เดินตามรอยพ่อ
ถักทอ...ธารธรรมสู่ฟากฟ้า |
|
|
|
เคยเสพย์สุขดื่มเสพย์มาก็มาก
เคยพลัดพรากพลาดพลั้งก็หลายหน เมื่อนึกย้อนอดีตที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่น่าเชื่อว่าข้าพเจ้าจะกลับตัวกลับใจ มาเป็นคนฝึกดีได้อีก สมัยนั้นข้าพเจ้าอายุ ๑๒ ปี จำได้ว่า มีกลุ่มพิษณุโลก ซึ่งพ่อแม่ และญาติข้าพเจ้า เป็นสมาชิกในกลุ่มด้วย เวลามีการประชุมกลุ่ม สมณะชาวอโศก จะเดินทางมา เป็นประธาน ในการประชุมทุกครั้ง และมีการเทศนาให้โอวาท ข้าพเจ้า ยังไม่เข้าใจอะไรมากหรอก รู้แต่ว่าที่บ้าน ทานอาหารมังสวิรัติ และข้าพเจ้า ก็ต้องกินอาหาร มังสวิรัติ ตามไปด้วย ไปโรงเรียน ข้าพเจ้าก็ห่อข้าวที่เป็นอาหารมังสวิรัติ ไปทานที่โรงเรียน ข้าพเจ้ารู้สึก อายเพื่อนๆ และพออายุประมาณ ๑๘ ปี ก็เดินทางไปเรียนต่อที่ จ.เชียงใหม่ ช่วงแรก ข้าพเจ้า ก็ยังคงรับประทาน อาหารมังสวิรัติ เมื่อห่างไกลหมู่กลุ่ม และนานวันเข้า ข้าพเจ้าก็กินเจเขี่ย เขี่ยไปเขี่ยมา ในที่สุด เขี่ยเนื้อเข้าปาก ชีวิตวัยเรียนในเชียงใหม่ แวดล้อมไปด้วยเพื่อนประเภทกิน สูบ ดื่ม เสพย์ ตกเย็นก็ตั้งวง กินเหล้า เมากัญชากันทุกวัน (ชีวิตไกลบ้าน มันสนุกเลอะเทอะ แบบนี้นี่เอง) แรกๆ ข้าพเจ้าไม่สนใจ ที่จะร่วมวง สรวลเสเฮฮา กับเพื่อนหรอก แต่ความเคยชิน ที่เห็นทุกวัน บวกกับเพื่อนๆ ให้เหตุผลว่า "การเรียนที่เชียงใหม่อากาศมันหนาว ต้องแก้หนาว ด้วยเหล้า นี่แหละ" จากสิ่งที่ไม่เคยลองในชีวิต เมื่อลองเสพย์แล้ว มันก็เกิดติดอกติดใจ นี่หนอที่เขาเรียกว่า สิ่งเสพติด จากธรรมดาก็เลยเถิดเกินธรรมดา จากบุหรี่ก็เป็นกัญชา ข้าพเจ้าหลงระเริง อยู่กับความสุข ในการกินสูบ ดื่มเสพ จนลืมหมดสิ้นว่า เคยเป็นนักปฏิบัติธรรม รุ่นจิ๋ว เคยเป็นสมาชิก สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม หมายเลข ย.๕๔๒ จากนั้นข้าพเจ้าก็เข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ ระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิถีการใช้ชีวิตของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ ยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม หลงระเริง ไปกับแสง สีเสียง ที่ยั่วย้อมมอมเมา ของเมืองหลวง (จะโทษสิ่งแวดล้อม ฝ่ายเดียว ก็ไม่ถูกเท่าไหร่ เป็นที่ตัวเราเองด้วย) ทุนเดิมที่มีอยู่คือ กินสูบดื่มเสพย์ (ทุนในทางที่ไม่สร้างสรร) แล้วข้าพเจ้า ก็เพิ่มทุนใหม่โดยหลงคิดว่า มันคือความสุขของชีวิต ข้าพเจ้าเริ่ม เล่นการพนัน ด้วยคำพูดของเพื่อนที่ว่า "วิชาคณิตศาสตร์ เป็นวิชาหลัก ของคณะวิศวะฯ พวกเราต้องฝึกคำนวณและนับแต้ม" ข้าพเจ้าติดการเล่นไพ่รัมมี่ เป็นชีวิตจิตใจ เล่นข้ามวันข้ามคืน โดยไม่มีอาการง่วงนอนเลย แม้แต่น้อย เล่นไพ่ไป สูบบุหรี่ กัญชากันไป เงินที่ใช้ในการเล่น ก็แปรเปลี่ยน เป็นสุราอาหาร เรียกว่าแพ้ หรือชนะ ก็หมดเงินเหมือนกัน (นี่แหละหนาผีพนัน) ประเพณีของคณะวิศวะฯ เมื่อจัดแข่งขันกีฬา ที่ทุกสถาบันเข้าร่วม ฝ่ายเจ้าภาพ ต้องเตรียม สุราอาหารไว้ต้อนรับ ทำกันจนเป็นธรรมเนียม ซึ่งต้องใช้เหล้า ในปริมาณที่มาก ข้าพเจ้าและเพื่อนๆทีมงาน จึงตัดสินใจ ต้มเหล้าเถื่อน (ซึ่งผิดกฎหมาย) ข้าพเจ้าเป็นหัวเรือใหญ่ ในการเป็นคนจัดการ ในสิ่งที่ทางธรรมะ เรียกว่า "อบายมุข" คือหัวหน้านรก หรือ ความหายนะนั่นเอง ระดับมหาวิทยาลัยสอนให้คนมีความรู้ แต่คุณธรรม ไม่ได้มีการอบรมสั่งสอน คนจบระดับมหาวิทยาลัย จึงไร้คุณธรรม เป็นส่วนมาก มีความเห็นแก่ตัวเต็มเปี่ยม เห็นแก่พวกพ้อง ของตัวเองเต็มพิกัด เอาเปรียบกอบโกยเต็มที่ เมื่อมีโอกาส เมื่อพลาดโอกาส ก็กล่าวร้ายสังคมไม่เป็นธรรม ที่เป็นดังนี้ เพราะไม่มีวิชา ว่าด้วยการเสียสละนั่นเอง วันคล้ายวันเกิดของข้าพเจ้าในปี พ.ศ.๒๕๓๘ ข้าพเจ้าชวนเพื่อนๆ มาเที่ยว พุทธสถาน สันติอโศก มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับ สมณะเดินดิน ติกขวีโร ข้าพเจ้าไม่กล้าบอก ท่านเลยว่า ข้าพเจ้าเคยเป็น นักปฏิบัติมาก่อน จากนั้นเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปเดินชมพุทธสถาน ส่วนข้าพเจ้า ไปแอบยืนมองพ่อท่าน อยู่บริเวณใต้โบสถ์คนเดียว ในตอนนั้นพ่อท่านสวมชุดขาว ท่านกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ อยู่ใต้คลังเสียง ข้าพเจ้าแอบก้มกราบ พ่อท่านอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ น้ำตาของข้าพเจ้า ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อกลับมาถึงที่พัก พวกเราก็ตั้งวงดื่มสุรา เหมือนเช่นเคย แต่ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด ของข้าพเจ้า เหล้ารสชาติ มันไม่อร่อย เหมือนทุกๆครั้ง ที่เคยดื่มซะแล้ว ชีวิตที่หมกมุ่นมัวเมาอยู่กับอบายมุข ถึงแม้จะมีตำแหน่งหน้าที่การงาน มีเงินเดือนใช้ ก็ยังไม่สามารถ เลี้ยงตัวเองได้รอด จับจ่ายใช้สอย อย่างสุรุ่ยสุร่าย เมาหัวราน้ำ แทบทุกคืน เงินเดือนหมดไปกับอบายมุข แทบไม่มีเหลือจ่าย ค่าโทรศัพท์มือถือ หรือเติมน้ำมันรถ ไปทำงานเลย บางเดือนใช้เงินเกินความจำเป็น จนติดลบ (โอ้...นี่หรือ ชีวิตที่ใครๆ วาดฝันว่า ต้องมีงาน มีรถ มีมือถือ หลอกลวงสิ้นดี นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า ชีวิตหมาหอบแดด) ๗ ปีเต็ม ที่ข้าพเจ้าหลงมัวหลงเมา เดินบนเส้นทางอบายมุข และ ด้วยเหตุปัจจัย หลายอย่าง ข้าพเจ้าได้ลาออกจากงาน และมีเหตุปัจจัย ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องบวช ตามประเพณี ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีจิตยินดี ที่จะบวชเลย เพราะจิตใจ ยังคิดถึงความสุข ที่เคยได้เสพย์อบายมุข ทั้งหลายทั้งปวง แต่เมื่อต้องบวชจริงๆ ก็เลยคิดว่า "ไหนๆก็บวชไม่กี่วัน ก็ขอเป็นพระที่ดีกับเขาบ้าง" คิดได้ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถอดแหวน นาฬิกา และยกโทรศัพท์มือถือให้พี่ชาย ข้าพเจ้า มีความรู้สึกเหมือนกับว่า สมบัติเหล่านี้ ข้าพเจ้าต้องทิ้งตลอดกาล และเมื่อถึงเวลาบวช ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอิสระ ไร้ความกังวลหม่นหมอง และมีความปีติ เกิดขึ้นในใจ อย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าบวชอยู่วัดสายธรรมยุตใน จ.พิษณุโลก ข้าพเจ้าปฏิบัติตัวเองทันที ด้วยการฉัน อาหารมังสวิรัติ มื้อแรกเป็นข้าวเปล่า กับถั่วงอก (ขาวไปทั้งบาตร) น้ำตาร่วงไหล รินกับอาหารมื้อนั้น ไม่ใช่เสียใจ ไม่ใช่อาหารไม่อร่อย แต่...เป็นความรู้สึก ที่ตัวเราเอง ได้กลับมาฝึก เป็นคนดีอีกครั้ง จากที่เคยสูบบุหรี่ วันละ ๒-๓ ซอง ดื่มเหล้าทุกวัน แม้พยายามจะเลิก ก็ไม่สำเร็จ แต่บัดนี้ ไม่มีความโหยหา สิ่งเหล่านั้นเลย จริงๆ...ทุกอย่าง มันอยู่ที่ใจจริงๆ จะเลิกหรือไม่เลิก จะใจแข็งหรือใจอ่อน ก็ขึ้นอยู่กับใจ ของเราเองที่จะเลือก ๑ ปีในเพศบรรพชิต ด้วยการปฏิบัติที่แตกต่าง จากหมู่ในวัด ทำให้ข้าพเจ้า วางตัวลำบาก มันไม่ง่ายเลย ที่จะทำให้หมู่ส่วนใหญ่เข้าใจ ในแนวทางปฏิบัติของเรา เพื่อความสบายใจทั้ง ๒ ฝ่าย ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจ เดินทางออกจากวัดนั้น ในกลางดึก สะพายบาตร สะพายกลด เดินท่ามกลางแสงจันทร์ ยามดึกดื่น มีเพียงกลุ่มดาว ที่เป็นเพื่อนร่วมทาง ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุข และเป็นอิสระดั่งนกน้อย ที่ไร้ซึ่งพันธนาการ คิดในใจว่า ไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน ข้าพเจ้าไปอยู่วัดแห่งหนึ่งในชนบท มีพระสูงอายุรูปเดียว ข้าพเจ้าจึงขออนุญาต ท่านพำนักอยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้มีโอกาส ศึกษาและอ่านหนังสือ "สัจจะแห่งชีวิต" และหนังสือ "คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก" ของพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ข้าพเจ้าเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า "ถ้าคนไม่แยกแยะชั่ว-ดี ไม่แยกแยะกิเลส ก็จะหลงคน - วนเวียน อยู่แล้วๆเล่าๆไม่มีจบสิ้น" ข้าพเจ้าต้องไป... ความรู้สึกของข้าพเจ้า บอกว่า ต้องไป...ไปพบพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ให้ได้! ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเดินจาริกอีกครั้ง โดยมีจุดมหายปลายทางที่ "ศาลีอโศก" ข้าพเจ้า เดินจาริกตามถนนสายเอเซีย ฝ่าเปลวแดดอันร้อนแรง ในตอนกลางวัน พื้นถนนในเบื้องหน้าแลเห็นแต่ไอแห่งความร้อน ส่งผลให้เท้าของข้าพเจ้าพอง และแตกในที่สุด นิ้วเท้าทุกนิ้วพองและแตก ก้าวเดินแต่ละก้าว ช่างเจ็บปวดทรมาน น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง แต่ข้าพเจ้าหยุดไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องไปให้ถึง รอยยิ้ม บนใบหน้าของพ่อ เป็นกำลังใจ เป็นเหมือนดั่งภูเขา เป็นเหมือนดังแม่เหล็ก เราเป็นเศษผงของเหล็ก ที่ถูกอำนาจแม่เหล็ก ดึงดูดไว้ ทุกก้าวที่เท้าเหยียบพื้นถนน มันช่างเจ็บลึกถึงกระดูก ปวดลึก ปวดร้าวเหมือนใจจะขาด เดินไม่ไหวแล้ว พอได้แล้ว หยุดได้แล้ว เจ็บเหลือเกิน ความรู้สึกบอกข้าพเจ้า แต่...ขาข้าพเจ้า ไม่ยอมหยุด มันก้าวเดิน...เดิน...เดิน... จนในที่สุด มาหยุดที่ป้าย "พุทธสถานศาลีอโศก" ข้าพเจ้ายืนเหม่อ มองหน้าพุทธสถาน บอกกับตัวเองว่า เรามาถึงแล้ว ที่ซึ่งครั้งหนึ่ง เราเคยมาเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน สมณะออกมาต้อนรับข้าพเจ้า พาข้าพเจ้าไปทำแผล ไม่มีอาการรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าแสดงถึงความเต็มใจ ที่จะช่วยเหลือ อย่างเหลือล้น ข้าพเจ้าสัมผัสได้ ถึงความอบอุ่น สมณะรูปนั้นคือ สมณะกำแพงพุทธ สุพโล ข้าพเจ้าประทับใจ และ ซาบซึ้งมาก ข้าพเจ้าขอพักอาศัยที่ศาลีอโศก ไม่นานนักก็ถึงวันงานประจำปี คือ งานปลุกเสกฯ พระแท้ๆ ของพุทธ ที่พุทธสถาน ศีรษะอโศก ข้าพเจ้าจึงขอไปร่วมงาน ในครั้งนั้น ด้วยความมั่นใจ ด้วยศรัทธาในพ่อท่าน และหมู่สมณะ ของชาวอโศกมาก ได้มีโอกาส ไปฟังธรรม จากพ่อท่าน มีโอกาสได้ใกล้ชิดพ่อท่าน เสร็จจากงานปลุกเสกฯ ข้าพเจ้าตัดสินใจ ขอเดินทางเข้า สันติอโศก เพราะข้าพเจ้า เคยตั้งใจไว้ เช่นนั้น ข้าพเจ้ามาอาศัย อยู่ในฐานะพระอาคันตุกะ จากนั้น 1 เดือนผ่านไป ก็ถึงงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ที่ศาลีอโศก ข้าพเจ้า ก็ขอไปร่วมงานด้วย เช่นเคย เมื่อถึงศาลีอโศก ข้าพเจ้าได้พบโยมพ่อโยมแม่ และญาติๆของข้าพเจ้า ซึ่งเดินทางมา จากพิษณุโลก ทุกคนดีใจที่พบข้าพเจ้า และได้เห็นข้าพเจ้ายังครองเพศบรรพชิต ในวันสุดท้าย ของงาน ข้าพเจ้าตัดสินใจ ที่จะบวช เป็นสมณะชาวอโศก ข้าพเจ้าจึงบอก ความตั้งใจของข้าพเจ้า กับโยมทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าจะสึก เพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เพื่อบวชเป็น สมณะชาวอโศกให้จงได้... ทุกคนไม่ขัดข้อง ข้าพเจ้าลาสิกขาโดย สมณะบินบน ถิรจิตโต เป็นผู้ทำพิธีสึกให้ ซึ่งชีวิตตามขั้นตอน ของการจะก้าวขึ้นบวช เป็นสมณะชาวอโศก ท้าทายไม่ใช่น้อย ต้องมีจิตมุ่งมั่นจริงๆ จึงจะฝ่าฟันได้ เพราะงานที่มีมากล้น และผัสสะต่างๆที่รอบตัว หลายคนบอกว่า "จะได้บวชไหมเนี่ย น้อยรายที่สึกเป็นฆราวาสแล้วขึ้นยาก เพราะเหตุปัจจัย หลายอย่าง" ใช่...ถ้าเป็นคนอื่น แต่ไม่ใช่...ข้าพเจ้า ๒๖ เดือนเต็ม ในการใช้ชีวิตเตรียมตัวบวช ตามขั้นตอนของชาวอโศก ซึ่งเริ่มจาก อารามิก ปะ นาค สามเณร และแล้วข้าพเจ้า ก็ได้อุ้มบาตรอีกครั้ง ข้าพเจ้าได้เปลี่ยน รูปแบบเป็น สมณะชาวอโศก ในวันที่ ๕ มิถุนายน'๔๔ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด ของพ่อท่าน ข้าพเจ้าได้รับฉายา จากพ่อท่านตั้งให้ว่า "สมณะถักบุญ อาจิตปุญโญ" (ผู้มีบุญอันสั่งสมดีแล้ว) ความตั้งใจของข้าพเจ้า สัมฤทธิ์ผล เพราะข้าพเจ้าตั้งใจจริง ทำจริง เอาจริง และจะขออยู่ สร้างฝันพ่อ ให้เป็นจริง... จะขอถักทอบุญหนุนงานพ่อ
จะไม่ท้อต่องานทุกหนแห่ง กราบแทบเท้าสำนึกบุญคุณพ่อยิ่ง |
|
จากโลกีย์ถึงโลกุตระ หนังสือสารอโศก
อันดับที่ ๒๓๙ สิงหาคม ๒๕๔๔ หน้า ๗๓
|