อดีตนายกรัฐมนตรีมาเยือน
๓๐ ธ.ค. ๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก วันแรกของงานปีใหม่ อโศก ๔๔ ก่อนที่ผู้ว่าราชการ
จังหวัดอุบลราชธานี นายรุ่งฤทธิ์ มกรพงษ์ จะมาทำพิธีเปิดงาน และเปิด
ตลาดอาริยะ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะติดตามเล็กๆ
๓-๔ คน เดินทางมาเยือนและสนทนากับพ่อท่าน ตามที่ได้มีผู้ติดต่อ นัดหมายกันมาก่อน
เป็นเจตนาของพล.อ.ชวลิต ที่ต้องการจะมาดู มาสัมผัส หมู่บ้านราชธานีอโศก
จากข้อมูลที่ได้ยินได้ฟังว่า เป็นชุมชนเข้มแข็ง เป็นตัวอย่างของหมู่บ้าน
เศรษฐกิจแบบพอเพียง จึงปลีกเวลามาเยือน บ้านราชฯเมืองเรือ นับเป็นครั้งแรกของชาวอโศก
ที่มีผู้ใหญ่ระดับ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ให้ความสนใจมาเรียนรู้ และสนทนากับพ่อท่าน
กว่าครึ่งชั่วโมง
พ่อท่านเคยเล่าให้ฟังว่า
เคยพบ พล.อ.ชวลิต ตั้งแต่มียศพันโท ยังอยู่หน่วยสื่อสาร พ่อท่านยังทำงานอยู่ที่
สถานีโทรทัศน์ แต่เป็นการรู้จักแบบห่างๆ
จากบางส่วนของคำสนทนา
ที่น่านำมาถ่ายทอดดังนี้
เนื่องจากคำพูดหรือคำถามของ
พล.อ.ชวลิต ในช่วงแรกนี้ ไม่สามารถบันทึกได้ เพราะยังจัดเตรียมไมโครโฟนให้
พล.อ.ชวลิต ไม่ทัน จึงขอตัดนำเอาคำตอบ ของพ่อท่านมาเสนอ ก็พอจะรู้แนวคำถามได้
พ่อท่าน
: ปฏิบัติที่นี่ปฏิบัติเอามรรคเอาผล
ให้เกิดจริงเป็นจริง แล้วพิสูจน์ธรรมะ ของพระพุทธเจ้าจริงๆว่า คนเรามีธรรมะ
ที่เป็นตัวมรรคตัวผลของมนุษย์ ที่ได้จากศาสนา ต้องพิสูจน์ให้ได้ ถ้าได้แล้ว
จะเป็นคนอย่างไร ก็จะดำเนินชีวิต เกิดพฤติกรรม เกิดกิจกรรม เกิดพิธีกรรม
แล้วจะกอปรก่อ เป็นวัฒนธรรมขึ้นมา วัฒนธรรมนั้น เราจะไม่รู้ว่า มันจะไปลงเอย
อย่างไร วัฒนธรรมจะพัฒนาไปเรื่อยๆ หรือมันจะเสื่อมไปเรื่อยๆ ก็แล้วแต่
ถ้าเผื่อว่า สามารถทำให้วัฒนธรรม พัฒนา ขึ้นไปได้ มันก็จะพัฒนาไปอยู่
สักวาระหนึ่ง ถ้าเผื่อว่า อะไรต่ออะไรชักไม่ดีแล้ว มันก็จะพาเสื่อมไปเอง
วัฒนธรรม ก็จะไม่เที่ยงแท้ วัฒนธรรมก็จะเจริญ หรือเสื่อมไป ตามกิจกรรม
พฤติกรรม และพิธีกรรมของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก็ไปเรื่อยๆ ก็มีวัฒนธรรม
อย่างของเรา อย่างพวกเรา คนอย่างที่นี่ เข้ามามีวัฒนธรรมอย่างไรๆ เราก็พยายามถ่ายทอด
แม้แต่เด็ก ตอนนี้ เราก็ตั้งโรงเรียน เป็นโรงเรียนที่เราคิดว่า ควรจะเป็น
อย่างเด็กที่นี่ จะเรียนหนักกว่าข้างนอก ๓ เท่า เพราะว่า
๑. จะต้องปฏิบัติธรรมจริงๆ ถือศีล เช็คศีล เด็กต้องถือศีล ๕ หมด ต้องปฏิบัติธรรม
เข้าฟังธรรม ผิดศีลก็มีโทษ มีภัย มีอะไรด้วย
๒.จะต้องทำงาน เด็กนักเรียนที่นี่ฝึกหัดทำงานหมด แม้จะเป็นลูกคนร่ำรวยมา
ก็ต้องล้างส้วม ต้องซักผ้า ต้องปัดกวาด ต้องทำเป็นหมด ปลูกข้าว ต้องลงนา
หัดให้ดำนา หัดให้ปลูกข้าว หัดให้เกี่ยวข้าว หัดให้ดายหญ้า หัดให้ทำอะไร
ต่ออะไรด้วย ให้เป็นงาน แล้วงานอื่นๆ ที่เป็นงาน เป็นสาระ ถ้าใครสนใจฝึกได้
ที่นี่มีงานทำในระดับติดดิน จนกระทั่ง งานคอมพิวเตอร์ ถึงขั้นในระดับ
เทคโนโลยี อีเลคทรอนิคส์ อะไรต่างๆนานา ก็มีให้ฝึก ที่นี่มีปรัชญาว่า
ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ศีลเด่นก็คือ ต้องศึกษาธรรมะ เป็นงานก็คือ จะต้องฝึกฝนให้เป็นงาน
ชาญวิชา ก็เรียนตามหลักสูตร ของกระทรวง
เพราะฉะนั้น จบ ม.๖ ที่นี่แล้ว พึ่งตนเอง ปฏิบัติได้และมีงาน
พล.อ.ชวลิต
: พระคุณเจ้าอยู่ในนี้หมดเลยหรือ
พ่อท่าน : ไม่ได้อยู่ในนี้หมด มาหลายๆแห่ง
หลายๆพุทธสถาน หลายๆที่ มีทั้งสมณะ มีทั้งภิกษุที่มาจาก เถรสมาคมด้วย
เห็นได้ว่านุ่งห่มต่างกัน แต่สีคล้ายกันก็มี สีต่างกันก็มี มีมาจากที่อื่นด้วย
คือที่นี่เรานานาสังวาส กับเถรสมาคม ทางเถรสมาคม ท่านไม่ได้ถือว่า เราเป็นนานาสังวาส
ท่านถือเราเป็นสังฆเภท เราก็ไม่รู้จะว่ายังไงท่าน ท่านทำ ท่านก็เป็นอนันตริยกรรม
ของท่านเอง คือท่านถือเราเป็นสังฆเภท ท่านไม่ได้ถือเราเป็นพระ ท่านไม่รับเรา
แต่เรารับท่าน นานาสังวาส หมายความว่า ร่วมกันอยู่ เป็นพุทธร่วมกัน นานา
แปลว่า แตกต่าง มีความแตกต่างกัน นี่เป็นวินัยของ พระพุทธเจ้า นานาสังวาส
เพราะฉะนั้น พระทางโน้นมา เราก็รับรอง เพราะว่านานาสังวาส เราไม่รังเกียจอะไร
แต่อยู่ในกฎระเบียบ ของวินัยเท่านั้นเอง ส่วนท่านเล่นประเภท สังฆเภทเลยนี่ท่านบอก
ไม่ได้ ไม่รับไหว้ ถือเป็นคนละเกรด ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็แล้วแต่ท่าน
เราก็บังคับไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้ติดใจ และเข้าใจ เพราะว่าจิตใจของคน
เราบังคับไม่ได้ พอเวลานี้หน้างาน ท่านก็มารวมๆกัน
พล.อ.ชวลิต
: เพิ่งเคยมาเยี่ยม วันหลังจะได้มาใหม่ มาบ่อยๆ
พ่อท่าน : มาบ่อยๆได้ มาเชิญเลย ยินดีต้อนรับ
พล.อ.ชวลิต : ขอบพระคุณมาก ดีฮะท่าน ฉันกี่โมงครับท่าน
พ่อท่าน : เดี๋ยวจะต้องมีบรรยาย ผู้ว่าฯจะมาเปิดงาน
แล้วจะบรรยาย จากนั้นจึงจะไปดูตลาด ถ้ายังไง พาชมตลาดดีมั้ย เพราะตอนนี้
ยังไม่ได้เปิดขาย
นี่อดีตผู้ใหญ่บ้านศีรษะอโศก
ขวัญดิน สิงห์คำ ผู้ใหญ่บ้านศีรษะอโศก แต่ตอนนี้ลาออก จากผู้ใหญ่บ้าน
มาเป็นหัวหน้า พรรคสหกรณ์
พล.อ.ชวลิต : อ้อ! เมื่อกี้บอกทีแล้ว ยังสงสัย
เบอร์อะไรลืมถาม
พ่อท่าน : ไม่ส่งเลย
พล.อ.ชวลิต : ไม่ส่ง โอ๊! ดี
พ่อท่าน : ปีนี้ยังไม่ส่งเลย เพราะว่าการเมืองนี่
เราจะทำการเมือง ในระดับการเมืองอาริยะ การเมืองอาริยะ หมายความว่า การเมืองในระดับที่จะสร้างคน
ให้เป็นอาริยะให้ได้ เพราะว่าเราเข้าใจว่า ประชาธิปไตยนี่ คือระบบที่มี
อิสรเสรีภาพสมบูรณ์ คนจะมีอิสรเสรีภาพสมบูรณ์ ก็คือคนที่หมดกิเลส พระอรหันต์นี่
คือคนที่มีอิสรเสรีภาพ สมบูรณ์ที่สุด เพราะฉะนั้น จะเป็นโสดาฯ สกิทาฯ
อนาคาฯ เป็นพระอาริยะจริงๆ ในระดับปฏิบัติจริงๆ มีมรรค มีผลนั้น จึงจะเป็นคนที่
รู้จัก ประชาธิปไตย มีความเห็นแก่ตัวน้อย มีความเกื้อกูล เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
พหุชนหิตายะ เห็นประโยชน์ แก่ประชาชน
อย่างแท้จริง ต้องเป็นคนจริง ไม่ใช่ปากพูด ไม่ใช่โฆษณา หาเสียงอะไร ถ้าประชาธิปไตยแล้ว
ยังหาเสียงอยู่ ที่นี่ถือว่า ยังไม่ใช่ ประชาธิปไตย อย่างไปบอกว่าเลือกฉันนะ
เลือกฉันนะ เอ๊! นี่มันอวดอ้างตัวเอง ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย
คือประชาชนต้องรู้แล้วว่าคนนี้ คนนี้ควรจะไปเป็น รัฐมนตรีคลัง คนนี้ควรไปเป็น
รัฐมนตรีคมนาคม คนนี้ควรไปเป็นนายกฯ ประชาชนจะรู้จริง ไม่มีหมาหลง ไม่มีการหาเสียง
ไม่มีการปลอมแปลง ประชาชนต้องมีปัญญา ภูมิคนนี้เขารู้แล้วนี่ เอาเงินมาซื้อไม่เกี่ยว
มาซื้อเสียงไม่ได้หรอก อันนี้ถึงจะเป็น ประชาธิปไตยจริง เราจะต้อง ทำอย่างนั้น
จริงๆแล้ว ประชาธิปไตยอาริยะ ประชาธิปไตยจริงๆนี่ ผู้ไปทำหน้าที่สมัครตนเอง
ไปรับใช้ปวงชน เอาเงินไม่ได้ ต้องทำงานฟรี นายกฯต้องทำงานฟรี รัฐมนตรีก็ต้องทำงานฟรี
ข้าวน้ำรัฐเลี้ยงไว้ แล้วคนพวกนี้ เป็นคนที่ไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัว กินน้อย
ใช้น้อย จะเลี้ยงง่าย จะไปไหนๆ ก็ขึ้นเรือบินฟรี ขึ้นรถยนต์ฟรี ขึ้นรถไฟฟรี
ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ไปทำงานให้ประชาชน ทุกคนต้องได้รับ บริการ สวัสดิการจากรัฐ
จากประชาชนที่เข้าใจ เห็นด้วยว่าคนนี้ ทำงานให้กับประชาชน ไปที่ไหน ก็แทบจะมีวอรับ
ไปตลอดทางแหละ นี่คือสัจจะ
พล.อ.ชวลิต : ผมก็คงคิดไม่ห่างจากพระคุณเจ้าเท่าไรฮะ
แต่เหนื่อยๆ
พ่อท่าน : เข้าใจๆ
พล.อ.ชวลิต : คือผมเอง คิดว่าการเมืองคือความงดงาม
ผมยังถือว่าการเมืองนี่ด้อยกว่าพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนา อยู่ขั้นเดียว
ผมยังนึกอย่างนั้น ด้อยตรงที่ว่า คือการเมืองทำให้คนมีความสุขอะไรต่างๆ
แต่พระพุทธศาสนา ทำให้คน พ้นทุกข์ไปอีก สูงไปอีกขั้นหนึ่ง ก็พยายามทำการเมืองเอง
อย่างที่พระคุณเจ้าพูดมาได้ชี้แนะ คือเห็นการเมือง เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์
เป็นสิ่งที่สร้างสรร เป็นสิ่งที่ ... แต่เหนื่อย ภาวะแวดล้อมที่มารเยอะ
มารเยอะเหลือเกิน ลำบาก
พ่อท่าน : นั้นแหละเราต้องปรับ อาตมาว่า
ควรจะต้องปรับ อาตมาให้เวลาไว้ ๕๐๐ ปี
พล.อ.ชวลิต : ๕๐๐ ปีหรือครับ
พ่อท่าน : ๕๐๐ ปี maximum อาตมาให้ไว้
๕๐๐ ปี ถ้าเผื่อว่า เท่าที่อาตมามองมนุษย์โลก ขณะนี้นี่นะ อาตมาเห็นแล้วว่า
มนุษย์โลกนี่ ไม่มีทางไปแล้ว ระบบทุนนิยมเสรีก็ดี ระบบอะไรก็ดี ประชาธิปไตยที่เขาเป็นอยู่
อย่างทุกวันนี้ที่เป็น ขนาด อเมริกาเอง กอร์ กับบุช ล่อกันเละแล้ว เพราะฉะนั้น
อาตมาว่า มันไปไม่รอดแล้ว เพราะว่าตราบใด ที่กิเลสเห็นแก่ตัว มักใหญ่ใฝ่โต
อำนาจบาตรใหญ่ยังมีอยู่นี่ มันไปไม่รอดหรอก ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจริงคือ
คนที่อิสรเสรีภาพสมบูรณ์ มาเป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนที่ไม่ถือศักดิ์ถือศรี
ไม่เบ่งอำนาจบาตรใหญ่ อะไรเลยจริงๆ รับใช้ประชาชน เสียสละ สร้างสรร ตามภูมิปัญญาที่แท้จริง
เพราะฉะนั้นคนนี่จะเป็นได้
อุดมการณ์อย่างนี้ ให้ช้างมาเป็นไม่ได้ ให้ไดโนเสาร์มาเป็นไม่ได้ ให้สิงสาราสัตว์ที่ไหน
มาเป็นไม่ได้ มนุษย์เท่านั้น ที่จะเป็นได้
ทุกวันนี้ มีรูปรอยบ้างแล้ว
เช่น ผู้ใหญ่บ้านนี่ ก็ทำงานคล้ายๆนายกของหมู่บ้าน ทำงานฟรี รับใช้ประชาชน
เงินเดือน เงินดาวน์ เขาให้เหมือนกัน ทางการเขาให้ ก็เข้ากองกลางหมด
ก็อยู่ที่นี่ ลูกบ้านเลี้ยงไว้ ไม่ต้องมีบ้านส่วนตัว ไม่ต้องมีของส่วนตัว
ไม่ต้องมีอะไรต่ออะไร ขาดเหลืออะไรก็บอก ลูกบ้านเปรยๆปรายๆไป ก็เป็นคนไม่ฟุ่มเฟือย
ไม่เปลืองไม่ผลาญแล้ว พอกินใช้ มักน้อยสันโดษพอสมควร ยิ่งมักน้อยสันโดษ
ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งดีใหญ่ บริหารทำงาน ให้ประชาชนได้มากเท่าไร ก็ทำไปซิ
จนกว่าจะตาย พิสูจน์กันไป ไม่ต้องร่ำรวย ไม่ต้องมีเงินมีทองเลย
พล.อ.ชวลิต : อดทน อย่างน้อย ก็มีผมเป็นคนช่วยให้กำลังใจ
ให้กำลังใจฮะ โอ๋! น่ารักมาก
พ่อท่าน : นี่เป็นเลขาธิการพรรคสหกรณ์
(ชี้ไปที่คุณแก่นฟ้า)
พล.อ.ชวลิต : แล้วจดทะเบียนหรือยังนี่
พ่อท่าน : จดทะเบียนแล้ว
พล.อ.ชวลิต : จดแล้วใช่มั้ย โอ๊! เดี๋ยวต้องไปขอดูตราพรรค
พ่อท่าน : ได้
พล.อ.ชวลิต : ยากจังเลย พระคุณเจ้า
พ่อท่าน : นี่เป็นรองเลขาธิการพรรค (ชี้ไปที่คุณแซมดิน)
พล.อ.ชวลิต : โอ๋! ดีจังเลย มีสมาชิกเยอะหรือยังครับ
ผมว่าสร้างอย่างพระคุณเจ้า
พ่อท่าน : สมาชิกเราก็จะเลือก ตอนแรกในระยะก่อตั้งนี่เราจำเป็น
เพราะเขากำหนดให้ต้อง หาสมาชิกให้ได้ ๕,๐๐๐ คนก่อน แล้วก็เลือก รีบๆ
รวมกันก่อนได้ ทีนี้ตอนได้จำนวนตามกำหนดเขาแล้ว ที่นี้สมาชิกเราจะคัด
สมาชิกต้อง สมาชิกจริงๆ หมายความว่า สมาชิกไม่ใช่ไปเอาใครมาก็ได้ เอาแต่หัวมาเฉยๆ
ไม่เอา มาเป็นสมาชิก ต้องรู้อุดมการณ์ ต้องเข้าใจ ต้องสมัครใจ ต้องเต็มใจ
คือ สมาชิกจะต้องมาเป็น ผู้ร่วมรังสรรค์ ไม่ใช่สมาชิก คือหัวคะแนนเฉยๆ
ไม่ใช่ สมาชิกคือผู้มาร่วมรังสรรค์ เพราะฉะนั้น แม้แต่เวลาเราทำอะไร
ต่อไปในอนาคต เช่น เราจะบอกว่า ฝ่ายผู้ที่จะดำเนิน
นโยบายคิดมาแล้ว อันนี้ไม่ดี จะไปล้มล้างอันนี้แล้วละ กฎหมายบทนี้ไม่ดีแล้ว
เราก็จะนำมาวิจัย วิเคราะห์ อภิปราย สมาชิกรับรู้ เอาด้วยมั้ย เอาด้วย
๕๐,๐๐๐ ชื่อเอาเลย มันก็เป็นเอกภาพดี เป็นทันที เป็นพลังประชาชนจริงๆ
ไม่ใช่ว่า ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ประชาชนก็ไม่รู้เรื่อง มีคนทำอยู่ ๕-๖
คน คือ กรรมการใหญ่เท่านั้นเอง ประชาชนนอกนั้น คอยแต่ เหรอ เหรอ เหรอ
เท่านั้นเอง ไม่ใช่สมาชิกก็ต้อง เสนอให้เขามีความรู้ ให้เขารู้จักวินิจฉัย
ให้เขาเข้าใจว่า อะไรคืออะไร แล้วเขาก็อ้อ อย่างนี้เข้าใจหมด ทุกอย่าง
เรียบร้อย เพราะฉะนั้น สมาชิกไม่ใช่ตัวคะแนนเท่านั้น แต่เป็นตัวเนื้อ
เพราะฉะนั้น เราไม่ล่าสมาชิก แต่เราจะรับสมาชิก หรือครองสมาชิก
พล.อ.ชวลิต : สำคัญมากครับอันนี้ โอ้! ปฏิบัติงานของพรรค
ผู้เป็นสมาชิกพรรค ต้องผ่านการอย่างพระคุณเจ้าบอก คือผ่านการอบรม ทั้งจิตทั้งใจ
ผมนี่ตั้งมา ๑๐ ปี มีแค่ ๒ ล้านกว่า กว่าจะขึ้นมาเข้ามาทดสอบ ใช้เวลาหลายวัน
ที่จะมาเรียนรู้ ดีครับพระคุณเจ้า ให้ความรู้ เป็นสมาชิกคนได้ไหมครับ
พ่อท่าน : เอ๊! อาตมายังไม่แม่น เดี๋ยวนี้เขาเป็นสมาชิกหลายพรรคได้หรือเปล่า
พล.อ.ชวลิต : ไม่ได้ครับ
พ่อท่าน : สมาชิกพรรคใดพรรคเดียว
พล.อ.ชวลิต : พรรคเดียวครับ
พ่อท่าน : ถ้าทางนี้ตกปากรับคำ จะแย่นะ
เดี๋ยวต้องลาออกจากความหวังใหม่ มาสมัคร สมาชิกพรรคสหกรณ์
พล.อ.ชวลิต : เอาหัวหน้ามาเป็นผู้ช่วยเลขาฯแล้วกันนะครับ
ดีจังเลยครับ โอ๊! สบายใจ ที่ได้มาเยี่ยมเยียน พระคุณเจ้า
พ่อท่าน : เมื่อกี้เกริ่นๆให้ฟังนิดหน่อยว่า
ที่นี่จัดงานนี้แล้ว เป็นงานสังสันทน์กันปีใหม่ มีทั้งบันเทิง มีทั้งสาระ
มีการให้ความรู้ มีการอภิปราย มีการบรรยาย มีการอบรม มีหลายๆอย่าง variety
มีตลาดอาริยะ ตลาดนี้เราเรียกตลาดอาริยะ เพราะว่า ตลาดนี้ คนขายนั้น
ต้องขายต่ำกว่าราคาทุน ทุกสินค้า ต่ำจริงๆ ไม่ใช่ต่ำกว่าราคาขายในท้องตลาด
ต่ำกว่าราคาทุน ซื้อมา ๑๐๐ ต้องขายต่ำกว่า ๑๐๐
พล.อ.ชวลิต : ที่พระคุณเจ้าบอกว่ายังไม่ได้เปิด
พ่อท่าน : เปิดเป็นเวลาให้เขา ไม่งั้นไม่ไหว
คนขายก็ตาย มุงกัน แย่งกัน เราทำมาหลายปีแล้ว ที่จริงเปิดมา ๑๐ กว่าปีแล้ว
ตลาดอาริยะ เราเปิดมาตั้งแต่ ๒๕๒๘ เปิดมาตั้งแต่ทำที่สันติอโศก แล้วย้ายไปทำที่ปฐมอโศก
ที่นี้คนเต็ม ไม่มีที่รองรับแล้ว จึงเคลื่อนมาจัดที่นี่ เพราะสถานที่ไม่พอ
ลานจอดรถอะไรต่างๆนานา มันก็ไม่พอ คนจะไปจะมา มาบางที เอารถโกดัง มาด้วยนะ
มาซื้อของก็เอาขึ้นรถโกดัง ซื้อกันมากันถึงขนาดอย่างนั้น ข้ามจังหวัดมาซื้อ
ที่ปฐมอโศก จัดแล้วเป็นอย่างนั้น ขนาดเอารถ ๑๐ ล้อ เข้าไป ติดตายเลย
แล้วถนนเราเล็กนิดเดียว ไม่ไหวเลย ปฐมอโศกจัดแล้วก็ไม่ไหว จึงขยับมาจัดที่นี่
คือเราทำเพื่อทำให้เห็นว่า
คือระบบบุญนิยมของเรานี่ ทุนนิยมเขาคิดทุน แล้วเขาก็ขาย ต้องเกินทุน
ถือว่านั่นสุจริต ที่นี่ถือว่าทุน และถ้าขายเกินทุน นี่ถือว่าทุจริต
ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น คนผลิต ผลิตสินค้ามาคิดทุน
ผลิตสินค้าชิ้นนี่ขึ้นมา ราคาพันหนึ่ง ทุนพันหนึ่งคิดหมดแล้ว ค่าแรงงาน
ค่าโสหุ้ย ดีไม่ดี error ๕% ๓% ก็บวกไว้แล้ว เรียบร้อยแล้ว ทุนสมมติ
๑,๐๐๐ เวลาขายตามระบบทุนนิยม ถือว่าสุจริตยุติธรรม เราขายเกิน ๑,๐๐๐
อย่างนี้ผิด ในแนวคิด ของบุญนิยมนี่ผิด ๑,๐๐๐ ต้องขายต่ำกว่า ๑,๐๐๐ จึงเรียกว่ากำไร
ต้องขาย ๙๙๙ กำไร ๑ บาท ถ้าขาย ๙๙๐
กำไร ๑๐ ถ้าขาย ๙๐๐ กำไร ๑๐๐ ทำไมเรียกว่ากำไร เพราะว่าเราได้ เราได้เสียสละ
พล.อ.ชวลิต : ถูกต้อง
พ่อท่าน : เราได้เสียสละ เราได้ให้แก่เขา
คุณลงทุนไป ถ้า ๑,๐๐๐ คุณให้เขาไปแล้วเขาเอา ๑,๐๐๐ แลกมา มันก็เจ๊ากันแล้ว
ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสียใช่มั้ย อย่างนี้ไม่ทำกันเลย ทุนนิยม ทุน ๑,๐๐๐
ต้องขายเกิน ๑,๐๐๐ ก็ไปรีดเอาเขามา และมีวิธี การรีด จนกว่าเขาจำนน ต้องมีจิตวิทยาสังคมขนาดหนักนะ
พล.อ.ชวลิต : max profit
พ่อท่าน : ใช่ ยิ่งเท่าไรฉันจะเอาเท่านั้น
พล.อ.ชวลิต : ไม่ไหว
พ่อท่าน : นี่ทุนนิยมไม่มีขีดจำกัดด้วย นอกจากคนซื้อเขาจำนนเท่านั้นเอง
เขายอมซื้อเท่านี้ ถ้าขึ้นไปได้อีก เขาจะขึ้นไปได้อีก ทุนนิยม ไม่มี
limit เลย แย่ ระบบนี้ถึงได้พังทั้งโลก แต่อันนี้มี limit ไว้แล้ว คุณขายเกินทุนนี่
คุณก็บาปแล้ว คุณขายเท่าทุน ก็ไม่บาปไม่บุญ แต่ถ้าคุณขายต่ำกว่าทุน ได้บุญแล้ว
พล.อ.ชวลิต : ตรงนี้คือวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ทีนี้เป็นแต่เพียงว่า
ทำอย่างไรถึงจะปรับของเรา เข้าไปกับโลกสมัยใหม่ให้ได้
พ่อท่าน : อ๋อ! ปรับโลกสมัยใหม่ได้ เราปรับเข้าไปกับโลกสมัยใหม่อยู่
ปรับอย่างไร ปรับตัวเราให้แข็งแรง ให้ตัวเรา มีผลิตภัณฑ์ ผลิตผล มีกำลังสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วเราก็จะได้เอื้อกับสังคม เข้าไปเรื่อยๆ เราจะปรับเข้าไปหาสังคม ก็เพื่อจะไป
ช่วยสังคม ไม่ใช่ปรับตัวเข้ากับสังคม เพื่อดูดสังคมให้เรา ไม่ใช่ เราปรับอยู่
แต่เราปรับยังไม่ได้มากนัก เพราะว่า เราก่อร่าง สร้างตัวมา ๒๐-๓๐ ปีเอง
แต่ได้ไปเรื่อยๆ เอื้อพอสมควร
พล.อ.ชวลิต : นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง ผมฟังดูแล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
พ่อท่าน : มีคนสงสัยทันทีว่า โอ๊! ขายต่ำกว่าทุน
แล้วจะอยู่รอดได้ยังไง อันนี้เขาไม่เข้าใจ ถึงสัจจะ สัจจะมีว่า แต่ละคน
มีสมรรถนะ มีความสามารถ ไม่เช่นนั้น จะสร้างผลผลิต เขาก็สร้างผลผลิตได้ดี
ได้มาก ค่าของสมรรถนะของเขานี่ สมมติ เขามีค่าสมรรถนะ วันหนึ่ง ๑,๐๐๐
ตามราคาของสังคม ตามราคาของสุจริตธรรม ธรรมดา ค่าสมรรถนะของเขา ค่าความรู้
ของเขานี่ วันละ ๑,๐๐๐ แต่เขาเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วนี่ เขากิน เขาใช้ของเขาน้อย
วันหนึ่ง ๒๐๐ ก็เหลือแล้ว กินใช้ เอาไป
เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ด้วย วันหนึ่ง ๒๐๐ เขาก็พอ เพราะฉะนั้น ค่าสมรรถนะของเขา
เหลืออีก ๘๐๐ เอามารวม หักต้นทุน เอามาลดต้นทุน ทีนี้เราทำไม่ได้ทำคนเดียว
เราทำรวมๆกัน หลายผู้หลายคน หักอย่างนี้ทุกอย่าง มาหักต้นทุน บริษัทนี้
แต่ละคน มีคนทำงาน อยู่ ๓๐, ๑๐๐ ก็แล้วแต่ ก็จะเอาส่วนเหลือ ของแต่ละคนลดต้นทุนๆ
พล.อ.ชวลิต : ถูกต้อง
พ่อท่าน : ก็ขายราคาต่ำกว่าทุนได้
พล.อ.ชวลิต : อนุโมทนาครับ อนุโมทนา จริงๆครับ
พ่อท่าน : ทุกวันนี้เราทำได้แล้ว แต่ว่ายังไม่เก่งเท่าไรเท่านั้นเอง
พล.อ.ชวลิต : ขยายให้มากขึ้น ในสังคมไทยเป็นอย่างนี้แค่กึ่งหนึ่ง
พ่อท่าน : ไม่ถึงกึ่งหรอก ประเทศไทย ๖๒
ล้านนี่ เป็นอย่างนี้ได้เพียง ๑๐ ล้าน เท่านั้นแหละ รับรองเป็นเอกราชใหญ่
เป็นมหาอำนาจใหญ่ ๑๐ ล้าน ขอให้เป็นอย่างนี้จริงๆ เถอะ ๑๐ ล้านใน ๖๐
นี่แหละ เพราะอะไร เพราะว่าลักษณะ ที่มันเป็นลักษณะของบุญนิยม ลักษณะของพฤติกรรม
พิธีกรรม กิจกรรม หรือ กิจการอย่างนี้ ระบบนี้ มันเกิดขึ้นมา เป็นทั้งรูปธรรม
เป็นทั้งกระแสของสังคม มีกระแสวิญญาณด้วย ออกไปนี่ รับรอง ต่างประเทศ
ก็ต้องทึ่งจริงๆ แล้วมัน ยังไม่เคยมีในโลก พูดกันจริงๆ แนวคิดอย่างนี้
ระบบอย่างนี้
พล.อ.ชวลิต : เขากำลังศึกษากันนะ ศึกษากันว่าเราคิดกันอย่างไร
พ่อท่าน : อย่างไรจะเข้าใจและเต็มใจเสียสละจริง
อย่างคอมมิวนิสต์ เขาก็พยายามที่จะไปรวม ให้เป็นส่วนกลาง ให้ได้มากๆ
แล้วจะได้แชร์ไปหา ผู้ที่ด้อยอะไรต่างๆ นานา แต่คนที่ถูกดึงไป เขาทำ
๑๐๐ ดึงไป ๕๐ อะไรอย่างนี้ เขาก็ฝืนใจ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่ยอม เมื่อเขาไม่ยอม
คนเหล่านั้นก็กดดันๆๆๆ ๗๐ กว่าปี พังไม่เหลือแล้ว เพราะเขาไม่เข้าใจ
ด้วยปัญญา ใจเขาไม่เต็ม แต่ที่นี่คนที่นี่มา เต็มใจสร้างให้หมดเลย อย่าว่าหักแค่
๕๐% เลย ทำให้ ๑๐๐ เลย ก็ขอแบ่งกินแบ่งใช้ ของคุณหน่อยนะ ซึ่งกินไม่มากแล้ว
ไม่ใช้มากแล้ว มักน้อยสันโดษอยู่แล้ว เท่านั้นก็พอสมควร ตามความพอเพียง
พออยู่พอกินพอไปพอมา คนเหล่านี้เข้าใจด้วยปัญญา ว่าอย่างนี้เป็นสิ่งดี
อย่างนี้เขาเต็มใจทำ ไม่มีอะไรกดดันในชีวิต จิตวิญญาณ ไม่มีอะไรกดดัน
จะไปอีกกี่ปี ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ก็ไม่ระเบิด คอมมิวนิสต์กดได้ ๗๐ ปี ๗๐
กว่าปี ระเบิดหมด
พล.อ.ชวลิต : ทุนนิยมก็คงจะอยู่ไม่ได้นะครับ ไปไม่รอด
พ่อท่าน : ทุนนิยมเสรีก็อยู่ไม่ได้ นี่แหละอาตมาที่พูดไว้เมื่อกี้คิดว่า
๕๐๐ ปี จะสมบูรณ์
พล.อ.ชวลิต : ของอาจารย์นี่ถ้าจะเรียกว่า third
way
พ่อท่าน : แต่คิดว่าไม่ถึง ๕๐๐ ปี เพราะอะไร
เพราะมนุษย์ไม่มีทางไปแล้ว ไม่มีทางเลือก ต้องมาเลือกทางศีลธรรม ทางคุณค่า
คุณงามความดี อันนี้ เรื่องจริงของมนุษย์ใช่มั้ย มนุษย์ทุกคน ปรารถนาความดี
ความคิดถูกต้อง สิ่งดีอันนี้ เขาแสวงหาอยู่ ไม่ใช่เขาไม่แสวงหา เขาเอาอยู่และไม่มี
ทางเลือกแล้ว ๒.วัตถุ ทรัพยากรโลกหมดแล้ว ร่อยหรอ ผลาญกัน จนกระทั่งใช้วิทยาศาสตร์แปร
ตอนนี้อาหารก็จะต้องคั้นมาจากดิน มาจากทราย มาจากรากพืช รากไม้ จนจะไม่มีจะกิน
จะใช้แล้วเดี๋ยวนี้ อะไรก็เอามาทำ นอกนั้นก็เหลือกากเศษ เป็นกัมมันตภาพรังสี
เป็นอะไรต่ออะไร ซ้อนไปในสังคมในโลก เพราะฉะนั้น สรุปแล้วก็คือ โลกไร้ทรัพยากร
คนก็ไม่มีทางไป
พล.อ.ชวลิต : วิถีทางคงต้องมาอย่างนี้ จะทำอย่างไรถึงจะเร่งขึ้นหน่อย
พ่อท่าน : เราทำดีที่สุด ขยันที่สุด อดทนที่สุด
เมื่อสุดแล้วก็สุด ได้เท่าไรก็เท่านั้น เมื่อเราขยัน ที่สุดแล้ว พากเพียรที่สุดแล้ว
ตั้งใจที่สุดแล้ว ทำเท่าที่ได้ ไปโลภกินอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็สอนไว้
เหมือนกันว่า อย่าโลภเกินความเป็นไปได้
พล.อ.ชวลิต : แหม แต่อีก ๕๐๐ ปี
พ่อท่าน : ๕๐๐ ปีนี่ อาตมาตั้งเอาไว้เผื่อๆ
พล.อ.ชวลิต : ขอต่อ เหลือสัก ๓๐ ปี ไม่ได้หรือครับ
พ่อท่าน : โอ๋! ต่อยิ่งกว่าพาหุรัดนะ ๕๐๐
ต่อ ๓๐ นี่ พาหุรัดค้อนเลยนะนี่ บอก ๕๐๐ ต่อ ๓๐
พล.อ.ชวลิต : อยากให้เสร็จในสมัยพอทัน
พ่อท่าน : เราไม่ต้องไปคิด ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธแล้ว
ศาสนาพุทธมีวัฏสงสาร ไม่ต้องกลัวหรอก ตายแล้วเกิดอีกมาทำต่อ
พล.อ.ชวลิต : ครับผม
พ่อท่าน : อาตมาไม่กลัว อาตมาตายนี่ เดี๋ยวอาตมาก็มาเกิดอีก
มาทำต่อไป
พล.อ.ชวลิต : ชีวิตบริสุทธิ์ครับผม ใช่ ผมอีกนานกว่าจะเกิดอีก
พ่อท่าน : ใช่ อันนี้สำคัญ สำคัญว่าทำยังไง
เราตายแล้ว เราจะไม่ไปอยู่ในนรกเสียก่อน แล้วไม่ได้มา ต้องทำตัวเอง ให้มาเกิด
เป็นคนได้อีก เข้ามาในนี้ได้อีก จะได้มาสืบสานต่ออีก อันนี้เป็นหลักประกันที่สำคัญ
เพราะฉะนั้น ทุกคนถึงต้องให้ศีล ๕ บริสุทธิ์ ถ้าศีล ๕ บริสุทธิ์แล้ว
ได้เกิดเป็นคน อันนี้คำตรัสของพระพุทธเจ้า ศีล ๕ ให้บริสุทธิ์แล้วได้เกิดเป็นคน
เมื่อได้เกิดเป็นคนแล้ว ไม่ต้องห่วง วนเวียน ไม่ตกนรก ได้เกิดมาเป็นคน
แล้วน้ำก็จะไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน มันจะมาหากันเอง ดูแต่กบนี่
อยู่จังหวัดนี้ กบอีกจังหวัดหนึ่งยังร้องหากันได้เลย แล้วก็สืบพันธุ์กันจนได้
มันไม่มี
ปัญหาอะไร นกบินอยู่ที่นี่ บินอยู่ที่โน่น มันก็ต้องข้ามมาผสมกัน ตระกูลเดียวกัน
ต้องมานัยเดียวกัน อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นธรรม น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน
เพราะฉะนั้น ทิฐิหรือมรรคผล หรือว่าสิ่งที่ฝังใจ เป็นสัญชาตญาณ มันจะไหลมาหากันเองในอนาคต
เพราะฉะนั้น อีกกี่ชาติ ก็ไม่ต้องกลัว ใครเข้าใจถึงวัฏสงสารอันนี้ ของพระพุทธเจ้าแล้ว
ไม่มีปัญหา อาตมาไม่มีปัญหา อีก ๓๐๐ ปี อีก ๒๐๐ ปี อีก ๕๐๐ ปี อาตมาไม่มีปัญหาหรอก
ไม่ไปไหนเสียเลย
หลังการสนทนาแล้ว พล.อ.ชวลิต
ยงใจยุทธ และคณะได้เดินชมบริเวณตลาดอาริยะ ก่อนที่ จะทำการเปิดขายสินค้า
มีชาวบ้าน ทยอยกันมารอมากมาย ก่อนกลับ พล.อ.ชวลิต เอ่ยปากชมว่า "ที่หนึ่งเลย
"
ส่วนพ่อท่านแสดงธรรมต่อ
ก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายรุ่งฤทธิ์ มกรพงษ์ จะมาเป็นประธาน กล่าวเปิดงาน
"...ผมดีใจที่ราชธานีอโศก ได้มุ่งเน้นเอาแนวทางพุทธศาสนา
มาแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง..." ท่านผู้ว่าฯ รุ่งฤทธิ์ กล่าวในช่วงเป็นประธานเปิดงาน
แล้วเดินดูบริเวณตลาดอาริยะ แต่เนื่องจากชาวบ้าน มากันเยอะมาก ท่านผู้ว่าฯ
และคณะเอง ก็ต้องหลบออกข้างๆทาง ในบางช่วง
ขณะสมณะฉันอาหาร เป็นช่วงเปิดตลาดอาริยะแล้ว
ทราบข่าวว่า คนเป็นลมกันหลายคน เพราะแดดจัด ร้อนมาก จุดตรวจแลกเงินใบละ
๑,๐๐๐ และ ๕๐๐ บาท บริการไม่ทัน ชาวบ้านต่อแถวกันยาวมาก พ่อท่านให้ฝ่ายการเงิน
ไปจัดหาซื้อ เครื่องตรวจสอบแบงก์ปลอมเพิ่มเติม เพื่อจะได้บริการได้ทัน
หลังฉันอาหาร พ่อท่านเดินตรวจดูบริเวณตลาดอาริยะ
หลายร้านต้องรีบปิด งดขายชั่วคราว ด้วยสินค้า จะหมดก่อน งานเลิก ร้านค้าของคุณนรินทร์
บำรุง ชาวบ้านต่อแถวยาวมาก ด้วยเป็นสินค้าครัวเรือน มีหลากหลาย คุณนรินทร์เล่าว่า
สงสารชาวบ้าน มือกำเงินจนเปียกเหงื่อ กว่าจะได้ซื้อครกซื้อหม้อ ฯลฯ
""ผมเชื่อว่าพี่น้องชาวอโศก
จะเป็นกลุ่มคนที่จะพลิกฟื้นชาติได้"
ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ กล่าวในรายการ "เปิดฟ้าส่องโลก"
๓๑ ธ.ค. ๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก ขณะเดียวกันที่ ดร.อรรถ นันทจักร ได้มาร่วมบรรยาย
ใช้ชื่อรายการว่า "เปิดฟ้าส่องการศึกษา"
"เมื่อวานผมร่วมมากับคณะพล.อ.ชวลิต ผมเห็นยุวชนของเรา ร้องเพลง(คนสร้างชาติ)
ต้อนรับ ผมน้ำตาซึม ผมว่า คนเฒ่า คนแก่ทุกวันนี้ เปรียบเหมือนอนุสติ
ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ สังคมไทยขาดผู้นำทางจริยธรรมอย่างมาก
ผมฟังพ่อท่าน พูดเมื่อวาน
ที่ว่า ตอนนี้จะสร้างปัญญานิพนธ์ ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ผมซึ้งใจเลย
ประเทศชาติขณะนี้ เราไม่ควรหลงกับกระดาษ
มันควรสร้างปัญญาอย่างที่พ่อท่านว่า การสร้างชาติตอนนี้ ควรสร้างคน สร้างชุมชน
ไม่ใช่ไปหลงสร้างอะไรๆ อย่างที่เขากำลังหลงกัน"
"...ศาสนาพุทธจาก
๑-๒,๕๐๐ ปี ก็รูปอย่างที่ผ่านมา จาก ๒,๕๐๐-๕,๐๐๐ ปี ที่อาตมาจะมาพัฒนาขึ้นนี้
รูปของสังคม จะเห็นได้ว่าต่างกัน ตั้งแต่รูปแบบ พฤติกรรม ชีวิตความเป็นอยู่
กิจกรรม พิธีกรรม และวัฒนธรรม
ตั้งแต่นี้ไปโลกโลกีย์
จะดำเนินไปอย่างนั้น โลกุตระอย่างที่อาตมาทำนี่ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
รูปจะต่างกันเลย แต่อยู่ด้วยกัน จะเป็นเรื่องที่แปลก ความเป็นอยู่ไม่เหมือนกัน
จะมีลักษณะปะทะกันบ้าง พวกเราจะอยู่กับเขาได้ แต่เราจะไม่เป็นอย่างเขา
เขาจะมาอย่างเราก็ไม่ได้ง่าย แต่ก็จะยอมรับเราขึ้นมาเรื่อยๆ"
พ่อท่านกล่าว
กับหนุ่มสาวนิสิตวังชีวิต และศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ๑๙ ธ.ค. ๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก
อนุจร
๓๐ ม.ค. ๒๕๔๔