|
||||
น้ำฉี่ดีจริงหรือ ...จุลดิน
|
สารอโศก อันดับที่ 241 |
|||
|
||||
หลังจากสารอโศกฉบับที่ ๒๓๒ ผู้เขียนได้ขอความเห็น จากผู้อ่านคอลัมน์ "น้ำฉี่จริงหรือ?" ไปนั้น ก็ได้มีบางท่าน แสดงความคิดเห็น มาบ้างค่ะ และที่สำคัญ ผู้เขียนก็ได้เรียนถาม ทางบ.ก.ว่า ยังจะคงอยู่หรือไม่ ท่านบ.ก.ก็ยินดี ให้ผู้เขียน ได้นำเสนอข้อมูล เกี่ยวกับเรื่อง "น้ำปัสสาวะ" นี้ต่อไป ก็ขอขอบพระคุณมากค่ะ ฉบับนี้ มีจดหมายจากสถาบันราชภัฏ จ.ลำปาง
ก็ลองติดตามอ่านดูนะคะ ข้อแรก เท่าที่ผมได้อ่านผู้ที่เขียนจดหมายเข้ามา เพื่อแสดงปฏิกิริยา ในฐานะผู้ดื่มปัสสาวะ เพื่อรักษาโรคาพาธของตน และ เท่าที่มีสถิติปรากฏ จากผู้ปฏิบัติตนเช่นนี้ มีถึงเกือบ ๑๐๐% ที่ ได้รับผลในทางเยียวยา ไม่ปรากฏผลข้างเคียง ในทางลบแต่อย่างใด ซึ่งหากเป็นไปตามที่ว่า จำนวน หรือ ปริมาณ จากจดหมายที่ส่งมายืนยัน ย่อมจะเป็นหลักฐาน ประกันความน่าเชื่อถือ ต่อคนไทย ที่กำลังทรมาน ด้วยโรคภัยทั้งหลาย ด้วยการมองเห็น ทางรักษาหายนั้นอย่างหนึ่ง และด้วยไม่มีค่าใช้จ่าย ค่ารักษาอีกอย่างหนึ่ง ผมเข้าใจว่า ยังมีคนไทยส่วนใหญ่อีกไม่ใช้น้อย ที่ยังลังเล ไม่กล้าที่จะใช้วิธี "ปัสสาวะบำบัด" ในฐานะ แพทย์ศาสตร์ ทางเลือก (Alternative melicine) ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญ กันอยู่ขณะนี้ ว่าเราไม่ควรจะทุ่มเท ให้ความเชื่อถือ วิธีบำบัดรักษา แต่แผนใดแผนหนึ่ง โดยเฉพาะแผนปัจจุบัน ที่มาจากตะวันตก โดยหลงเข้าใจไปว่าวิเศษ และชะงัดกว่า วิธีการบำบัด ของโลกตะวันออก ที่เคยนิยมใช้สมุนไพร บำบัดมาแต่โบราณ แม้กระทั่ง น้ำฉี่ของตัวเอง ก็เป็นสมุนไพร ที่ใกล้ตัวที่สุด ที่มนุษย์ผู้มีภูมิปัญญา แบบตะวันออก ได้ค้นพบมา ก็น่าที่คนยุคนี้ จะร่วมกันใช้พิสูจน์ ให้ประจักษ์ เพื่อจะได้ชักชวน กันปฏิบัติ โดยเฉพาะ ในยุคฝืดเคือง ในเรื่องเศรษฐกิจทุกวันนี้ นอกจาก จะเป็นการช่วยตัวเอง ช่วยครอบครัวแล้ว ยังช่วยชาติประหยัด เงินตราซื้อยา จากต่างประเทศ ปีละ หลายพันล้านบาท เรื่องนี้เป็นภูมิปัญญา สาขาหนึ่ง ที่เราพึงฟื้นฟูบูรณะ ฐานะมรดกอันล้ำค่า ของบรรพชน ไม่แพ้โบราณสถานต่างๆ ของประเทศ แม้ว่าวิธีการบำบัด จะดูง่ายเกินไป ดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แบบแพทย์ศาสตร์ ทางตะวันตก ที่มีขั้นตอน ทดลองพิสูจน์ ที่ซับซ้อนกว่า แต่คนโบราณ ก็ใช้ประสบการณ์ อันยาวนาน โดยเอาชีวิตตนเอง เป็นเครื่องพิสูจน์มาแล้ว หากเป็นอันตราย ท่านคงไม่ขวนขวาย ถ่ายทอด ให้ไปถึงลูกหลาน ของท่านกระมัง ซึ่งความจริง มันก็คือ วิชาการ ที่มีฐาน อันได้ผ่านมา จากประสบการณ์ชีวิตนั่นเอง แต่คนรุ่นหลัง คงจะเชื่อฟัง คำสั่งใช้ยา ตามวิชาการ ของแพทย์สมัยใหม่ มากกว่า เพราะเขาเชื่อว่า คงดี และได้ผลกว่า แผนสมัยเก่า ที่เขาประณาม เป็น "เต่าล้านปี" ไปโน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมอแผนปัจจุบัน ก็ยืนยันกันอยู่แล้วว่า น้ำฉี่คือ ของสกปรก ที่ร่างกายไม่ต้องการ แล้วลูกหลานสมัยใหม่ ที่ไหนจะกล้าดื่มเข้าไป เพราะพ่อแม่ของเขาเอง ยังปฏิเสธ ยกเว้นแต่ เขาจะเป็น ผู้กล้าหาญชาญชัย ด้วยสติปัญญา วินิจฉัย ของเขาเองเท่านั้น ทราบว่า คน "หัวรั้น" ดื่มฉี่เพื่อป้องกันโรคาพาธ มีมากขึ้น ในประเทศอินเดีย และญี่ปุ่น และ มีสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ถึงขนาดพิมพ์ เป็นหนังสือแจกจ่าย มิหนำยังระบุไว้ด้วย กรณีศึกษาว่า สามารถรักษา และระงับเชื้อไวรัส เอชไอวีเสียด้วย ข้อสุดท้าย ที่ผมฐานะชาวพุทธผู้เลื่อมใส ในพระมหาปัญญาธิคุณ ของพระบรมศาสดา เช่นเดียวกับ ท่านผู้อ่าน "สารอโศก" อีกจำนวนมาก ใคร่เชิญชวน มาทบทวนความรู้ ที่พระพุทธองค์ ทรงระบุ ให้ภิกษุผู้บวชใหม่ รับ"นิสสัย ๔" ดังที่พระอุปัชฌาจารย์ ให้แก่พระบวชใหม่ เฉกเช่นเดียวกับ พระศาสดา ว่าผู้บวชจะต้องทำกิจ ๔ อย่าง ให้เป็นนิสสัย กล่าวคือ เดินบิณฑบาต (เพื่อขอรับอาหารจากชาวบ้าน) ๑ ใช้ผ้าจีวรจากบังสุกุล (ผ้าที่เขาทอดทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพ) ๑ อยู่ตามโคนต้นไม้ ๑ และดื่มน้ำมูตร (เพื่อป้องกันโรค) ๑ แต่จะมีพระอุปัชฌาย์ฯ กี่รูปที่เคย ปฏิบัติการดื่มน้ำมูตร ด้วยตนเอง แล้วสอนลูกศิษย์ ให้ปฏิบัติตาม มันก็คงเป็นพิธีบวชแบบ แค่"ปากว่า"เท่านั่นเอง ทั้งๆที่เป็นคำสั่ง ขององค์พระบรมครู เห็นชัดปานนี้ แต่ก็ไม่เคยปรากฏ มีองค์กรสงฆ์แห่งใด หยิบเรื่องนี้ วิจัยวิจารณ์ ให้เป็นมรดกตกทอด ทางภูมิปัญญา จากองค์พระศาสดาของตน คงคิดกันว่า "ไม่หัวเราะเยาะเย้ย แค่ทำเฉยก็ดีถมไป" กระมัง วิเคราะห์ให้เห็น พระปรีชาญาณ ของพระพุทธองค์ ที่ทรงค้นพบเรื่อง วิธีการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยระบบที่ โลกทุกวันนี้ รู้จักกันดี ในนามของ การฉีดวัคซีน (Vacination) ที่นายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ เอดเวิด เจเนอร์ ค้นพบในห้องทดลอง เมื่อสองร้อยกว่าปีนี้เอง ซึ่งช้ากว่าพระพุทธเจ้า ถึงกว่าสองพันปี ทั้งๆที่ สมัยพุทธกาล ไม่มีเครื่องมือ หลอดแก้ว หรือห้องแล็ป แต่อย่างใดเลย เผยให้เห็นญาณอันวิเศษ ของสมเด็จพระสรรพัญญู ที่ทรงเข้าใจหลัก "เอาของเสีย แก้ของเสีย" ทำนอง "หนามยอก เอาหนามบ่ง" ทำนองเดียวกัน ที่หลุยส์ปาสเตอร์ คิดทำซีรั่ม (Serum) จากพิษงู เพื่อปลูกฝี ให้คนป้องกันพิษงู นั่นเอง เพื่อให้ชาวพุทธ ที่ยังงุนงงสงสัย เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นว่า น้ำฉี่มีฤทธิ์ พิชิตโรคได้อย่างไร ผมขอวินิจฉัย โดยหลัก อธิบายง่ายๆว่า วิธีการฉีควัคซีน ก็คือ การนำเอาเชื้อโรค ชนิดที่ร่างกายของเรา จะมีจะติด ภายหลังนั่นแหละ เข้าไปในร่างกายของเรา เพียงแต่เขาทำเชื้อโรคนั้น ให้มันอ่อนแรงเสียก่อน และที่ฉีด หรือปลูกฝี ก็เพื่อให้เชื้อโรค อย่างอ่อนๆ นั้น เข้าสู่ร่างกาย ฐานะโดยอุปมา เหมือนนักมวย ก็คือ "คู่ซ้อมชก" ของเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีหน้าที่ เป็นภูมิคุ้มกัน แก่ร่างกาย เพื่อว่าวันหนึ่ง ถ้าโรคที่มีกำลังแรงชนิดนั้น เข้าสู่สรีระ เม็ดเลือดขาว ก็จะรู้จักลีลาท่าทาง ของศัตรู และด้วยทักษะ หรือ ความชำนิ ชำนาญ หลังการฝึกซ้อมมานั้น ย่อมสามารถ ตะบี้ตะบันคู่ต่อสู้ ได้โดยง่ายดาย สรุปว่า ไม่มีแซมเปี้ยนคนใด ที่ไม่ผ่านการชก ฝึกซ้อมมาก่อน แม้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก็เคยยืนยันว่า ถ้าคนเราดื่ม แต่น้ำกลั่นบริสุทธิ์ ก็จะพลันตายก่อน ผู้ดื่มน้ำประปา ที่มีเชื้อโรค เล็กน้อยเจือปน คงทำนองเดียว กับบุตรธิดา ที่พ่อแม่เลี้ยง แบบทะนุถนอมเกินไป หรือโอ๋ แล้วพอโต ลูกก็กลาย "เสียคน" ไปนั่นแล แพทย์แผนสมัยใหม่ จึงให้ยาคนไข้ ด้วยความระวัง ก็เพื่อมิให้เกิด อาการ "ดื้อยา" เมื่อร่างกาย หย่อนภูมิคุ้มกัน เพราะมียาเข้าไป ทำการแทนเสียหมด ดังนั้น ในน้ำปัสสาวะ ย่อมมีเชื้อโรคอยู่บ้างแน่นอน แต่ก็เบาบาง เพราะ กระเพาะปัสสาวะ กรองมาแล้ว จึงกลายเป็น วัคซีน โดยธรรมชาติ ที่ไม่ต้องผ่าน กรรมวิธี ของห้องแล็ป เพราะกลไกอวัยวะ อันละเอียดละออ ของมนุษย์ เป็นเสียเองแล้ว (มนุษย์ผู้อ่านเรื่องนี้ ทุกคน ต่างมีกลไกภายใน อันวิเศษ ประดุจว่า ประดิษฐ์โดยหัตถ์ ของพระเจ้า นั่นเทียว) พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ เรื่องกลไกอวัยวะน้อยใหญ่ จึงได้บัญญัติ นิสสัยข้อ ๔ ด้วยประการฉะนี้ ถ้าหากเราเชื่อ พระปัญญาตรัสรู้ เรื่องธรรมะ อันลึกซึ้งกว่า เรื่องร่างกาย ร้อยเท่าพันทวี โปรดลอง นำไปใคร่ครวญดู ลองอ่าน ความเห็น ที่เป็นประเด็นสำคัญ อันหมายถึง พระปัญญาธิคุณ อันหาขอบเขตบ่มิได้ของ พระพุทธเจ้า ถ้าคุณลุง เป็นผู้เข้าพิธี ประกาศตน เป็นพุทธศาสนิกชน (ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัย) ก็น่าที่จะเอาข้อความของผม ไประดมสมอง ไตร่ตรอง อีกสักครั้งนะครับ |
||||
|
||||
|
||||
น้ำฉี่ดีจริงหรือ สารอโศก อันดับที่ ๒๔๑ เดือนตุลาคม ๒๕๔๔ |
||||