อาริยะยุค
๒๐๐๐ |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 235 เดือน เมษายน 2544 หน้า 1/1 |
|
|
อาริยะยุค ๒๐๐๐ เกลียวธรรม ตอนที่ ๑๗ "...ชุดละ ๑๐ บาทค่ะ ขายแล้วค่ะ ๑๐ บาทเท่านั้น... นี่เป็นเพลงเพื่อชีวิต... เพลงเพื่อจิตวิญญาณ และนิทานสำหรับเด็ก... เสียงปลุก เสียงปลง ทุกชุดขายแค่ ๑๐ บาทค่ะ... นี่คือการขายแบบ ราคาบุญนิยม ซึ่งราคาต่ำกว่าต้นทุนนะคะ" เสียงแจ้วๆดังลั่นจากของสาววัยรุ่น ซึ่งอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้ม อันเป็นยูนิฟอร์ม ของนักเรียน สัมมาสิกขา ชาวไร้ธุลีหมอง ที่ทุกสังกัดสาขาทั่วประเทศ จะใช้สี และชุดเหมือนกันหมด และ ที่สำคัญนั้นคือ แบร์ฟูต ไม่ใส่รองเท้า ซึ่งคงหาที่อื่นๆ มาเหมือนได้ยากยิ่ง เสียงใสๆ แฝงด้วยความอ่อนน้อม ถ่อมตน ของบุญขวัญ ทำให้ผู้คน ที่เดินผ่านไปมา ต้องหันมามอง และอดไม่ได้ ที่จะแวะเวียนไปชม หรือเลือกซื้อ สื่อสาระธรรม เธออยู่ในร้านขนาดใหญ่ ของซุ้มธรรมทัศน์สมาคม จาก กทม. ที่ยกร้านมาขาย เพื่อขาดทุน โดยเฉพาะ มันเป็นประเพณี ของพ่อค้าแม่ขาย ชาวไร้ธุลีหมอง ที่ถือว่า "การขาดทุนคือกำไร" เรียกว่า กำไรอาริยะ นั้นคือการ ได้เสียสละ ได้ลดละ ความโลภนั่นเอง... ปีนี้นับว่าเป็นปีที่ ๓ แล้ว ที่หมู่บ้าน ชุมชนราชธานี ไร้ธุลีหมอง ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน ตลาดอาริยะ ซึ่งกำหนดวัน อยู่ในช่วง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ และวันนี้ แม้เป็นวันแรก แต่ผู้คนจากทั่วสารทิศ ก็หลั่งไหล มาแสวงหา ซื้อของถูก คุณภาพดี กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน จนฝุ่นปีใหม่ ฟุ้งกระจาย ตลบอบอวล ไปทั่วบริเวณงาน "อิ่มละบาทครับๆ.....น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ร้อนๆจ้า...าาา " เสียงหนุ่มวัยรุ่นจากฝั่งตรงข้ามที่อยู่ใกล้กัน ดังแทรกขึ้นมา อย่างคึกคะนอง สนุกสนาน ด้วยเจตนาข่มเสียง ของเด็กสาววัยรุ่น ที่กำลังชู ตลับเท็ปเพลง และหนังสือธรรมะ เชิญชวนลูกค้า อย่างขยันขันแข็งอยู่ จึงทำให้บุญขวัญ ลดมือลง และหันไป ค้อนขวับใหญ่ เพราะฟังออกว่า เจ้าพันธุ์พุทธ เพื่อนคู่หู ของฟ้าลั่นนั้น จงใจชัดๆ ส่งเสียง ให้ดัง เพื่อข่มกลบเสียงของเธอ แต่เธอก็อด ที่จะหันมองไป ทางเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ไม่ได้ ซึ่งกำลังนวดฟั้น ปั้นแป้งปาท่องโก๋ อยู่อย่างคล่องแคล่ว แล้วหย่อนลงไปทอด ในกระทะน้ำมัน ที่ร้อนจัดอย่างรีบเร่ง เพื่อให้ทันกับความต้องการ ของลูกค้า ที่กำลังยืนเข้าคิว รอกันยาวเหยียด เด็กสาวเหม่อมอง ใบหน้า ที่เต็มไปด้วยหยาดเม็ดเหงื่อ แต่ก็มีรอยยิ้มแย้ม แจ่มใสเบิกบาน เป็นกันเองกับลูกค้า ที่มาอุดหนุน ภาพตรงหน้านั้น ทำให้เธอรู้สึกชื่นชม ทั้งตัวเธอเอง ก็เกิดพลังขึ้นมา อย่างประหลาด... และ ในขณะเดียวกันนั้นเอง เธอก็ยกตลับเท็ป พลางร้องตะโกนขึ้นว่า... "บาทเดียวค่ะ... เอ้ย ไม่ใช่ชุดละ ๑๐ บาทค่ะ" มันทำให้หลายคน ที่อยู่ใกล้ๆ หันมามองเป็นตาเดียว ขณะที่ได้ยิน ประโยคแรกของเธอ แต่ก็อดที่จะยิ้ม อย่างเอ็นดูไม่ได้ ในกิริยาที่ผิดพลาด แล้วรีบปรับเปลี่ยน และมีอาการรุกรน จนหน้าแดง เหมือนใบกระท้อนสุก ด้วยความเขินอาย ของเด็กสาว... แต่เสียงหัวเราะอันขบขัน ซึ่งดังมา จากฝั่งตรงข้ามนั้น แทบจะทำให้ ใบหน้าของเธอ เปลี่ยนเป็นสีเขียวไป เพราะความโมโห ในการใช้เสียงหัวเราะ อย่างไม่สำรวม ของเพื่อนผู้ชาย ที่ค่อนข้างขี้เล่น ประจำห้องเรียน สาวน้อยบุญขวัญสะบัดหน้าหนี และหันไปยิ้มแย้มกับลูกค้า ที่กำลังเดินเข้ามา อย่างเป็นขบวน ปากก็ส่งเสียง เจื้อยแจ้วเชื้อเชิญ โดยไม่หันไปสนใจ ร้านขายปาท่องโก๋ ให้สมาธิของตัวเอง ขัดเคลื่อน คลอนแคลนอีกต่อไป แรงงานโยธา ซึ่งขันอาสามาบริการ ของพ่อค้าแม่ขายวัยจ๊าบนั้น มีเป็นจำนวนนับร้อย ที่มาฝึกหัด เสริมสาน สื่อต่อปณิธาน ของการค้าแบบ บุญนิยม ซึ่งนับว่า มีการปลูกฝังไว้ อย่างเหนียวแน่น มั่นคงอย่างเป็นระบบ เป็นทีมโดยธรรมแท้ๆ จะมีอะไรอีกเล่า ที่มาเป็นพลังหนุนเนื่อง ให้ผู้คนมา เสียสละกัน เป็นขบวนการใหญ่ ได้ขนาดนี้ ถ้ามิใช่คนเหล่านั้น เขาได้ปฏิบัติตน ลดละ ความโลภ ได้ระดับหนึ่งแล้ว จึงมีการสื่อออกมา เป็นรูปธรรมปรากฏชัด จนสัมผัสได้ และสามารถพูด ได้เต็มปาก เต็มคำว่า คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มิได้เป็นหมัน ดั่งคำว่า "อกาลิโก" ผู้ปฏิบัติด ีปฏิบัติชอบ ตามมรรค มีองค์ ๘ สามารถลดละ ความโลภ ความเห็นแก่ตัวได้จริงๆ โดยมิได้จำกัด กาลสมัยเลยเทียว สารพัดสินค้าที่จำเป็นสำหรับชีวิต ซึ่งพ่อค้าแม่ขาย ชาวไร้ธุลีหมอง ที่มีทั้งผลิตเอง และลงทุน หาซื้อกันมา เพื่อการค้าขาย ที่ต้องขาดทุน ตามภาษาโลกๆ นับได้ว่า เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่ได้ปรากฏ ขึ้นแล้วในยุคนี้ ซึ่งสามารถท้าทาย ให้มาพิสูจน์ได้ทุกปี แต่โปรดอย่ามาช้า เพราะสินค้าที่กอง เป็นภูเขาเลากา ของแต่ละซุ้มนั้น มันหด หายวับไปกับตา ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นกัน เพราะกำลังซื้อ อันเหนียวแน่น ของประชาชนนั้นเอง... จนต้องมีมาตรการ กำหนดให้ซื้อได้ ไม่เกินอย่างละกี่ชิ้น ต่อหนึ่งคน เพื่อที่จะป้องกันคนขี้โลภ ที่มีเจตนา มาขนไปขาย เอากำไรต่อ... แต่บางคนก็น่าเห็นใจ เพราะความยากจน บวกกับของราคาถูกจริงๆ จึงอุตส่าห์เก็บหอม รอมริบไว้ เพื่อกาลนี้โดยเฉพาะ ก็ต้องมาเจอ การเข้มงวด ในการขาย แบบแบ่งปันเผื่อแผ่ เช่นเดียวกัน ทั้งๆที่เขาเหล่านี้เพียงแต่หวังว่า จะซื้อไปส่วนตัว เพื่อเก็บ-กินใช้ ได้นานๆเท่านั้นเอง... ในยุค IMF ที่ข้าวยากหมากแพงอย่างบ้าดีเดือดเช่นนี้ โอกาสของคนจน ถูกตัดทอนลง ก็เป็นเรื่อง น่าเศร้าอยู่ทีเดียว แต่นั่นแหละ คนจนแท้ หรือจนเทียม ก็เป็นเรื่องที่ พ่อให้แม่ให้ ทั้งหลายแหล่ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีจิตใจ ที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา อยู่เต็มร้อยแล้ว ช่วยกันพิจารณา... อาจจะยืดหยุ่น ให้เป็นกรณีพิเศษ เป็นรายบุคคล รถรานานาชนิดถูกกักกัน ไม่ให้เข้ามาวิ่งขวักไขว่ ให้ฝุ่นฟุ้งในบริเวณ ตลาดแห่งบุญ ยานพาหนะทุกชนิด จึงไปแออัด ยัดเยียดกันในสถานที่... จอดรถฟรี ที่จัดไว้ ให้จอดได้นับพันคัน โดยมี รปภ. คอยแนะนำ และดูแลให้เรียบร้อย ฟรี! เช่นกัน นับว่าชาวบุญนิยมนั้น เก็บเกี่ยวบุญ ได้ครบวงจร จริงๆ แถมยังห่วงใย ในสุขภาพของลูกค้า คอยบอกติงเตือนว่า อย่าสูบบุหรี่ ในเขตตลาดอาริยะ ซึ่งก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ อย่างน่าชื่นชม ที่ได้รับความร่วมมือ เป็นอย่างดี รวมทั้งเรื่อง ทิ้งขยะ ให้ลงถังเรียบร้อยด้วย เพราะว่าในหมู่บ้านราชธานีฯ ไม่มีผู้ใดสูบบุหรี่ หรือเสพสิ่งเสพติดใดๆเลย และมีวัฒนธรรม การจัดการเรื่องขยะ ได้อย่างน่าเลื่อมใสศรัทธา เช่น การแยกขยะ ที่เป็นธรรมชาติ และขยะมลพิษ หรือขยะที่สามารถ นำมาใช้ใหม่ได้... อาจจะเป็นสิ่งเหล่านี้ ที่ทำให้เกิดพลังดึงดูด ชักนำให้คนภายนอก ที่เข้ามาเยี่ยมเยือน ได้ทำตามดังกล่าว... นับว่า ตัวอย่างที่ดี มีค่ากว่าคำสอน จริงๆ " "...หากว่าทุกๆชุมชนในประเทศ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ และถือศีล ปฏิบัติธรรมกันเช่นนี้... ประเทศและสังคม ก็จะมีแต่ความสงบสุข ตำรวจก็ไม่ต้องมี ผมก็คงต้องตกงาน... ทุกหมู่บ้านนั้น มีแค่... ผู้ใหญ่บ้าน ที่มีคุณภาพ เหมือนที่นี่ เพียงคนเดียวก็พอแล้ว..." นั้นเป็นสุนทรพจน์สุดๆ ที่ไม่ต้องแช่เย็น หรือใส่แว่นตาอ่าน ของพ่อเมืองอุบลฯ ตอนหนึ่ง ที่ได้ให้เกียรติ มาเป็นประธาน กล่าวเปิดงานตลาดอาริยะ ในปี ค.ศ.๒๐๐๐ ซึ่งนับว่า มิได้เป็นการกล่าวชื่นชม เกินเลยความจริง ไปมากนัก และผู้ว่าราชการคนนี้ เป็นผู้ที่มีเพาเวอร์ ในการสนองโครงการ ในพระราชดำริ เรื่อง ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง อย่างเต็มที่อยู่แล้ว จึงนับว่า สอดคล้องลงตัวกันอย่างยิ่ง ที่มาเป็นประธาน เปิดงาน ที่จัดขึ้น "เพื่อให้ เพื่อเสียสละ" อย่างนี้ วันแรกของงาน ซึ่งยังไม่ลงตัว ดูท่าทางขลุกขลักอยู่มิใช่น้อย เสียงประกาศนัดหมาย จึงดังกระจาย ไปตามสายทั่วทิศ จากพ่อให้แม่ให้ หลายๆกลุ่ม อยู่ไม่ขาดระยะ... "ขอโอกาสค่ะ....นักเรียน ม.ปลายศีรษะฯ ขอเชิญมาพบกันที่ซุ้ม... เส้นทางสู่ไหปลาแดก เวลาบ่ายห้าโมงเย็นเด้อค่ะ" เสียงนักเรียนหญิง ผู้มีอารมณ์เบิกบานคนหนึ่ง ดังมาตามสาย จนได้ยินถึงริมแม่น้ำมูล ทำให้ฟ้าลั่น ซึ่งกำลังแหวกว่าย อยู่กลางลำน้ำมูล อันเย็นเฉียบ ต้องหยุดลอยตัว และตะแคงหู ฟังเสียงทวนซ้ำสอง ด้วยใจจดจ่อ แต่..ก็เงียบหายไป อย่างไร้ร่องรอย จะเป็นเพราะ เหตุผลกลใด ยากที่จะคาดเดา ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มนั้น ไม่สบายใจ จึงรีบว่ายน้ำ กลับเข้าฝั่งทันที พร้อมกับนึกในใจว่า... การกล่าวย้ำ ซ้ำข้อความ ในการส่งข่าวให้ชัดเจนนั้น เป็นเรื่องสำคัญ มากทีเดียว ด้วยความเป็นคนเอาภาระ และรับผิดชอบ ฟ้าลั่นรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินก้มหน้า พร้อมเอามือเสยสลัดผม ดีดน้ำบนศีรษะฯ ไปพลาง แต่... ทันใดนั้นเอง ก็ต้องรีบเงยหน้าขึ้น และชะงักหยุดทันที เมื่อสายตา สะดุดกับข้อเท้า ที่ขาวนวลเปลือยเปล่าคู่หนึ่ง ยืนขวางทาง อยู่เบื้องหน้า เยื้องต้นจามจุรีใหญ่ริมมูล "เอ้า...น้องขวัญนี่เอง จะไปไหนครับ? " เด็กหนุ่มทักทายสาววัยรุ่นผู้น้อง อย่างแปลกใจ ที่ดูท่าทาง เหมือนเธอเจตนา มายืนดักรอพบอยู่เช่นนั้น "พี่ฟ้าลั่นคะ... เมื่อกี้ขวัญได้ยินเสียงประกาศ นัดประชุมวันนี้ ห้าโมงเย็นค่ะ" เด็กสาวไม่ตอบคำถาม แต่กลับส่งข่าวให้ทราบ พร้อมกับส่งยิ้มมาให้ และเบี่ยงตัวออก หันหลังกลับ เดินเคียงคู่ไปทันที ไม่ห่างนัก "ห้าโมงเย็นเหรอ? พี่กำลังจะไปเช็คข่าว อยู่พอดีเชียวครับ" ฟ้าลั่นพูดอย่างยินดี ที่ได้ข้อมูลชัดเจน จากเธอ "พี่ฟ้าลั่นคะ... ขวัญได้ข่าวว่า... หลังปิดเทอม พี่จะไปเดินจาริกไปทางไกล ตามหลังสมณะ หรือคะ? " บุญขวัญเปลี่ยนเรื่องใหม่ด้วยการตั้งคำถาม น้ำเสียงค่อนข้างเบา พลางก้มหน้า ซ่อนแววตา ตามสัญชาตญาณ ของผู้หญิงอย่างอัตโนมัติ "ครับ พี่ตั้งใจว่าจะทดลอง ฝึกหัดอดทน ต่อการเดินทางไกล และทนอด อย่างสมณะบ้าง หากว่าเกิดขาดแคลนอาหาร ในบางวัน... คิดว่ามันเป็นโอกาสดีของพี่ ที่จะฝึกตรงจุดนี้ ส่วนเรื่องการเรียนนั้น พี่คงกลับมาลงทะเบียนเรียน ที่สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต ตามที่ตั้งใจไว้ครับ" เด็กหนุ่มตอบยืดยาว ด้วยอาการยิ้มแย้ม และหันมาถามว่า "แล้วขวัญล่ะ? ตัดสินใจหรือยัง จะไปเอ็นฯที่ไหนดีครับ" เด็กสาวส่ายหน้าไปมา ด้วยความสับสนวุ่นวาย เพราะในขณะนั้น มัวแต่คิดว่า จะหาเหตุผล อันใดหนอ ที่มันสามารถหยุดฟ้าลั่น ให้เลิกล้มความตั้งใจ ที่จะไปครั้งนี้ได้ ด้วยความคิด ความหวังลึกๆ จึงห่วงกังวลว่า... หากฟ้าลั่นไปจาริกกับสมณะ อาจจะทำให้ความหวังนั้น ริบหรี่ลงแน่นอน "เอ่อ...อ...ขวัญยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ... บางที... บางทีอาจจะเข้าเรียนมหา'ลัยเปิด ก็ได้ค่ะ..." เด็กสาว ตอบคำถามแบบเนือยๆหงอยๆ "มหา'ลัยเปิดก็ดีนี่... เรียนไปด้วย หางานพิเศษทำไปด้วย ประหยัดเงิน และได้ประสบการณ์... แต่นั่นแหละอยู่ข้างนอก ภัยอันตรายรอบด้าน ขวัญก็รู้ สังคมยุคนี้ มีภูตผีปีศาจมารร้าย คอยจ้องกิน ตับไตไส้พุง ทำลายล้างผลาญ อยู่รอบตัวทีเดียว... คิดดีๆนะครับ" ฟ้าลั่นพูดพลาง ก้มลงหยิบถุง พลาสติก ที่ตกอยู่ริมทาง ๒-๓ ใบมาถือไว้ พร้อมกับพูด เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศว่า... "ที่ชมรมมังสวิรัติสาขาเชียงใหม่... เค้าสามารถรณรงค์ การไม่ใช้ถุงพลาสติก ได้ผลดีมากเลย ลูกค้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการเอาภาชนะต่างๆ มาซื้ออาหาร กลับไปทานที่บ้าน ช่างเป็นเรื่องน่าสรรเสริญ และน่าภาคภูมิใจ อย่างยิ่งนะครับ" สาววัยรุ่นพยักหน้ารับ ขณะที่จิตใจ ยังวุ่นวายอยู่ที่เรื่องเดิม จึงพูดขึ้นว่า... "พี่ฟ้าลั่นไม่คิดว่า จะเป็นการเพิ่มภาระ ให้ท่านสมณะหรือคะ" พร้อมกับมองประสานสายตานิ่ง และขมวดคิ้ว คล้ายคาดคั้น ห้ามปรามอยู่ในที... ซึ่งฟ้าลั่นก็สัมผัสได้ แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ "อ๋อ เรื่องนั้น ท่านบอกว่า มันไม่มีปัญหาหรอก หากว่าพี่มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว พร้อมที่จะเผชิญกับ ทุกสถานการณ์ข้างหน้า... พี่จึงคิดว่า มันเป็นเรื่องที่ท้าทาย ให้เราพิสูจน์ สมรรถภาพของร่างกาย และจิตใจ เป็นอย่างมากเลยครับ..." เด็กหนุ่มเน้นเสียง เหมือนย้ำความตั้งใจให้ทราบ บุญขวัญก้มหน้าเดินเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า... "พี่ฟ้าลั่น ขออนุญาต คุณแม่หรือยังคะ" เธอถามด้วยไม่ทราบว่า จะฉุดรั้งอย่างไรดี จึงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะสกัดกั้น แต่ก็เริ่มเกิดความไม่มั่นใจ เมื่อเห็นท่าทางที่ปักดิ่ง โดยไม่คลอนแคลน ของชายหนุ่ม อย่างที่ไม่เคยเป็น มาก่อนเลย หลายครั้งหลายคราว ที่ผ่านมา เธอขอร้องอะไร ฟ้าลั่นมักจะยืดหยุ่น ยอมทำตามคำขอของเธอเป็นส่วนใหญ่ และก็ไม่เคยต้องใช้เหตุผลอะไร มากมายด้วย "อ๋อ... พี่ได้เรียนขออนุญาต แม่รักบุญไว้คร่าวๆแล้วล่ะ... ท่านบอกว่า ถ้ามีโอกาสไปฝึก ก็นับได้ว่า เป็นการสั่งสมบุญบารมียิ่งๆขึ้น ท่านยังบอกอีกว่า หากท่านเป็นผู้ชาย ก็จะหาโอกาสฝึก เช่นเดียวกันครับ" เด็กหนุ่มพูดถึงรักบุญ ด้วยความซาบซึ้ง เด็กสาววัยรุ่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ที่หลายอย่างพลิกผัน ไม่ได้ดั่งใจ แต่... ทันใดนั้นเอง เหมือนมีแสงสว่าง วาบเข้ามาในจิตใจ ตำหนิติเตียนเธอว่า... "ทำไมเจ้าถึงไม่ยินดี กับการไปทำความดี ฝึกฝนตัวเองของพี่เขา... ทำไมเจ้าต้องเศร้าซึม พี่เค้าไม่ได้ไปเกเรอะไรที่ไหน และเจ้าก็ไม่มีสิทธิ ที่จะไปห้ามหั่น บั่นทอนสิทธิของใครด้วย... บ้าชะมัด เจ้าบุญขวัญเอ๋ย" มันคงเป็นสำนึกดี ที่ได้สั่งสมมา จากการสั่งสอนของสมณะ และครูบาอาจารย์ เธอจึงเกิดหิริ โอตตัปปะ (ความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป) และในบัดนั้นเอง ก่อนที่เธอจะตัดสินใจ กล่าวคำอนุโมทนาด้วย เสียงกริ่งจักรยาน ดังลั่น มาจากเบื้องหน้า กริ๊งๆ....กริ๊งๆๆๆ "เฮ้ย ขวัญ...ครูเรียกซ้อมละครตอนนี้เลย... ฉันปั่นตามหาเธอ เสียแทบแย่ มาเดินชมนกชมไม้ กับพี่ฟ้าลั่นอยู่ตรงนี้เอง" "ใยพุทธ" เพื่อนซี้ของบุญขวัญ โหวกเหวก ดังลั่นตามนิสัย คนขี้เล่นร่าเริง พร้อมกับส่งยิ้ม อย่างบริสุทธิ์ใจ ไร้เดียงสา มาให้สองหนุ่ม-สาวแต่ไกล "ใยพุทธ... เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เธอเป็นคนประกาศนัดประชุม ใช่มั้ยครับ... คราวหน้า กรุณาช่วยย้ำ ซ้ำให้อีกครั้ง จะได้ชัดเจน ในสิ่งที่ เธอต้องการจะส่งข่าวนะครับ" ฟ้าลั่นจำเสียงได้แม่นยำ จึงแนะนำ กึ่งตำหนิ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "ขออภัยมณีค่ะพี่... โอกาสหน้าขอแก้ตัวใหม่ค่ะ... ไปก่อนนะคะ" สาวอารมณ์ดี ออกแรงปั่น จักรยาน เมื่อบุญขวัญขึ้นนั่งซ้อนท้าย เรียบร้อยดีแล้ว ฟ้าลั่นเหม่อมองตามหลัง ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูกเหมือนกันว่า... ทำไมตัวเองถึงมีอาการ คล้ายๆในจิตใจนั้น อาลัยอาวรณ์... แต่ในขณะที่คุย อยู่ด้วยกันนั้น ก็มีความรู้สึกอึดอัด กริ่งเกรง ไปเสียทุกอย่าง พร้อมทั้งสังวรจิต ระมัดระวัง มิให้มีจิตยินดีผูกพัน กับเธออยู่ตลอดเวลา ด้วยความพากเพียร... แต่พอเธอห่างไกลออกไป ทำไม ใจของเราหมองๆ ถึงกับคุมให้มันอยู่ ในความสงบไม่ได้... โอ้! นี่กระมัง ที่เขาเรียกว่า ความรัก ทำไมมันช่างรุนแรง ปั่นป่วน บีบคั้นผู้คน อย่างไม่มีปรานีปราศัยแบบนี้หนอ... โอ้! หลวงพ่อ ช่วยหยุดความฟุ้งซ่าน ของลูกด้วยเถิด รายการบันเทิงภาคค่ำของชาวไร้ธุลีหมอง ในงานปีใหม่นั้น จะมีขึ้นตั้งแต ่ประมาณ ๖ โมงเย็น ไปจนถึงเวลาไม่เกิน ๓ ทุ่ม เพราะที่นี่ มีประเพณีนอนหัวค่ำ และตื่นเช้ากันทุกวัน ตี ๓ ครึ่ง จะมีการทำวัตรเช้า โดยฟังธรรมจาก พ่อท่าน เพื่อเพิ่มสัมมาทิฐิ และพลังใจ ที่จะได้ต่อสู้กับกิเลส ไปสู่เป้าหมาย คือความพ้นทุกข์ นั่นเอง เด็กและผู้ใหญ่ ผลัดกันขึ้นแสดงบนเวทีธรรมชาติ ที่สร้างเป็นเนินดินดูสวยงาม กลมกลืนกับตัวศูนย์อบรม คุณภาพชีวิตและจริยธรรม ของหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละรายการ จะต้องผ่าน การเซ็นเซ่อร์ ทั้งเวลา และเนื้อหาสาะ ให้เหมาะสม สอดคล้อง กับกำหนดเปิดปิดการแสดง ของแต่ละวัน อย่างเคร่งครัด ฉะนั้น วัฒนธรรม ประเพณีการละเล่น ของแต่ละภาค จึงถูกคัดสรรมา อย่างเข้มข้น การแสดงของ แต่ละกลุ่ม จึงนับว่าสุดยอดไอเดีย ในการสร้างสรรค์ อย่างไม่ต้องสงสัย... แต่ละปี ได้สร้างความตื่นตา ตื่นใจ ให้ผู้ชม ไม่น้อยทีเดียว มันเป็นงานที่ไม่มีการเก็บค่าผ่านประตู ไม่เก็บค่าสถานที่จอดรถ ไม่เก็บค่าที่พัก ไม่เก็บค่า บริการห้องน้ำ ฯลฯ และไม่มีตู้รับบริจาค ให้ผู้ใดมาทำเงินหล่นหาย เข้าไปในตู้ด้วย... แถมผู้มาใหม่ซิงๆ ที่ไม่เคยมา คบคุ้นกันเกิน ๗ ครั้ง หรือ ไม่ได้อ่านหนังสือ ของชาวไร้ธุลีหมองเกิน ๗ เล่ม... แม้จะดิ้นรนค้นหา เจ้าหน้าที่การเงิน ของมูลนิธิเจอ ก็ยังไม่มีสิทธิ ที่จะบริจาคอีกด้วย... เรียกว่า "หินเชียวล่ะ" ความจริงเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องการสอน แบบกลปรานี ที่จะบอกว่า เป็นพุทธสาวก ต้องมีปัญญา และชัดเจน ในการกระทำของตัวเอง... เพราะพุทธะแปลว่า.... ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนั้นศรัทธาที่จะให้ จะบริจาคนั้น จะต้องเปี่ยมเต็ม ด้วยปัญญาก่อนเสมอ การได้คบคุ้น ได้เข้าใจ ในอุดมการณ์ ของหมู่กลุ่ม จึงเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษากัน ให้ชัดเจนจริงๆ เรียกว่า ให้กันแบบรู้ๆ ไม่ใช่ให้กัน แบบเบลอๆ เพราะโดนหลอก เป็นคืนเดือนแรม ที่แสงดาวแพรวพราว เจิดจรัสที่สุด เรือกระแชงขนาดใหญ่ หลายลำ จอดอยู่ ริมแม่น้ำมูล อย่างเงียบสงบ สายลมพัดโชย หอบเอาไอน้ำเย็นๆ ผ่านประทุนเรือ มาเป็นละลอกๆ แคมเรือเสียดสี กับล้อยางรถยนต์ ที่ใช้กั้นระหว่างกัน เสียงดังเอี๊ยด... อ๊าดๆๆ ฟังดูเหมือน กับเสียงดนตรี ที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก... นักเรียนชายหลายคน ส่งเสียงกรนแข่งกัน ดังสนั่นหวั่นไหว แต่... ทันใดนั้นเอง "พี่ฟ้าลั่นคะ... พี่ฟ้าลั่นขวัญอยู่นี่ค่ะ" เสียงดังแว่ว แฝงมากับความสงัดของยามดึก... แต่มันคล้าย ชัดเจน ในความรู้สึกของฟ้าลั่น ทำให้เด็กหนุ่ม เหลียวมองไป ทางหัวสะพานริมท่าน้ำ จึงมองเห็น เงาตะคุ่มๆนั่งอยู่ ฟ้าลั่นมองซ้ายมองขวา ทุกอย่างยังเงียบสงบ เหมือนอยู่คนเดียว จึงถอนหายใจ ออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกับก้าวเดิน ลงจากเรือ ตรงไปที่ท่าน้ำ ซึ่งไม่ห่างกันมากนัก ด้วยหัวใจ ที่เต้นเร็วกว่าปกติ ลักษณะอาการ กึ่งกล้ากึ่งกลัว... แต่รู้สึกเหมือนว่า ขาทั้งสองข้าง มันไม่ยอม เชื่อฟังเจ้าของ และก็ดันทุรัง พาไปหาสาววัยรุ่น ที่นั่งห้อยเท้า อยู่ริมท่าน้ำ จนได้... "ขวัญ นั่นน้องขวัญใช่มั้ยครับ" ฟ้าลั่นส่งเสียงถามไปก่อน ทั้งๆที่แน่ใจ แต่เพราะไม่รู้ว่า จะขึ้นต้นอย่างไรดีนั่นเอง "ค่ะ...ขวัญเองค่ะ นั่งลงก่อนซิคะ ยืนให้เมื่อยขาทำไมคะ" เด็กสาวพูดแซวขึ้นยิ้มๆ ขณะที่ฟ้าลั่น กำลังคิดว่า จะนั่งหรือว่ายืนดีกว่า เพราะเคยสังเกต เห็นสมณะ ท่านจะไม่ยอม นั่งคุยกับมาตุคาม หรือผู้หญิง แบบตัวต่อตัว... ท่านบอกว่า มันผิดวินัย เป็นอาบัติปาจิตตีย์ "ครับ...ขอบคุณมากครับ" พร้อมกับนั่งลงด้วย ขณะจิตที่รู้สึกว่า... เรากำลังทำผิด กฎระเบียบ ที่มานั่งคุย กับผู้หญิงสองต่อสอง ในยามวิกาลเช่นนี้ หัวใจจึงเต้นตึ๊ก... ตั๊กๆๆ ยิ่งขึ้น "พี่ฟ้าลั่นคะ... ขวัญไม่อยากให้พี่ ติดตามสมณะไปจาริก... พี่ไม่ไปได้มั้ยคะ? " สายตาที่ช่างอ่อนหวาน ออดอ้อน พุ่งสู่ดวงตาของฟ้าลั่น และเสียบตรงหัวใจ อย่างแม่นยำ... อารมณ์ของเด็กหนุ่ม จึงเกิดความปั่นป่วน ไหวระริก ปานนาวาน้อยๆ โดนเกลียวคลื่น โถมเข้ากระแทก จนรวนเร หันรีหันขวาง ซึ่งอาจล่มและจมหาย ไปใต้ทะเล แห่งความรัก ในนาทีใด นาทีหนึ่งข้างหน้า... โอ้...ณ ใต้ทะเลแห่งนั้น ย่อมรกรุงรังไปด้วย สาหร่ายแห่งความใคร่อยาก ประการัง ที่เห็นแก่ตัว และมัจฉาแห่งความหึงหวง ซึ่งคอยผูกมัดรัดรึง ทั้งร่างกายและจิตใจ ให้จมดิ่งลึกลงไปๆ จนห่างไกล เส้นทางอันประเสริฐ ของพรหมจรรย์... ผู้ที่มีความอาจหาญ แกล้วกล้า และหนักแน่น มั่นคงเท่านั้น จึงจะแหวกว่าย ฟันฝ่า สลัดสิ่งที่ พันธนาการเหล่านั้น หลุดล่อนไปได้... และจะด้วยเหตุไฉนหนอ ที่จะช่วยให้ฟ้าลั่น ผ่านพ้นวิกฤตแห่งอารมณ์ ของตัวเอง ที่กำลังลุกโพลง ขึ้นมา อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน... ก็ในเมื่อตอนนี้ เด็กหนุ่มเอง กำลังขยับตัว เข้าไปใกล้ร่างของ สาววัยรุ่นอย่างไร้สติเสียแล้ว... (อ่านต่อฉบับหน้า)
|
|
อาริยะยุค ๒๐๐ | |
อาริยะยุค ๒๐๐๐ (สารอโศก อันดับ ๒๓๕ หน้า ๑๓๐ - ๑๓๗ เมษายน ๒๕๔๔) |