พรรคเพื่อฟ้าดิน |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 235 เดือน เมษายน 2544 หน้า 1/1 |
|
|
พรรคเพื่อฟ้าดิน FOR HEAVEN AND EARTH PARTY (FHAE) ในวันอาทิตย์ที่ ๑๘ มี.ค.๒๕๔๔ พ่อท่านได้ลงนำทำวัตรเช้า เพื่อแสดงธรรมกัณฑ์พิเศษ จึงมีญาติโยม ทั้งคนวัดคนข้างวัดมาร่วมกันฟังมากกว่าปกติ หลังจากสวดมนต์ และกล่าวทักทาย เจริญธรรม พ่อท่านก็กล่าวเกริ่นนำว่า วันนี้อาตมาตั้งใจจะมาเทศน์เรื่องการเมือง จะพูดถึงนโยบายของการเมือง เพราะเป็นที่รู้กันแล้วว่า เรามีพรรคการเมืองที่ตกลงใช้ชื่อพรรคว่า "เพื่อฟ้าดิน" ใช้ภาษาอังกฤษว่า FOR HEAVEN AND EARTH PARTY ใช้ตัวย่อว่า FHAE และเริ่มเทศน์ซึ่งมีเนื้อหาที่พอสรุปได้ดังนี้ พวกเราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ทำอะไรขึ้นมาใหม่ๆ ในสังคมกลุ่มใหม่ในยุคนี้ ถือว่าเป็น นวัตกรรม (INNOVATION) หมายความว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ จากสังคมเก่า เป็นสังคมอีกแบบหนึ่ง ที่แปลกไปจาก สังคมสามัญยุคนี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะมีลักษณะ ที่แตกต่างจาก สังคมทุนนิยม หรือ สังคมโลกีย์ทั่วๆไป ซึ่งจะต่างกันมาก ราวกับมนุษย์ คนละโลก พวกเราอาจถูกตู่ว่า เป็นพวกสุดโต่ง สุดขั้ว ที่จริงคำตู่นั้นไม่จริง เพราะจริงๆแล้ว เรายังโต่งไม่ได้สุดขั้ว ด้วยซ้ำไป ยังน้อยไป เราน่าจะสุดโต่ง ได้มากกว่านี้อีกมาก ที่จริงที่ว่าสุดโต่งนั้นคือ คนทุนนิยม หรือ ชาวโลกีย์เขามองมาที่เรา เขาก็หาว่าเรานี่ ไกลจากเขามาก โดยเขาไม่รู้ความจริง ไม่รู้ความหมายของ สัจธรรม ว่าไกลคืออะไร? ความจริงแล้ว มีเส้นแบ่งขีด หรือเส้นเริ่มต้น เป็นจุดศูนย์กลาง อยู่ตรงหนึ่ง เรียกว่า ขีดของมนุษย์โลกุตระ และ มนุษย์โลกียะ โลกุตระนั้น ทวนกระแสโลกียะ เพราะฉะนั้น จุดเริ่มต้น ยังไม่โต่งไปไหน เป็นจุดกลาง เมื่อโลกียะสูงไป โต่งไปทางโลกียะ มันก็จะปรุงแต่งโลกียะ ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย มากหลายไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ปรุงกันไป ทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุดเลย จริงๆแล้ว เขาสุดโต่งแล้ว ทางโลกียะ ของเราทางโลกุตระ ก็จะลดความโต่ง ของโลกียะ ลงมาๆ จนถึงจุดกลาง แล้วเราลดข้ามเขต มาเป็น โลกุตระ เป็นอาริยะโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ และอรหันต์เป็นที่สุด แล้วจริงๆ เราโต่งไปได้ไกลหรือยัง ยังเลย ที่เราโต่งไปนี่ ก็โต่งจากจุดเริ่มต้น ไปทางโลกุตระได้นิดเดียว ยังไม่ไกลอะไรเลย แต่เขาก็ว่า เราสุดโต่ง แต่โลกียะเขาโต่งไปจนไกล เขาก็ไม่รู้ว่าเขาสุดโต่ง เพราะเขาไม่รู้ว่า เขายืนอยู่จุดไหน เมื่อมองมาหาเรา เห็นว่าไกลจากเขาเหลือเกิน เขาจึงบอกว่า เราสุดโต่ง พวกเราชาวโลกตุระเป็น "ชาวบุญนิยม" เป็น "ชาวอาริยะ" เรากล้าพูดคำนี้เต็มๆ เพราะ ๒ คำนี้ ใช้แทนกันได้ พอสมควร จะบอกกันให้ทราบว่า เราจะทำงานการเมือง คือ การเมืองอาริยะ หรือ การเมืองบุญนิยม และก็คิดว่า เราจะเป็น ประชาธิปไตย คืออำนาจอันใหญ่ยิ่ง เป็นของประชาชน โดยให้ประชาชน เลือกตัวแทนของตน เข้าไปใช้ อำนาจ เพราะฉะนั้น ผู้ใช้อำนาจจะต้องเป็นตัวแทน ที่สัตย์ซื่อต่อตนเอง และต่อประชาชน หากไม่สัตย์ซื่อ ก็เป็นอันไม่ต้องหวังว่า จะเป็นประชาธิปไตย ผู้ที่จะมาทำงานการเมือง จึงต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ยิ่งๆ มีสมรรถภาพ มีความรู้ความสามารถ ดังนั้นผู้เป็นตัวแทน ก็คือ ผู้ขึ้นไปรับใช้ประชาชนโดยตรง ต้องเป็นผู้รับใช้จริงๆ ไม่ใช่ไปเป็นเจ้านาย และไปทำให้ ประชาชนเป็นสุข ตนเองจึงต้องเป็นสุขก่อน ความสุขในที่นี้หมายถึงสุขโลกุตระ หรือเรียกว่าวูปสโมสุข เป็นความสุขที่ต้องไร้ การเป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นสุขที่ปลอดภัย ไม่สร้างหนี้ ไม่สร้างบาป ไม่สร้างศัตรู ไม่สร้างความวุ่นวาย เดือดร้อน มีแต่สร้างความสงบ สามัคคีดีงาม ความเบิกบานร่าเริง อันเป็นความสุขวิเศษ เพราะฉะนั้น ผู้จะไปเป็นผู้แทน จะต้องเป็นคนไม่หลงไม่เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เป็นคนที่ปลอดภัย ไปรับใช้ได้ อย่างมีความสุข สงบ ไม่มีภาระส่วนตน เป็นคนที่อิสรเสรี ไม่ลำเอียง เป็นโลกุตรบุคคล หรืออาริยบุคคล เป็นชาวบุญนิยม จึงจะเป็นคน ที่มาสร้างประชาธิปไตยได้ และจะเป็น ประชาธิปไตย ที่ดี พวกเราชาวอโศก ได้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมาก็มั่นใจว่า พวกเราจะเป็น ประชาธิปไตย ตามที่เรามั่นหมาย ซึ่งจะต้องแตกต่างจาก ประชาธิปไตย ในระบบทุนนิยม หรือ ตามโลกสามัญทั่วไป ที่เขาต่างมี ต่างเป็นกันอยู่ นโยบาย หรืออุดมการณ์ ที่เราจะพูด หรือเขียนออกไปนี้ เขาอาจจะเห็น เป็นเรื่องแปลกๆ บ้าๆ แผลงๆ หรือเป็นเรื่องที่คิดเล่นๆไม่จริง ก็ไม่เป็นไร ช่างเขา แต่เราจะทำให้เป็น ประชาธิปไตย แบบบุญนิยม หรือแบบอาริยะให้ได้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่เขาไม่เชื่อว่า จะมีอาริยบุคคล เขาไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง เพราะเขาไม่มี สัมมาทิฐิ แต่อาตมาเชื่อ ในพวกเราว่า มีคนที่ปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราทำกันมาจน ๒๐ ปี, ๓๐ ปีแล้ว ได้เกิดเป็นชุมชน เป็นสังคม มนุษย์มีวัฒนธรรมอย่างนี้ อาตมายืนยันว่า นี่เป็นวัฒนธรรม บุญนิยม ที่เป็นไปได้ ซึ่งเห็นได้ทั้ง วัฒนธรรมทางการดำเนินชีวิต ที่เป็นสังคม ของสาธารณโภคี มีของส่วนกลาง ทุกคนหามาแล้ว เอามารวมกันเป็นส่วนกลาง ไม่ยึดเป็นของตนเอง จะกินใช้ ก็เบิกจากส่วนกลาง กินใช้ส่วนกลางร่วมกัน เราทำได้แล้วทุกวันนี้ แม้จะเป็นกลุ่มเล็กก็ตาม แต่เมื่อมี หลายๆกลุ่ม อย่างนี้มากเข้าๆ นั่นก็คือ กลุ่มใหญ่ เป็นมหภาค ระบบบุญนิยมที่เราทำขึ้นมานี่ แต่ละคนๆ มีคุณธรรมในตน และคุณธรรม นี่แหละ เป็นทุนทางสังคม ระบบบุญนิยม จะสร้างทุนทางสังคม เศรษฐกิจที่เราทำ ก็เป็นเศรษฐกิจบุญนิยม หรือเศรษฐกิจเชิงพุทธ ที่จะสงเคราะห์สังคม หรือให้ทุนทางสังคม ตลอดเวลา แต่ก็มีเจตนารมณ์ ที่จะให้การสงเคราะห์นี้ ไปสร้างคน เพราะฉะนั้น การสงเคราะห์สังคม ของชาวบุญนิยม จึงไม่ใช่สงเคราะห์แต่เพียงวัตถุ ไม่ใช่สะพัดแจกจ่ายอย่างชาวโลก ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมแฝง ที่จะเอาเปรียบ เพื่อเอากลับมา ให้แก่ตัวมาก ซึ่งเป็นความฉลาด ของความโลภของคน คนทุกวันนี้ ปฏิบัติหรือพัฒนาแต่เรื่องความโลภ ยิ่งฉลาดก็ยิ่งบำเรอความโลภ ความโลภก็จะอ้วน จะใหญ่ขึ้น ตลอดเวลา คนที่ฉลาด ขี้โลภ จึงเป็นอาวุธร้าย ที่ทำลายสังคม อยู่ทุกวันนี้ ชาวบุญนิยมที่พัฒนาแล้ว ผู้บรรลุบุญนิยมแล้ว การเมืองอาริยะ ส่วนระบบบุญนิยม เป็นระบบที่มีทั้งสาระ องค์ประกอบที่เต็มไปด้วยบุญ มีคุณความดี มีปรมัตถสัจจะ ไม่มีความรุนแรง เลวร้ายฆ่าแกงข่มขี่กัน จึงน่าเป็นไปได้ยิ่งกว่า เพราะมนุษย์เรา จริงๆแล้ว ก็ต้องการ คุณความดี ความสงบสุข เพราะฉะนั้น การเมืองอาริยะในอนาคตต้องเกิดได้แน่ๆ ซึ่งจะต้องเกิดจากคน ที่ถูกสร้างขึ้นมา เป็นอาริยะ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์ ของนโยบายดังนี้ ๑.เศรษฐกิจบุญนิยม ๒. การศึกษาบุญนิยม
๓. กสิกรรมบุญนิยม ๔. อุตสาหกรรมบุญนิยม ๕. การเงินบุญนิยม ๖. สาธารณสุขบุญนิยม ๗. การบริโภคบุญนิยม
๘. การสื่อสารบุญนิยม ผู้ทำงานสื่อสาร จะต้องยิ่งซื่อสัตย์ต่อสังคม ต่อปวงประชาชน ไม่แฝงเพื่อหาประโยชน์ ส่วนตน หรือลำเอียง เป็นเครื่องมือของคนนั้น กลุ่มนี้ พรรคนี้ แต่จะต้องเกื้อกูล สร้างสันติสุข สร้างความอบอุ่น ความเจริญงอกงาม ให้แก่มนุษยชาติ ๙. ศิลปะบุญนิยม ๑๐. การบริหารบุญนิยม
๑๑. กฎหมายบุญนิยม
การออกกฎหมาย จะต้องออกให้น้อยและชัดเจน ไม่บีบบังคับอะไรมาก แต่จำเป็นต้องบีบบังคับ ก็ต่อเมื่อ สิ่งนั้นรุนแรงร้ายแรง จึงเป็นกฎหมาย ที่เข้าใจสังคม เข้าใจความขาดแคลน ความร้าย ความแรง เข้าใจสิ่งที่มาก สิ่งที่เกิน ต้องมีหลักเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ อย่างมาก ทั้งความเข้าใจ ในการศึกษา และ การเมืองอย่างดีมาก ๑๒. กระบวนการยุติธรรมแบบบุญนิยม ๑๓. วิทยาศาสตร์บุญนิยม สามารถใช้วิทยาศาสตร์ ให้เป็นประโยชน์ ต่อสังคมมนุษยชาติ และ ต้องบอกแจ้ง ถึงพิษภัย ถึงสิ่งที่จะเอาไปใช้ กับสังคมมนุษย์ สิ่งใดเป็นพิษภัยต่อสังคม ก็ต้องมีกฎหมาย บังคับในการใช้ เพราะวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ ๒ คม มีทั้งประโยชน์ และโทษ จึงจำต้องมีความเข้าใจ ในวิทยาศาสตร์นั้นๆ อย่างดี ๑๔. ความสัมพันธ์ระหว่างชาติบุญนิยม (การต่างประเทศ) จะเป็นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูล ที่ช่วย เหลือกัน อย่างไม่ใช่ไปเอาประโยชน์จากเขา ต้องเป็นความสัมพันธ์ที่มีน้ำใจ มีความปรารถนาดี มีสุจริตใจ สุจริตธรรม มีความซื่อตรง อะไรที่สามารถสัมพันธ์ได้ เราก็รับสัมพันธ์ด้วย อะไรไม่สามารถ สัมพันธ์ได้ เราก็ขออยู่ส่วนตัว อย่างแท้จริง เป็นความสัมพันธ์ อย่างมีภูมิปัญญา เข้าใจถึงเรา และเขาว่า เราจะมีประโยชน์คุณค่ากับเขาไหม หากเราให้ประโยชน์ คุณค่าอะไรกับเขาไม่ได้ เราก็ขอสงบเสงี่ยมก่อน ส่วนการรับความช่วยเหลือ จากผู้อื่นนั้น เราจะขอรับแต่น้อย เราจะช่วยตนเอง พึ่งตนเองให้ได้ อย่างแข็งแรงก่อน จึงจะสัมพันธ์กับชาติต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเขา สรุปการเมืองบุญนิยมหรือการเมืองอาริยะนี้ จะต้องเข้าใจคำว่า บุญนิยม อย่างสำคัญ บุญนิยม คือ คติความเชื่อที่มุ่ง "บุญ" เป็นที่ตั้ง (เป็นนิยมสั้นๆ ที่พ่อท่านกล่าวไว้) และให้เรียกสังคมเราว่า "สังคมมนุษย์บุญนิยม" สุดท้ายพ่อท่านก็ยืนยันว่า เรื่องที่เทศน์ไป ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นไปได้จริง เพราะทุกวันนี้ สังคม ชาวอโศกเรา ก็มีสภาพสังคม ที่มีคุณลักษณะ ตามที่ได้พูดไปแล้ว แต่ทว่า เป็นกลุ่มตัวอย่าง ที่ไม่มีมากนัก จึงได้ฝากให้พวกเรา พยายามขวนขวาย ให้มีคุณธรรมที่เป็นอาริยะ หรือ เป็นบุญนิยม ขึ้นมา ให้แข็งแรงให้ได้ แล้วสภาพดังกล่าว จะปรากฏให้เห็นเอง ที่เป็นนวัตกรรมจริงๆ เป็นการเปลี่ยนแปลง มาเป็นสังคม มนุษยพันธุ์ใหม่ แรงพุทธ เรียบเรียง
|
|
(สารอโศก อันดับ ๒๓๕ หน้า ๑๐ - ๑๘ เดือน เมษายน ๒๕๔๔) |