เดินตามรอยพ่อ

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 235
เดือน เมษายน 2544
หน้า 1/1

ยอม หยุด เย็น

จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในครอบครัวที่ไม่อบอุ่นนัก เธอแสวงหาความอบอุ่น ให้กับจิตใจของเธอ โดยเธอไม่รู้ว่า สิ่งที่เธอแสวงหานั้น คือความอบอุ่นในอะไร? แม้ชีวิตเธอจะโหยหา ความอบอุ่นจากพ่อ และความอบอุ่นจากแม่ แต่สิ่งที่เธอโหยหา ก็เป็นแรงกระตุ้น ให้เธอต้องเข้มแข็ง อดทน เพื่อวัน ข้างหน้า เพื่อสิ่งดีๆในชีวิต

ฉันชอบอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะหนังสือนิทานชาดก และนิทานธรรมะ สมัยนั้น โรงเรียนฉัน หยุดวันพระ และวันอาทิตย์ จากการที่ฉันชอบอ่าน หนังสือนิทานธรรมะ ทำให้ฉันประทับใจ และฝังใจ ในข้อความในหนังสือ ประโยคที่ว่า "โลกนี้ไม่ว่างเว้นจากอรหันต์ " ประโยคนี้แหละ ทำให้ฉันเกิด ความศรัทธา ในศาสนาพุทธ มากทีเดียว

ฉันจะทำบุญตักบาตร ทุกๆวัน ตั้งแต่เด็กๆ ด้วยความศรัทธาในพระ ที่อยู่ในพุทธศาสนา ฉันได้มีโอกาส ไปเยี่ยมแม่ฉัน โดยอาที่ฉันอาศัยอยู่ และเลี้ยงดูฉัน พาฉันไปเยี่ยมแม่ ที่นครสวรรค์ ขณะที่เดินผ่าน วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งใหญ่มาก ฉันได้ยินเสียงผู้ชาย แซวมาจากในวัด ฉันหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นพระ และเณรในวัดนั้น ฉันเกิดความรู้สึก รังเกียจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ความศรัทธาในพระ ที่อยู่ในพุทธศาสนา มันได้กลายเป็น ความรังเกียจไปซะแล้ว

ฉันสอบบรรจุรับราชการครูได้ แต่ความฝังใจในวัยเด็ก ที่ฉันชอบอ่าน นิทานธรรมะ ก็ยังฝังใจ ฉันไม่รู้ลืม ฉันยังศรัทธาในพุทธศาสนา ฉันอยากทำงาน ให้กับศาสนา วันที่ฉันไปรายงานตัว เพื่อเข้ารับราชการครู ศึกษานิเทศน์ กล่าวต้อนรับข้าราชการครู ที่ไปรายงานตัว ฉันจำได้ ถึงประโยค ที่ว่า "ขอแสดงความยินดีกับทุกท่าน ที่กำลังจะเข้ามา มีอาชีพยากจน เช่น พระพุทธเจ้า "

จากประโยคดังกล่าว ฉันคิดว่าฉันคงจะรับราชการครูได้ไม่นานแน่ มันเกิดความแสลงใจ อย่างบอกไม่ถูก เพราะการรับราชการ ก็คือ การกินเงินเดือน จากภาษีของราษฎร ไม่ว่าสภาพแวดล้อม จะเป็นอย่างไร จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ราษฎรจะอดอยาก มากแค่ไหน แต่ข้าราชการ ก็ยังรับเงินเดือน และอยู่ไป จนปลดเกษียณ และยังได้บำนาญ ไปตลอดชีวิต เด็กๆที่มาเรียนหนังสือ ไม่มีแม้อาหาร กลางวันจะกิน แต่ครูมีกิน นั่งร่วมวงกินกัน อย่างสนุกสนาน เฮฮาทุกวัน คิดแล้วรู้สึกว่า ตัวเราเอง เป็นคน ที่เห็นแก่ตัวที่สุด เอาเปรียบที่สุด และเป็นประเภท พวกมือยาว สาวได้สาวเอาที่สุด

คิดแล้วก็แสลงใจ แต่ฉันทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือ ทำอาหารมาเผื่อเด็ก ที่ไม่มีอาหารกลางวันกิน และให้ทุนการศึกษา แก่เด็กปีละ ๔-๕ ทุนทุกปี แต่สิ่งเหล่านี้ที่ทำอยู่ ก็ไม่สามารถจะช่วยเด็ก ได้มากมายนัก เพราะฉันเอง ก็ยังกินยังเที่ยว สนุกสนานเฮฮา พอปิดเทอม ฉันก็ไปนั่งวิปัสสนา ตามวัดต่างๆ ถึงวันเปิดเทอม ฉันก็กลับเข้ามา ในวังวนเก่าๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือดีขึ้นไปกว่านี้ จนเวลาผ่านไปร่วม ๑๐ ปี

ฉันจึงแสวงหาว่า ที่ไหนเขาทำงานให้กับสังคม โดยไม่คิด ค่าตอบแทน แม้เวลา จะผ่านไปนาน แต่ความตั้งใจ ลึกๆของฉัน ที่ฉันจะทำงาน ให้ศาสนา ก็ยังไม่ลืมเลือน ฉันแสวงหา ไปตามวัดต่างๆ ฉันก็ยังเห็น ศักดินาของพระ เห็นความโอ่อ่า ของเจ้าสำนัก ไปที่ไหนๆ ก็เห็นพระ ไม่มีความเสียสละ และความเป็น สุภาพบุรุษพอ มิหนำซ้ำ ยังมีพฤติกรรม ที่ไม่น่าไว้ใจ ฉันมองดูแม่ชี ก็เหมือนแม่ครัว ของวัดเท่านั้นเอง

ฉันโชคดี มีน้องสาวนำหนังสือมาให้ฉันอ่าน ๒ เล่ม คือ แสงสูญ และ เจริญชีพด้วยการก้าว ฉันสะดุดใจ ชื่อหนังสือมากเลย โอ้... แสงสูญญตาหรือเนี่ย... เจริญชีพด้วยการก้าว... ฉันอ่าน รวดเดียวจบ วันรุ่งขึ้น ฉันตัดสินใจ ไปที่สันติอโศก จำได้ว่า วันนั้นวันที่ ๑๙ เม.ย. ๒๕๒๔ มาถึงสันติฯ ได้เห็นพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ แสดงธรรมก่อนฉัน และภาคบ่าย มีการตอบปัญหาด้วย

ฉันได้ฟังธรรม วันนั้น ฉันบอกกับตัวเองทันทีว่า "ใช่แล้ว ใช่เลย พระแบบนี้ ที่ฉันแสวงหา" ฉันมี ความรู้สึกว่า พระองค์นี้ ไม่ใช่พระธรรมดาแน่ๆเลย เกิดความศรัทธามาก ในพ่อท่านโพธิรักษ์ แต่ฉันก็ยังไม่สามารถ ตัดสินใจ ลาออกได้ทันที เพราะฉันได้มี ภาระหนี้สิน กว่าสี่หมื่นบาท และ ยังมีภาระ เรื่องของน้องๆอีก เมื่อทบทวนดูแล้ว ก็คงจะมาทันทีไม่ได้

ต่อมาไม่นาน ญาติธรรมรวมตัวกัน เพื่อจะมาปลูกบ้านใกล้วัด เพื่อปฏิบัติ ขัดเกลาตัวเอง จึงเกิด โครงการปฐมอโศก (ปัจจุบันเป็น ชุมชนปฐมอโศก) ฉันก็ตั้งใจ มาปลูกบ้านร่วมด้วย ที่ปฐมอโศก...

การมีบ้านก็มีภาระ แม้ฉันจะออกจากราชการครู แล้วมาช่วยกลุ่ม ขายอาหารมังสวิรัติ ซึ่งเป็นร้าน อาหารส่วนกลางของกลุ่ม ที่จังหวัดตาก ฉันได้ไปช่วยงาน อยู่ที่นั่น ทำให้ห่วง และกังวลเรื่องบ้าน ที่ปฐมอโศก ฉันจึงตัดสินใจขาย และยกทรัพย์สิน ทั้งหมด ให้กับปฐมอโศกไป หมดภาระจุดนั้น ฉันจึงได้มาสันติฯ บ่อยขึ้น

จนกระทั่ง ปีพ.ศ.๒๕๒๘ ฉันก็ปลดภาระทุกอย่าง จนเป็นไทกับตัวเอง อย่างอิสระเสรี และเข้ามาอยู่ สันติอโศก อย่างเต็มตัว และเต็มใจ การที่ฉันยินดี มาช่วยงาน ให้กับที่นี่ ให้กับศาสนา เพราะพ่อท่าน โพธิรักษ์ ให้พวกเราทำงาน อย่างอิสระ ผิดถูก ก็พูดคุยกัน ในที่ประชุม ได้เห็นความเมตตา และ ความเป็นพระอาริยคุณ ของพ่อท่านมากๆ และความเป็นสุภาพบุรุษ ที่มีจิตใจกว้างขวาง หาใครเปรียบมิได้...

ได้มีเหตุการณ์ต่างๆมากมาย เกิดขึ้นกับชาวอโศก แต่ฉันก็ไม่ตกใจมากนัก เพราะได้คาดการณ์ และเตรียมตัว เตรียมใจไว้แล้ว และคิดว่า แม้อะไรจะเกิดขึ้น ในภายหน้า ผลออกมา จะเป็นอย่างไร ก็ตาม ฉันก็จะเดินตาม รอยเท้าพ่อ พ่อผู้มีเมตตา พ่อผู้เป็นพระอาริยะ ฉันจะเดินตามทางของพ่อ อย่างไม่หวาดหวั่น ไม่หวาดกลัว ในภยันตรายใดๆทั้งสิ้น

การปฏิบัติที่ยากที่สุดก็คือ การปฏิบัติตัวเองให้เป็นคนยอม ยอมให้ได้ในทุกเรื่อง ยอมให้ได้ ในทุกสิ่ง ฉันประทับใจ ในคำพูดของสิกขมาตุ ที่พูดไว้ว่า "ทุกคนที่เข้ามาในที่นี้ ต่างก็เข้ามาทำงานให้ศาสนา มาเสียสละ มาช่วยงานพ่อท่าน ด้วยความศรัทธา เหมือนกันทุกคน" เป็นคำพูดที่ เตือนสติฉัน ได้อย่างมากมาย ใช่ ทุกคนมาทำงาน เสียสละ ทุกคนมาทำงาน เพื่อศาสนา เพราะศรัทธา และ เชื่อมั่นพ่อท่าน แล้วฉันไย ยังยึดถืออัตตา ของตนหนอ?

ถึงแม้เราจะมีความเคารพ ศรัทธาพ่อท่านมากมาย หรือมุ่งหวัง จะเดินตาม รอยพ่อท่าน แต่เราก็อาจ จะสะดุดขา ตัวเราเอง ล้มลงได้ เพราะตัวเรานั่นเอง เพราะการยึดมั่น ถือมั่นในอัตตา ตัวกูของกูนี่เอง ฉันยังจำได้ พ่อท่านเคยพูดว่า "ยอมมันเสียหายตรงไหน มันมีแต่ได้ กับได้ฝ่ายเดียว"

...แม้หัวใจจะเย็นวาบ แม้น้ำตาจะอาบแก้ม แม้จะเสียหน้าอย่างยับเยิน แม้จะถูกล่วงเกิน อย่างหยามหยัน แม้จะถูกมอง อย่างลบหลู่ ในความเขลา ก็จะขออภัย และขอเวลาขจัดอวิชชา ในตนต่อไป แม้จะล้มลุก คลุกคลาน ก็จะขอยันกาย ลุกขึ้นเดิน เดินตามรอยเท้าพ่อ ต่อไปอย่างมั่นคง...

กราบแทบเท้าบูชาคารวะยิ่ง

ข้าน้อย เพชรพิงฟ้า (สม.เทียนคำเพชร)

 

เดินตามรอยพ่อ (สารอโศก อันดับ ๒๓๕ หน้า ๗๘ - ๘๒ เดือน เมษายน ๒๕๔๔)