จดหมายจากญาติธรรม
|
|||
|
|||
จ.ม.จากไต้หวัน
ถ้าผมได้อ่าน ได้เจอหนังสือ สารอโศก กับดอกหญ้า มาก่อนนี้ ผมคงไม่ได้มา ไต้หวันหรอกครับ พอผมมาไต้หวัน ก็ดีอีกแบบหนึ่งคือ ได้เจอพี่คนหนึ่ง เขามีหนังสือสารอโศก กับดอกหญ้ามา ผมได้อ่านแล้ว รู้สึกชอบมากเลย ผมต้องเขียนจ.ม.มา ที่สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม ตอนนี้ผมได้รับ หนังสือสารอโศก ๓ เล่ม ดอกหญ้าด้วยครับ พี่เขากิน อาหารมังสวิรัติมา ๙ ปีแล้ว พอผมอ่านแล้ว พี่เขาก็ช่วยชี้แนะ เพิ่มเติมครับ ผมเริ่มกินอาหารมังสวิรัติ มาตั้งแต่วันที่ ๓ เมษายนนี้ ครับ แต่มีบางครั้งกินไม่บริสุทธิ์ ผมจะพยายามกิน และปฏิบัติให้ได้ เหมือนพวกพี่ๆเขาครับ ผมอ่านแล้วได้ความรู้มากครับ ผมช่างมีบุญจริงๆ ที่ได้อ่านหนังสือนี้ แต่ก่อนผมไม่ค่อยสงสาร พวกปลา หรือสัตว์ที่มีชีวิต แต่เดี๋ยวนี้พอได้อ่านแล้ว ทำให้ผมสงสาร มากขึ้น มากขนาด ผมอ่านสารอโศก เล่มที่ ๒๒๘ กันยายน ๒๕๔๓ ตอน ตกนรกทั้งเป็น ทำให้ผมสงสาร เขามาก จนน้ำตาผมไหลออกมา (หนังสือพี่เขาครับ) ผมไม่เข้าใจตัวเอง เหมือนกันครับ ตั้งแต่เกิดมา จนอายุ ๒๗ กว่าแล้ว ทำไมตอนอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมไม่ได้เจอ หนังสือทั้งสองเล่ม ผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเกิดตัวเองครับ ชอบอ่านจดหมายจากญาติธรรม เพราะผมอยากทำได้เหมือนพวกพี่เขา กับเรื่อง สิบห้านาทีกับพ่อท่านด้วย ผมอยากไปช่วยทำงาน กับหมู่กลุ่ม ถ้าได้ไปช่วยทำงาน จะไม่เอาเงินเลยครับ และอยากไปศึกษา เรียนรู้ให้มากๆ เมื่อไรหนอ จะได้ไปที่สันติอโศก หรือที่ปฏิบัติธรรม เพราะผมอยากฟังธรรม ของพ่อท่าน กับท่านจันทร์ ผมชอบท่านจันทร์ จัดรายการ เพื่อนช่วยเพื่อน ว่าจะเอาตลับเท็ป มาฟังที่ไต้หวันด้วย แต่ผมลืม เอามาครับ ผมอยากให้พ่อผม เลิกกินเหล้าครับผม ก็เลยให้ทางทีมงาน ส่งหนังสือไปให้พ่อ และอยากให้ แฟนผมรู้ด้วย อยากให้แฟน กินอาหารมังสวิรัติ ตอนนี้เวลาผมจะกินอาหาร ที่มีชีวิต เช่น ปลาไก่ และหลายๆอย่าง ผมอยากกิน แต่กลัวบาปมาก บางที ผมอดไม่ได้ ก็เลยเลือกกินปลาครับ เพราะมันตัวเล็ก เวลากินแล้ว ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย ตอนนี้ผมกับพี่ ที่กินอาหาร มังสวิรัติ เอาเตียงนอน ออกจากห้องแล้ว ผมกับพี่นอนกับพื้นครับ ผมตั้งตบะไว้ว่า อยู่ที่ ไต้หวันนี้ จะไม่กินเหล้า และผมจะพยายามปฏิบัติ -สมหมาย เสริมวิเศษ จ.ม.จากอเมริกา
ดิฉันทำงาน อยู่ในโรงพยาบาล ในเมือง Atlantic สิ่งดีที่ได้เห็นทุกวันก็คือ ยมทูตทั้งหลาย คือความเจ็บป่วย และก็ได้เห็น คนตาย อยู่ประจำ แล้วจะมัวหลงอะไรอยู่อีกเล่า ถ้าไม่ใช่หมั่นทำความดี โดยการเลิก ลด ละ กิเลสทั้งหลาย ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน ก็มีพอประมาณค่ะ เรื่องการเสียสละ ก็มีอยู่ประจำ ที่ต้องทำทุกๆวัน ก็คือ ยอมทำหน้าที่ เหน็ดเหนื่อย เพื่อคนไข้หนัก และเพื่อนร่วมงาน จนกลายเป็นที่ชอบพอ แก่คนไข้ และผู้ร่วมงานมาก ไม่เหลิงตัว อ่อนน้อม ถ่อมตัวได้ เมื่อได้รับคำสรรเสริญ คนไข้ที่นี่ดีอย่าง จะใหญ่มาจากไหน เข้ามาอยู่ร.พ.แล้ว รับการบริการเท่ากันหมด ไม่มีการจองห้อง พิเศษ ติดแอร์ ตู้เย็นไม่มี แต่จะมี T.V.ไว้ให้คนไข้ ได้ฟังข่าวสาระ และมีโทรศัพท์ ให้ใช้ได้ฟรีทุกห้อง คนไข้จะอยู่ห้องละ ๒ คน ห้องไม่กว้างนัก พออยู่เบียดกันได้ เมื่อมีอุปกรณ์การช่วยหายใจ ก็จะแยกห้องให้อยู่เพียงคนเดียว พยาบาล ๑ คน จะรับหน้าที่ดูแลคนไข้ได้ ๕ คน คนไข้แต่ละคน จะมีหมอหลายคน เพราะจะเป็นหมอเฉพาะโรค ถ้าโรคไม่ร้ายแรง จะรักษาหายรวดเร็วมาก ส่วนใหญ่ ผู้ป่วยจะอยู่ร.พ.ประมาณ ๒-๓ วันก็จะหาย นอกจากคนไข้เป็นโรคร้าย เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง แต่ก็ไม่นานนัก เพราะเขาจะจัด ที่พักฟื้นที่อื่น และจะต้องย้ายไปพักฟื้น ที่เขาจัดไว้ให้ สำหรับ ในร.พ.นั้น เตียงคนไข้จำกัด รอนาน กว่าจะได้เข้าอยู่ การรอ จะให้รออยู่ในห้องฉุกเฉิน จนกว่าจะได้เตียง ในตึกพักคนไข้ การรักษาพยาบาล แพทย์ จะสั่งยาแรง หายเร็ว พยาบาล ก็จะต้อง คอยควบคุม รายงานหมอตลอดเวลา ทุกอย่างรายงาน จะเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์หมด ทำอะไร มีหลักฐานไว้หมด เพราะที่นี่ เขาชอบฟ้องศาล จึงต้องทำงานด้วยความรัดกุม อย่างเคร่งครัดมาก สำหรับการรักษาพยาบาลนั้น ส่วนใหญ่ จะมีบริษัทประกันภัยจ่ายให้ สำหรับคนไม่มีประกัน มีน้อยมาก แต่รัฐจะบังคับ ให้รับคนไข้ไว้ สิ้นปีก็จะมีงบ ตกจากรัฐอีกที ฉะนั้น การเจ็บป่วยที่นี่ จะมีทั้งเศรษฐี และยาจกข้างถนน เขาก็จะให้บริการ เท่าๆกัน ไม่มีอะไรเป็นที่พิเศษ เรียกว่าเจ็บป่วยมาร.พ. ระดับการรักษาเท่ากันหมด ตามจรรยาบรรณ ของแพทย์ที่นี่ พยาบาล ที่นี่รับผิดชอบสูงมาก บางทีต้องขึ้นศาล เพราะถ้าถูกคนไข้เอาเรื่อง ก็ต้องไปแก้ความกัน หากผิดก็จะถูกยึด ใบประกอบ โรคศิลปะ ดิฉันเองทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาล และเน้นประเภท เทคนิคเชียน ต้องดูแล ตรวจคลื่นหัวใจ ตรวจเลือดในคนไข้ที่เป็น โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ การทำงานก็ไม่ง่ายนัก หนักเอาเบาสู้ทุกวัน ต้องอดทน เป็นผู้มีศีลไว้เสมอ เจอคนทุศีล ก็จะเอาธรรมะข่มใจไว้ เพื่อจะได้ไม่มีศัตรูคู่อาฆาต พยายามเข้ากับคน ได้ทุกระดับ ไปทำงานก็ต้องห่อข้าวไปทานเอง เพราะไม่ทานเนื้อกับเขา เพื่อนเห็นงง ถามว่าทำไมไม่ทานเนื้อสัตว์ ตอบเขาไปว่า ทานเขาทำไม เขาก็รักชีวิตของเขา เขางง เขาชอบมองดูอาหาร ที่เราทานเสมอ มีข้าวกล้องสีขมุกขมัว ถั่วเหลืองป่น เขาก็ชอบถามว่าอะไรนั่นน่ะ ตอบเขาไปว่า นี่คือถั่วเหลืองบด (ราชาโปรตีนล่ะ) เขาก็ยิ้ม บางวันมีผักต้ม ข้าวกล้อง และ น้ำพริกคลุกข้าว และโปรตีนทอด ดูเหมือน เนื้อสัตว์ เขาก็หาว่า นี่ไหนเธอบอก ไม่ทานเนื้อไง แต่พอบอกเขาไปว่า นี่ไม่ใช่นะ พอเขาชิมดู พอรู้เข้า ก็พากันหัวเราะ ชอบใจ เขาก็พิสูจน์แล้วว่า มีอยู่คนนี้คนเดียวที่มาจาก Thailand ไม่ทานเนื้อ? แต่มีพวกหมอ จากอินเดีย บางครั้งเขาก็ ทานอาหาร งดเนื้อสัตว์ก็มี แต่ไม่มากนัก จะเห็นได้ว่า การจะไม่ทานเลือดเนื้อเขา ไม่ยากนัก อยู่ที่ไหนก็ทำได้ มันขึ้นอยู่กับตัวเราต่างหาก ขอให้เป็นคน อยู่ง่าย กินง่าย อย่างมนุษย์พัฒนา ตามที่พ่อท่านสอนมา กิน-อยู่-หลับ-นอน ขอให้ง่ายเข้าไว้ แล้วอะไรๆก็จะง่าย งามตามกันไปเอง ดิฉันขอยุติ การรายงานไว้ เพียงแค่นี้ก่อน หากมีโอกาส ดิฉันก็จะขอส่งข่าว มาให้ทราบอีกค่ะ ดิฉันได้รับสารอโศก เล่มสุดท้าย "งานมหาปวารณา'๔๓" ๓๐ ปีแห่งการงาน ของพ่อท่าน อ่าน แล้วซึ้งใจมากค่ะ เฉพาะเพลง "กลับบ้านเถิดลูก" พ่อปลูกอโศกเพื่อเจ้า อ่านแล้ว อยากกลับไปหาพ่อท่านอีก แต่ยังมีกรรมอยู่ ลูกจะขอทำดี เพื่อชำระกรรมเก่า - อัมพร นพจินดา
ไปได้เรื่อยๆ
จากวันนั้น ถึงวันนี้ (เกือบ ๑๗ ปี) ที่คบคุ้นกับชาวอโศก ชีวิตผม ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะตกต่ำบ้าง บางครั้ง แต่ก็เป็นชั่วประเดี๋ยว ประด๋าว เมื่อได้อ่านหนังสือ ฟังเท็ป ได้สติ ก็กลับมาปฏิบัติธรรมต่อ ถึงจะช้า แต่ก็ไปได้เรื่อยๆ ไม่ดีขึ้นมากนัก แต่ก็ไม่เลวลง กว่าที่เคยเป็นมา แต่จะพยายามต่อไป จนชีวิตจะหาไม่ -นายเกริกศักดิ์
เปรียบเหมือน คนจะจบปริญญาตรี ต้องได้หน่วยกิตจำนวนหนึ่ง ตามที่คณะกำหนดไว้ แต่ในคณะเดียวกันนี่เองแหละ บางคน ก็ทำหน่วยกิต มากกว่าที่กำหนดไว้ นั่นหมายความว่า ต้องเรียนมากกว่า เหนื่อยมากกว่า แต่ก็จบ ได้รับปริญญาตรี เช่นเดียวกัน หรือคนพิมพ์ดีด นาทีละ ๗๐ คำ ก็ทำงานได้ แต่บางคน ฝึกฝนมาก พิมพ์ได้นาทีละ ๑๒๐ คำ ก็ทำงานได้เช่นกัน แต่ประสิทธิภาพ ก็แตกต่างกันไป ฉันใดก็ฉันนั้น อรหันต์ที่เป็น เอตทัคคะด้วย ท่านฝึกมาก ซึ่งก็เป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่นไปในตัว เพราะบางคน เมื่อเห็นคนดี ธรรมดาๆ ก็ไม่รู้สึกประทับใจ จนถึงขีดเขตที่อยาก จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่ถ้าพลัง แห่งความดีนั้นเข้มข้น ก็จะมีแรง ดึงดูดมากพอ ที่จะทำให้ผู้นั้น เกิดแรงศรัทธา จนกระทั่งเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตน ให้ดีตามไปด้วย ซึ่งถ้ามีคนดีมากๆ สังคมก็ร่มเย็น แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า คนดีจะกล้าเลื่อนฐาน เพื่อตน และคนอื่นไหม -บ.ก. จะไม่ติดแป้น ทำให้หมดหนี้สิน เป็นอิสระ ร่างกายสมบูรณ์ จิตใจก็เย็นลง เพราะได้ชื่อว่า เป็นนักปฏิบัติธรรม ต้องทำให้ได้ รู้แล้ว ตื่นแล้ว เบิกบานด้วย ครอบครัวก็ดีใจ สบายใจ มีกินพอใช้ ผมมีลูก ๓ คน คุณแม่ที่ต้องเลี้ยงดูอีก ๑ คน (พ่อแม่ของภรรยาอีก) ได้เกื้อกูลพี่ๆ น้องๆ ปลดหนี้ ทำหน้าที่ เป็นครูตัวอย่าง ทำให้ดูได้ทั้งนั้น เก็บขยะล้างส้วม เป็นทายกก็ได้รับเกียรติ มีความกล้าพูด-กล้าทำ อย่างอาจหาญ สำรวมในวาจา อ่อนน้อมถ่อมตน นี่เพราะผมได้มีโอกาสพบญาติธรรมดี คือคุณป้าสายทอง รอดเกิด คุณพ่อล้อม ใจเย็น มาแนะนำ จึงได้เกิดใหม่ เป็นคนใหม่ อ่านฉบับนี้แล้ว จะไม่ติดแป้น จะคบคุ้นหมู่กลุ่ม ช่วยงานให้มากว่านี้ครับ -อ.วิศณุ รื่นกมล งานช่วยสลายอัตตามานะ กระผมได้รับเกียรติ จากกองทุนหมู่บ้าน บ้านใหม่ หมู่ ๔ ต.บ้านใหม่ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ให้เป็นกรรมการ ที่ปรึกษา กองทุนฯ งานหมู่กลุ่มอบรม โครงการพักชำระหนี้ ของธ.ก.ส. ที่พุทธสถานสีมาฯ ก็ได้ไปช่วย ตลอดงานครับ รู้สึกอบอุ่นดี สลายมานะ อัตตาได้มากครับ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๗ ส.ค.๔๔ ร.ร.ครบุรี จัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ได้เชิญฝ่ายการศึกษา สัมมาสิกขาสีมาฯ ไปร่วมแสดง นิทรรศการ และร่วมกิจกรรม ได้รับการอนุเคราะห์ เป็นอย่างดียิ่ง กราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ สำหรับงานประจำ ที่ทำหน้าที่เป็นครู รับเงินเดือน ภาษีประชาชนอยู่ ได้ทำอย่างเต็มที่ครับ เพื่อให้คุ้มกับเงินภาษี สำนึกถึง บุญคุณชาวบ้าน ตลอดเวลาว่า เราเป็นหนี้บุญคุณอันนี้ บุตรหลานชาวบ้าน ที่ส่งไปให้ศึกษาเล่าเรียน ก็ได้ช่วยอบรม ให้เป็นคนดี แนะนำสั่งสอน และเป็นตัวอย่างที่ดี ในชั่วโมง พบครูประจำชั้น ก็ได้จัดเลี้ยงอาหารมังสวิรัติ ที่บ้านพักครู เพื่อความใกล้ชิด ด้านจิตวิญญาณครับ ในเดือน ก.ย.๔๔ นี้ เป็นเดือนเกิด ของกระผม (๒๔ ก.ย.๔๔) ได้ตัดสินใจ ซื้อบ้านหลังแรก ในชีวิตให้กับตนเอง ที่ชุมชนสีมาอโศก (บ้านญาติธรรม "คุณน้อย" ขายต่อให้) -ส.อ.กมล พรหมมาก
ฉบับแรกจากคนขี้อาย
๕ ปีที่ผ่านมา รู้จักอโศกจากในหนังสือ ที่ทางสมาคมส่งให้ เคยไปช่วยทำหนังสือ ดอกหญ้า ๒ ครั้ง ไปสันติอโศก ๕ ครั้ง ไปอ่านหนังสือ ไม่เคยถามปัญหากับสมณะ ทั้งที่ตัวเองไม่รู้ เพราะเป็นคนขี้อาย กลัวว่าคนอื่น จะว่าเราโง่ สุดท้าย ก็ยังโง่เหมือนเดิม เพราะไม่ถามผู้รู้ ให้เข้าใจถ่องแท้ ในแนวทางปฏิบัติ เพื่อฝึกตนเอง ลดละมานะ อัตตาของตนเอง ความหลงผิด ที่สะสมมา ยังเหมือนเดิม ถามตัวเอง เมื่อไรจะเอาจริงเสียที กับการปฏิบัติ ขออภัย ทำมา ๕ ปีแล้วได้แค่นี้ เป็นฉบับแรก ที่ตอบทางสมาคม เพราะไม่รู้ว่า จะเขียนอะไร ฉบับนี้ มีเพื่อนอยากเป็นสมาชิก รับหนังสือ จากทางสมาคมด้วย เพื่อนที่โรงงานเดียวกัน บอกว่า อ่านแล้วได้ความรู้ มีสาระ และสามารถนำไปปฏิบัติได้ -สมาชิก ๒๕๒๒๕๑
*ขุมทรัพย์
-ประสิทธิ์
มณีกาญจน์
แง่มุมจากชุมพร
การทำบุญของผม ผมจะไม่ทำบุญ แบบหลับหูหลับตา แบบถือคติ "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" ทั้งยังมองว่า พุทธศาสนิกชน ที่เรียกตนเองว่า เป็นปัญญาชน มีการศึกษา แต่ยังยอมให้จารีต (ของพราหมณ์ และศาสนาอื่น) ปิดหูปิดตา และทำอะไร ไปตามกระแสอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ครั้งหนึ่ง ดร.วิษณุ เครืองาม นมัสการถามธรรมะ กับท่านพุทธทาส ออกอากาศทางช่อง ๑๑ (ผมบันทึกวิดีโอ) ดร.วิษณุ เครืองาม ถามท่านพุทธทาสว่า "ชาวบ้านข้างวัดนี่ เขามาทำบุญ (ที่สวนโมกข์) กันแบบไหนบ้างขอรับ" ท่านพุทธทาสตอบว่า "เขาก็ทำไปตามจารีต ธรรมะเขาไม่เอา เขามาทำบุญถวายอาหารพระ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล แล้วเขาก็กลับ นิพโพงนิพพานอะไร เขาไม่สนใจ เขามาทำบุญ เพื่อปรารถนาสวรรค์ ปรารถนาที่จะไปเสวยสุขในกาม ทำบุญ เพื่อเพิ่มพูน กิเลสเข้าไปอีก" เนื้อความอาจไม่ตรงตามนี้เป๊ะๆ แต่ก็ในทำนองนี้ ดังนั้นผมจึงเห็นว่า คนส่วนใหญ่ ในปัจจุบัน นับถือศาสนา ไปตามทิฐิ และจารีต ทว่ามองไม่เห็นธรรม สังคมพุทธ จึงเห็นหัวตอ หรือคนห่มเหลือง ก็ยอมนับถือ กราบไหว้ว่าเป็นพระ แล้วก็ทำบุญด้วย อย่างไม่คลางแคลงใจ ซึ่งเป็นการนับถือศาสนา แบบหลับหูหลับตา ครั้งหนึ่ง (ราวยี่สิบปีมาแล้ว) มีพระหลวงพ่อ ในจังหวัด... มรณภาพลง มีคนไปนมัสการศพกัน ทั้งบ้านทั้งเมือง เงินค่า ธูปเทียน ค่าบูชา กรรมการวัดเก็บได้ วันละเป็น แสนๆบาท จัดงานศพเป็นเดือน แต่ผมพิจารณาว่า ที่ผู้คนพากันนับถือ หลวงพ่อรูปนั้น นับถือเพราะอะไร เมื่อเห็นว่า นับถือเพราะท่านมีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เสกลูกอม ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลัง เป็นปาฏิหาริย์ส่วนตัวทั้งสิ้น (อันผิดกับ หลวงพ่อพุทธทาส) ผมดูต่อไปว่า ท่านได้สอนลูกศิษย์ลูกหา คนที่ไปวัด หรือ ท่านสอนใคร ให้เป็นคนดีมีศีล ไม่ขี้โลภขี้โกงได้บ้าง เปล่าเลย... คนที่ไปนับถือ หรือลูกศิษย์ท่าน กระทั่งกรรมการวัด ที่เข้าไปจัดการศพ สุดท้าย ก็แย่งชิงผลประโชน์กัน ปัจจุบันเงิน (หลายล้าน) เงียบหาย ไม่ได้นำมาสร้าง สิ่งสาธารณ ประโยชน์อันใด ลูกศิษย์แบ่งกัน เอาไปใช้หมดแล้วก็ไม่รู้ สรุปว่า ลูกศิษย์ที่เอา เครื่องรางของขลัง ของท่านไปใช้ ก็ยังชั่ว ยังฉ้อโกง เห็นแก่ตัว และเอารัดเอาเปรียบ สังคมอยู่เหมือนเดิม กิเลสก็ยังหนาเหมือนเดิม เพราะท่านเอาแต่เป่าๆเสกๆ เครื่องรางของขลัง ไม่เคยสอนใคร ครั้งนั้น ผมสงสัยว่า จะมีผมคนเดียวหรือเปล่า ที่ไม่ไปในงานนั้น... การปฏิบัติทวนกระแส ของชาวอโศก ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย เมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ (แม้ผมเองจะทำ อย่างชาวอโศก ไม่ได้) แต่ผมรู้ว่า สิ่งนี้คือสิ่งดี คนกลุ่มนี้ คือกลุ่มคนดี ผมก็ยกย่องนับถือ เพราะผมนับถือคน โดยไม่ได้เอาตนไปวัด ไปจับว่า ถ้าเราทำไม่ได้ หรือคนทั่วไป ทำไม่ได้แล้ว สิ่งนั้นจะกลายเป็นสิ่งไม่ดี แล้วก็คอยหาเรื่องโจมตี หาว่าไม่ใช่พุทธะบ้าง พุทธะต้องเป็น อย่างที่พวกข้า หรือคนส่วนใหญ่ ปฏิบัติได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้า ก็คงไม่มาตรัสรู้ หรือสอนใคร ให้เสียเวลา -นายไพบูลย์ พันธ์เมือง
|
|||
![]() |
|||
จดหมายจากญาติธรรม หนังสือสารอโศก อันดับที่ ๒๔๐ เดือนกันยายน ๒๕๔๔ หน้า ๒๗ - ๓๘ |