ควรกับการยินดี ข้องแวะด้วยซ้ำ จะป่วยการกล่าวไปไยที่ "เป็นเจ้าของ "

"แม่คะ...แม่เตรียมอะไรไว้ให้ขวัญคะ?" สาววัยรุ่นถาม ทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่ทุกคน ต่างจมลงไป อยู่ในอารมณ์เพลง ที่มีเนื้อหาสาระเข้าถึง โลกุตรธรรม ทั้งยังไพเราะซาบซึ้ง อีกต่างหาก...

รอให้ถึงบ้านก็รู้ค่ะ... โอ๊ะ! รักบุญหักพวงมาลัย หลบรถแมงกะไซด์ ที่ซิ่งแซงขึ้นมาปาดหน้า ไปอย่างหวุดหวิด

"เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ...ไม่รู้ว่า จะรีบกันไปถึงไหนนะคนพวกนี้" เธอบ่นพึมพำ ออกมาเบาๆ แต่ ใบหน้าก็ยังยิ้มแย้ม อย่างให้อภัย พลางคิดว่า ถ้าหากเป็น เมื่อสมัยก่อนโน้น เราคงด่าไล่หลัง ไปหลาย กระบุงแน่ๆ

"แหม...น่าจะเบียดให้เละเลยนะคะ" บุญขวัญพูดพลางยกมือ ขึ้นลูบคลำหัวตัวเอง เพราะ ว่ามันสะบัดไปกระแทก โดนขอบประตูรถเข้า

"โธ่...ลูกขวัญพูดอย่างนั้นได้ยังไงคะ?... วาจาทุจริตมันผิดศีลนะคะ" ผู้เป็นมารดาส่งเสียง ปรามดุๆ

"ขวัญก็พูดไปอย่างนั้นแหละค่ะแม่... แม้ขวัญเป็นคนขับ ก็ไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ... อู้ย!หัวปูด หรือเปล่าหนอเรา" เด็กสาวสูดปากร้องอุทธรณ์ บ่งบอกความ เป็นผู้เสียหาย...

"แต่มันเป็น วจีทุจริตแล้ว นะคะลูกขวัญ... อย่าได้สะสมคำพูด ที่เป็นบาปให้แก่ตนเลยค่ะ ถ้า ลูกผิดศีลบ่อยครั้ง ผิวพรรณวรรณะ หม่นหมองนะจ๊ะ "

" ก็ได้...ก็ได้ ขวัญขอถอนคำพูดค่ะแม่ " บุญขวัญพูดพลางหัวเราะเบาๆ แล้วเอนตัวเอียงคอ เอาหัวไปซบกับไหล่ ของผู้เป็นมารดา อย่างประจบ เหมือนดั่งเด็กน้อย

นักปฏิบัติธรรมวัยกลางคน ก็ได้แต่ส่ายหน้า ด้วยความรัก และเอ็นดู พลางเหลือบตา มองดูฟ้าลั่น ทางกระจกมองหลัง ซึ่งกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร เล่มใหม่ ที่ซื้อมาจาก ชมร.เชียงใหม่ และดูเหมือนว่า ไม่ได้สนใจอะไร รอบข้างทั้งสิ้น... ทำให้เกิดครุ่นคิดว่า... อนาคตของเด็กคนนี้ จะเดินไปในเส้นทางไหนหนอ? ซึ่งเราขอปวารณาว่า ไม่ว่าฟ้าลั่น จะไปทางโลก หรือทางธรรม เราขอเป็น ผู้อุปถัมภ์ อุปัฏฐาก เขาตลอดไป

พลางหันมามองลูกสาว ที่นั่งก้มหน้ารื้อ เลือกหาม้วนเพลงมาเปิดอยู่... ทำให้เกิดความคิดว่า หากฟ้าลั่น เลือกเส้นทาง ไปสู่จุดสูงสุด ตามรอยพ่อของเขา มันก็เป็นเรื่องที่น่า ปีติยินดี อย่างยิ่ง แต่ก็ อดคิด ถึงลูกของเราไม่ได้ ทำไมเราจะไม่รู้ว่า... ลูกขวัญนั้น มีความผูกพันใจ ไว้กับฟ้าลั่น อย่างเหนียว แน่น... โอ้! หากว่าเขาเลือกเส้นทางไปสู่ที่สูง ดั่งที่เราคาดคิดอยู่... ความพลัดพราก ย่อมสร้างความ เจ็บปวด ให้กับลูกขวัญ อย่างแน่นอน...

"ความรักคือสวนดอกไม้ ที่ต้องราดรดด้วยน้ำตา มันช่างเป็นเรื่องความเศร้าหมอง ของผู้ฝักใผ่ เมถุนธรรมจริงๆ... มันเป็นเรื่องของวิบากกรรม ที่ยากจะช่วยได้แท้ๆ

รักบุญเลี้ยวรถเข้าบ้าน ด้วยจิตใจค่อนข้างวุ่นวาย ไปกับการสังขาร เรื่องของอนาคต ที่ยังไม่มาถึง เพราะความเป็นห่วงบุตรสาว แต่ในที่สุด เธอก็บอกตัวเองว่า... บ้า.. .เอามาคิดกังวล ให้โง่ทำไม อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด วิบากกรรมของแต่ละคน มันได้สร้างสมกันมา ด้วยตัวเองแล้ว ทั้งนั้นแหละ ยากที่ใคร จะไปแก้ไขได้ แล้วใครจะไปช่วยใครได้ล่ะ

หญิงวัยกลางคนผู้แน่วแน่ในเส้นทางธรรม เอนกายพิงพนักเก้าอี้ อย่างเหนื่อยอ่อน กับการขับรถ และแบ่งจิต มาปรุงแต่ง กับเรื่องต่างๆ แต่ใบหน้าก็ยังยิ้มละไม พลางหลับตา ส่งเสียง บอกลูกสาวว่า ไปอาบน้ำอาบท่ากัน ให้เรียบร้อย จะได้มาดูรางวัลกันจ้ะ

รักบุญเหลือบตาขึ้นมอง เมื่อเห็นเด็กทั้งสอง ลับกายหายเข้าไปในห้องพักเรียบร้อย เธอก็จัดแจง งัดเอาม้วนวิดีโอ ออกมาจากกระเป๋าถือ และนำไปใส่เครื่องเล่น อย่างเตรียมพร้อม ที่จะฉายได้ทันที ทำท่ายังกะเด็ก กำลังเล่นซ่อนหากัน และไม่ลืม ที่จะหยิบรีโมท สำหรับบังคับ เครื่องเล่น และทีวี ใส่กระเป๋าเสื้อไว้เรียบร้อย

ไม่นานนักฟ้าลั่นอยู่ในชุดกางเกงขาก๊วย เสื้อยืดแขนสั้นสีขาว เดินออกมาก่อน ขณะเดียวกัน ที่สาวน้อย บุญขวัญนุ่งกางเกงสีเลือดหมู และใส่เสื้อยืดหลวมๆ สีไข่ไก่ เดินตามมาจากห้อง อีกมุมหนึ่งไล่ๆกัน ซึ่งเธอเดินพลางมือก็รวบผม มามัดไว้ด้วยหนังยาง พลางดูท่าทางตื่นเต้น ไม่น้อยทีเดียว..

รักบุญมองเด็กทั้งสองด้วยความรักและเอ็นดู...แวบหนึ่ง ของการสังขาร จิตที่มันผุดขึ้นมา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เขาก็เหมาะสมกันดีนะ แต่ก็แวบเดียวจริงๆ ที่จิตมันไม่สัมมาทิฐิ สังขารไป และเมื่อรู้ตัว ก็รีบเปลี่ยนความคิดทันที บอกตัวเองว่า เราจะไปสนับสนุน หรือชี้โพรง ให้กระรอก ไม่ได้เด็ดขาด

เพราะเรารู้ว่า การสนับสนุน ให้คนแต่งงานกันนั้น เป็นบาป ในขั้นละเอียด ของนักปฏิบัติธรรม ซึ่งมันเท่ากับว่า ส่งเสริมให้คน เพิ่มตัณหาราคะ จัดจ้าน ห่างไกล จากพระนิพพานมากขึ้น... หากว่า เป็นพระภิกษุสงฆ์องค์เจ้า ไปพูดไปชักนำให้คนแต่งงานกันนั้น เท่ากับล่วงอาบัติหนัก ถึงขั้นสังฆาทิเสส ทีเดียว นับว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ

แต่นั่นแหละ สภาวะจิตแม้แต่อาริยบุคคลก็มีหลายระดับ อย่างเช่นนางวิสาขา ซึ่งเป็น พระโสดาบัน ก็ยังมีลูก มีสามีได้เช่นกัน เพราะว่าท่านก็ยังไม่ได้ล่วงพ้น สังโยชน์เบื้องสูง อันคือ ปฏิฆะ และราคะนั่นเอง ท่านเพียงเป็นผู้มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และพ้นสังโยชน์เบื้องต่ำ ทั้ง ๓ อย่าง พร้อมกับยึด เอาไตรสรณาคมน์ เป็นที่พึ่งจริงๆ เท่านั้น...

บุคคลที่ยังอยู่ในฐานะของผู้ครองเรือน ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งเลวร้ายอะไร ถ้าจะแต่งงาน มีลูก มีสามี ภรรยา แค่ผัวดียวเมียเดียว... ฉะนั้นลูกสาวของเรา หรือฟ้าลั่น หากว่าเขาตกลง ปลงใจอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่อง ไม่ใช่เสียหายอะไร เพียงแต่เราอย่าไปเผลอตัว สนับสนุน ให้เป็นเรื่องบาปกรรม แก่ตัวเองเท่านั้น...

"แม่คะ...ไหนล่ะ รางวัลที่จะให้ขวัญคะ?" เสียงใสๆและเรือนร่างที่โปร่งบาง นั่งลงเบียด กระแซะ อย่างประจบ ทำให้ความคิดของรักบุญ สะดุดลงเพียงแค่นั้น และเธอก็ล้วงมือ ลงในกระเป๋า กำรีโมท ขึ้นมา และชูเหนือศีรษะ ปากพูดว่า...

"นี่ไงคะ" เด็กสองคนงงๆ เมื่อเห็นของที่อยู่ในมือ คือรีโมทธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อผู้เป็นแม่ เหยียดมือไป ทางจอทีวี จึงเข้าใจความหมายทันที

"ไททานิค...เรือไททานิค" บุญขวัญอุทานออกมา อย่างตื่นเต้นดีใจ ที่เห็น ภาพบนจอโทรทัศน์ ส่วนฟ้าลั่นเอง ก็รู้สึกดีใจ เพราะตัวเอง จะได้พ้นจากสัญญา และภาระที่รับปากไว้ ช่างเป็นเรื่อง บังเอิญแท้ๆ... ที่เราไม่ต้องไปกระทำ ในสิ่งที่ไม่ควรอย่างนั้น เด็กหนุ่มยิ้มออกมาได้ อย่างโล่งอก พลางกล่าวถามขึ้นว่า...

"แม่รักบุญเอามาจากไหนครับ?"

" พี่เค้าธรรม...ส่งมาให้จากกรุงเทพฯ พร้อมกับส่งม้วนเท็ป คำวิจารณ์หนังเรื่องนี้ ของพ่อท่าน มาด้วย... เดี๋ยวดูจบ เราจะได้ฟังว่า ท่านพูดวิจารณ์ยังไงนะคะ" รักบุญพูดพลาง เอื้อมมือไป ลูบหัวลูกสาว

"บังเอิญนะครับ...น้องขวัญเค้าก็..."

" อย่าค่ะพี่ฟ้าลั่น...อย่าค่ะ..." สาววัยรุ่นรีบส่งเสียงห้าม ไม่ให้พูดต่อ จึงทำให้ชายหนุ่ม แสนซื่อ หยุดชะงักคำพูด แต่เพียงแค่นั้น...

"อ้าว...มีความลับอะไรปกปิดแม่กันหรือคะ?" รักบุญพูดยิ้มๆ พร้อมกับกดปุ่ม เบาเสียงลง และ หันมามองหน้าลูกสาว... แต่บุญขวัญก็เก๋ไก๋ ทำเป็นถามว่า... " แม่รู้ได้ยังไงว่า ขวัญอยากดู หนังเรื่องนี้คะ? "

" โถ...ทำไมแม่จะไม่รู้ กะเรื่องเพียงแค่นี้ เรื่องที่เกี่ยวกับลูก แม่ก็ต้องสนใจอยู่แล้ว เพราะว่า แม่รักขวัญนี่จ๊ะ... " ผู้เป็นมารดา ตอบคำถาม แบบเป็นนัยๆ

เด็กสาวรู้สึกหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันที... แม่พูดเหมือนกับว่า รู้ความในใจ ของเราทุกอย่าง น่ะ ...เธอรำพึงอยู่ในใจ แต่ก็พยายามระงับความรู้สึก อันสั่นระทึกเอาไว้ ทำเป็นตั้งใจจ้องมอง ไปที่ ภาพยนต์ บนจอทีวี... ความเงียบจึงปกคลุม คงมีแต่เสียงของตัวละครในเรื่อง ซึ่งก็ดังไม่มากนัก และ บางตอนก็โดนเซ็นเซอร์ ทั้งภาพทั้งเสียง...

ในเวลาต่อมา เมื่อหนังฉายจบไปแล้ว รักบุญก็เปิดเท็ปต่อทันที เพื่อให้เด็กๆ เข้าใจกับสิ่งที่ พวกเขา ได้สัมผัสจากสื่อ ที่ค่อนข้างมอมเมาราคะ ซึ่งไร้คุณธรรม

"อาตมาเจตนาเซ็นเซอร์เอามาให้พวกเราดูกัน เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ทำไมสังคมข้างนอก จึงคลั่ง ไคล้ใหลหลง กับหนังเรื่องนี้มากนัก บางคนถึงกับ ดูกันตั้ง ๕ รอบ ๑๐ รอบ หรือมากกว่านั้น... คนมันเก่ง ที่จะหาเรื่อง มามอมเมากัน โดยเฉพาะ เรื่องของตัณหาราคะ ซึ่งพยายาม สอดใส่เข้ามา ในเรื่องไว้ อย่างแนบเนียน และเรียกมันว่า... ศิลปะ ความจริงไม่ใช่ มันก็คือ เรื่องลามก อนาจารอยู่ดีนั่นแหละ... เพียงสื่อออกมา โดยอาศัยฉากประกอบอื่น มาปิดบัง กลบเกลื่อน ไว้เท่านั้น

ศิลปะ กับ อนาจาร ตัดเขตกันตรงไหนรู้มั้ย? อนาจารคือ สิ่งที่สื่อออกมาให้คนดูแล้ว เกิดอารมณ์ ของตัณหา ราคะและโทสะ ซึ่งมอมเมากันมากเหลือเกิน โดยเฉพาะ หนังเรื่องนี้แหละ อาศัยฉาก ตื่นเต้นที่ลงทุนสร้าง อย่างมากมายมหาศาล มาประกอบ เพื่อปกปิดสิ่งอนาจาร ที่เจตนา สอดใส่ลงไป อย่างอนาจารที่สุด เลวที่สุด.... เพราะทำให้หลงใหล ได้มากที่สุด...

ส่วนศิลปะนั้นคือ สิ่งที่สื่อออกมาแล้ว ให้คนดูเกิดอารมณ์ ลดละหน่ายคลาย จากโลภะ โทสะ และ ตัณหาราคะได้จริงๆ อันนี้จึงเรียกว่า ศิลปะ ซึ่งเป็นมงคลอันอุดม ต่อให้คุณเขียนรูปเปลือย หากว่า คนมองแล้วราคะไม่เกิด ตัณหาไม่เกิด แถมยังมีจิตหน่าย คลายจากราคะได้ด้วย นั้นคือ ศิลปะแท้ๆ ล่ะ"

"นี้คือหนึ่งของคำวิจารณ์หนังเรื่อง ไททานิค ที่พระโพธิสัตว์จำเป็นต้องบอก ให้มนุษย์ที่รักดี ทุกคน ได้รับรู้เข้าใจ มีปัญญาเท่าทัน กับภัยอันตราย ที่มาในรูปของภาพยนต์ต่างๆ ไม่ให้ตกไปเป็น เหยื่อของซาตาน ยุคไฮเทค ที่แสนฉลาดแยบยล ด้วยกลอุบาย นานาสารพัด เรายังต้องอยู่ กับโลกกับ สังคมที่ส่วนใหญ่ เป็นอย่างนั้น หากว่าเราไม่รู้เท่าทันมัน เราก็จะถูกสิ่งเหล่านี้ ครอบงำ กลืนกินไปในที่สุด... เข้าใจมั้ยลูก?" รักบุญอธิบายให้ฟังต่อ

"เข้าใจค่ะแม่" เด็กสาวตอบรับคำถามเบาๆ พลางรู้สึกสำนึกผิด และอับอาย จนใบหน้า ร้อนผ่าว ที่ตนไปชวนฟ้าลั่น ดูหนังเรื่องนี้ เมื่อตอนอยู่ที่ร้านอาหาร จึงลุกขึ้นยืน และขอตัวเข้าห้องพัก โดยมิกล้า หันไปมองฟ้าลั่น แม้แต่น้อย

..โปรดอ่านต่อฉบับหน้า..


อาริยะยุค ๒๐๐๐ สารอโศก อันดับ ๒๓๓ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้า ๑๑๖ - ๑๒๓