ธรรมะประทับใจ (๗๓) |
สารอโศก
|
|
|
การขับรถกลางสายฝน เป็นสิ่งที่ดิฉันพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด เพราะเจ้ารถมาสด้าห้าประตู ที่ดิฉันใช้อยู่ เป็นประจำ มีอายุการใช้งาน นานกว่าสิบปีแล้ว เวลาต้องวิ่งลุยน้ำฝน ที่เจิ่งนองท้องถนน จึงเป็นสภาวะ ที่ต้องระมัดระวัง เป็นอย่างยิ่ง เครื่องยนต์ชื้นคราวใด มันก็ดับเอาดื้อๆ ทุกครั้งไป ไม่ว่าจะอยู่กลางถนน หรือบนไหล่ทาง ... คืนวันที่ ๑๗ กันยายนที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งหนึ่งของชีวิต ที่ดิฉันต้องเผชิญกับสภาวะ ที่ไม่อยากเจอนี้ ประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ดิฉันขับรถกลับบ้าน โดยใช้เส้นทางเดิมเหมือนทุกๆวัน คือ ขึ้นทางด่วนดินแดง วิ่งตรงเป็นเส้นทางยาว มุ่งหน้าลงทางด่วนที่บางนา รถวิ่งมาได้กว่าครึ่งค่อนทาง สายฝนก็เทโครมลงมา อย่างไม่มีเค้ามาก่อน ดิฉันลดความเร็ว เปิดไฟกะพริบ เป็นสัญญาณเตือนรถ ที่วิ่งตามมาข้างหลังว่า ดิฉันจะวิ่งช้ากว่าปกติ เพราะถนนลื่น และเริ่มมีน้ำเอ่อล้นมา จากขอบทางแล้ว รถวิ่งเรื่อยๆ จนกระทั่งลงทางด่วน โดยสวัสดิภาพ ดิฉันเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนคู่ขนาน บางนา-ตราด เพื่อขึ้นสะพาน กลับรถเข้าสู่ ถนนศรีนครินทร์ สายฝนยังถั่งโถมหนักไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ปริมาณน้ำฝนบนถนนช่วงนี้ สูงกว่าบนทางด่วน มากเอาการ ดิฉัน เริ่มกังวลมากขึ้น เมื่อคลื่นน้ำลูกย่อมๆบนถนน กระทบท้องรถ รถกระบะคันหนึ่ง วิ่งตามมาทางเลนขวามือ ตะบึงแซงขึ้นข้างหน้า ล้อรถที่หมุนด้วยความเร็วสูง สาดน้ำจากพื้นถนน เข้าใส่รถของดิฉัน โครมใหญ่ กระเซ็นน้ำฝน สาดกระทบ แผ่นกระจกหน้ารถ เหมือนสายน้ำตก เทใส่เจ้ามาสด้า ของดิฉันสำลักน้ำ เครื่องกระตุกไม่กี่ที ก็จอดสนิท สตาร์ทอย่างไร ก็ไม่ติด... ห้าทุ่มเศษๆ... ฝนยังคงเทหนัก ไฟฟ้าข้างถนนส่องแสงซีดเซียวผ่านม่านสายฝน รถของดิฉัน จอดค่อนมาริมทางแล้ว แต่ก็ยังไม่อยู่ ในจุดที่ปลอดภัย รถคอนเทนเนอร์หลายคัน วิ่งมาทางด้านหลัง สาดไฟวาบแล้วเบนออกเลนขวา เบี่ยงหลบรถดิฉัน ที่ขวางทางอยู่ ดิฉันคิดทางออก 2 ทางคือ ทิ้งรถไว้อย่างนั้น แล้วโบกแท็กซี่กลับบ้าน หรือโทรศัพท์ ขอความช่วยเหลือ จากตำรวจ ดิฉันเลือกทางที่สอง เพราะฝนยังตกหนัก แม้การออกจากรถ มายืนอยู่ริมถนนมืดๆ คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ดิฉันกดโทรศัพท์มือถือเรียก ๑๙๑ เพราะเป็นเบอร์โทรฯฉุกเฉินเพียงเบอร์เดียว ที่พอนึกออกในวินาทีนั้น ในใจคิดถึงเพลงตำรวจ ที่ได้ยินบ่อยๆทางวิทยุ "...เราอยู่ไหนประชาอุ่นใจทั่วกัน..." เสียงตำรวจที่รับสายบอกว่า ให้ดิฉันรออยู่ในรถ อย่าออกมา จนกว่าจะมีตำรวจไปถึง ทาง ๑๙๑ จะติดต่อกับสถานีตำรวจ ในท้องที่ ให้ดิฉัน เอง เขาขอเบอร์โทรศัพท์มือถือ ของดิฉันไว้ แล้ววางสายไป ดิฉันค่อยรู้สึก สบายใจขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่วางใจนัก เพราะไม่แน่ใจว่า ต้องรอนานแค่ไหน ดิฉันเปิดไฟกะพริบ เตือนรถที่วิ่งมาข้างหลัง ให้รู้ว่า รถดิฉันกำลังมีปัญหา ...เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ดิฉันได้แต่บอกตัวเองว่า "ไม่ต้องกังวล พระท่านจะคุ้มครอง" ฟ้าผ่าลงหม้อแปลง เสาไฟริมถนน ไฟทางดับวูบทั้งแถบ ดิฉันชักหวั่นไหวอีกแล้ว โทรไปที่ ๑๙๑ อีกสองครั้ง ก็ไม่เจอตำรวจคนเดิมที่รับสาย ต้องแจ้งเหตุใหม่ทุกครั้งไป ตั้งแต่ทะเบียนรถ สีของรถ จุดที่รถจอดเสียอยู่ ถนนขา เข้าหรือขาออก ฯลฯ จนชักอ่อนใจ สุดท้ายตำรวจ ๑๙๑ ให้ดิฉันโทรติดต่อ ศูนย์วิทยุตำรวจ เขตบางนา ซึ่งอยู่ใกล้ จุดเกิดเหตุมากกว่า ดิฉันโทรไปที่เบอร์ใหม่ เสียงผู้ชายที่ดิฉันเข้าใจว่า เป็นตำรวจรับสาย แล้วบอกว่าจะส่งคนมาช่วย อย่าออกจากรถเป็นอันขาด ดิฉันวางสายแล้วนั่งรอเวลา เช็คประตูรถให้มั่นใจอีกครั้งว่า ล็อคเรียบร้อยดีทุกประตู แล้วก็โทรศัพท์กลับไปที่บ้าน บอกคุณพ่อว่า "กำลังเดินทางกลับ เดี๋ยวคงถึง ไม่ต้องเป็นห่วง" วางสายไปอีกพักใหญ่ ก็มีรถกระบะ ซึ่งท้ายรถมีอุปกรณ์ยกรถ ติดตั้งอยู่ วิ่งชะลอเข้ามาจอดด้านหน้า ผู้ชายคนหนึ่งลงจากรถ แล้วเดินตรงมาที่รถของดิฉัน เขาอ้อมไปทางด้านหลัง แล้วจัดการเข็นรถของดิฉันเข้าข้างทาง จากนั้นก็ขึ้นรถ ขับหายไป โดยไม่ได้สนใจ จะเข้ามาไถ่ถามปัญหา ของดิฉันแต่อย่างใด ผู้ชายคนนี้ ไม่ได้แต่งชุดตำรวจ ทั้งรถของเขา ก็ไม่มีตราโล่ตำรวจ หรือข้อความใดๆ บ่งบอกว่าเป็นของ สถานีตำรวจ ดิฉันจึงไม่ลงจากรถ คิดว่า ถ้าเขามาเคาะกระจก จะคุยด้วย ก็จะไขกระจกลงนิดหนึ่งแล้วบอกเขาว่า ดิฉันกำลังรอรถตำรวจ แต่นี่เขาไม่สนใจ จะมองหาดิฉันด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือ เขาขับรถหายลับไปไกลแล้ว ดิฉันได้แต่นั่งมองสายฝน พึงพำขอบคุณเขาเบาๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ตอนนี้รถของดิฉัน อยู่บนไหล่ถนน ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย ไฟถนนที่ดับไปพักใหญ่ ติดสว่างขึ้นอีกครั้ง ฝนเริ่มซาเม็ดลงแล้ว ดิฉันเริ่มท้อ กับการรอคอย คิดว่าถ้าตำรวจยังไม่มา ดิฉันจะทิ้งรถไว้ แล้วลงไป โบกรถแท็กซี่กลับบ้าน เที่ยงคืนกว่าๆ สายฝนยังโปรยละออง รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง มีผู้ขับแล้วผู้ซ้อนท้าย วิ่งเลียบไหล่ถนนสวนเลน ตรงมายัง รถของดิฉัน เขาหยุดจอดตรงหน้ารถ แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขา ขึ้นมาโทรหาใครบางคน โทรศัพท์ ในกระเป๋าถือ ของดิฉัน มีสัญญาณเรียกเข้า ดิฉันรับสาย เป็นเสียงผู้ชายบอกว่า "นี่ใช่รถที่โทรไปแจ้งว่า ต้องการความช่วยเหลือ หรือเปล่า ผมมาถึงแล้ว" ดิฉันมองหน้าเขา ผ่านฝ้าไอน้ำที่เกาะกระจก แล้วยิ้มออกเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ที่ฝนเริ่มเทลงมา.. .แต่ก็ยังคงระมัดระวังตัว เขาไม่ได้แต่งชุดตำรวจ เจ้าหน้าที่สองคน จากหน่วยอาสาสมัคร ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เขตบางนา หรืออพปร. ลงมือทำงานของเขา โดยอาศัย แสงไฟจากริมถนน และมีดิฉันถือร่มกันเม็ดฝนให้ เพราะงานนี้ ไม่ต้องการความชื้นแม้แต่น้อย "กิจ" อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น "สมพร" อยู่ในชุดช่างฟิต แบบชุดหมีสีส้ม เขาจัดการถอดหัวเทียน ออกมาเช็ดให้แห้ง ตรวจดูทองขาว จานจ่าย และระบบจุดสตาร์ทว่า มีหยดน้ำเกาะอยู่หรือเปล่า แน่นอนว่าทั้งระบบ ถูกความชื้นเข้าไปก่อกวน จนรวนไปหมด เราลองสตาร์ทรถ อีกหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ติด เขาสองคน ลงความเห็นว่า ถ้ายังตากฝนอยู่อย่างนี้ ไม่มีทางสตาร์ทติดแน่ ดิฉันต้องขึ้นไปนั่ง หลังพวงมาลัยอีกครั้ง มีเขาสองคน ช่วยกันออกแรงดันรถ ให้เคลื่อนไปข้างหน้า เป้าหมายคือ เต๊นท์ขายรถยนต์ ที่มีแสงไฟ และพอจะมีชายคา ให้อาศัยซ่อมรถได้ เวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่..ตีหนึ่งกว่าแล้ว ผู้ที่อาสามาช่วยซ่อมรถของดิฉัน ยังตั้งหน้าตั้งตาตรวจหา จุดที่เป็นปัญหา "สมพร" ชายในชุดหมีบอกว่า จะกลับไปเอาอุปกรณ์ ที่สำนักงานของเขา ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ดิฉันเสนอว่า เราปล่อยรถ ทิ้งไว้อย่างนี้ก่อนก็ได้ ตอนเช้าค่อยตามช่างมาดู เพราะขณะนี้ ก็ดึกมากแล้ว อย่าต้องลำบากเลย เขายืนยันว่า ปัญหามีนิดเดียวเท่านั้น ใช้เวลาไม่นาน ก็ทำเสร็จ ความมุ่งมั่นตั้งใจของเขา ที่จะช่วยแก้ไข ให้รถสตาร์ทติด ทำให้ดิฉันตกลงใจว่า จะลองดูอีกสักพัก ก่อนขับมอเตอร์ไซค์จากไป เขาหันมาบอกลุงยาม ที่เฝ้าเต๊นท์รถยนต์ว่า เดี๋ยวจะกลับมา ฝากลุงยาม อยู่เป็นเพื่อนดิฉันด้วย... ...ดิฉันเลิกดูนาฬิกาไปนานแล้ว หลังจากที่เราใช้ท่อสายยางต่อไอเสีย จากรถมอเตอร์ไซค์ มาพ่นไล่ความชื้น จากระบบจุด สตาร์ทของรถดิฉัน จนค่อนข้างจะมั่นใจว่า แห้งดีแล้ว ลองสตาร์ทอีกหลายครั้ง รถก็ยังไม่ติดอยู่ดี ทุกคนง่วนอยู่กับ การเช็ดตรงนั้น ต่อตรงนี้ สุดท้ายเราได้น้องๆวัยรุ่น ที่เป็นอาสาสมัคร อพปร.อีกสองคน ที่หน้าตายังงัวเงีย เพราะถูกปลุก ให้มาช่วย มาออกแรงเข็นรถของดิฉัน ไปที่สำนักงานของพวกเขา ที่อยู่ไม่ไกล จากเต๊นท์รถมากนัก กะคร่าวๆ น่าจะประมาณ ๕๐๐ เมตร แต่มันก็ไกลเอาการ ในความรู้สึก เมื่อเราต้องเข็นเจ้ารถมาสด้า ของดิฉันไปด้วย คุณพรชัย คำพร รองประธานอพปร. เขตบางนา ตามมาสมทบ ขณะที่พวกเราช่วยกันเข็นรถ ขึ้นเนินลานจอดรถ สำนักงาน เขตบางนา ถึงที่นั่น ดิฉันเพิ่งรู้สึกตัวเองว่า ได้สุดอากาศเข้าเต็มปอดเป็นครั้งแรกในคืนนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ความเครียด เข้าเกาะกุม โดยไม่รู้ตัว แต่ขณะนี้ ความเครียดได้หายไปแล้ว เราหัวเราะกันได้ เมื่อตอนเข็นรถขึ้นเนินไม่ไหว แล้วก็ต้องปล่อย ให้มันไหลลงมา ก่อนที่จะฮุยเลฮุย ดันมันขึ้นไปอีก จนสำเร็จ คืนที่แสนยาวนาน ดิฉันยังคง ระมัดระวังตัวอยู่ แต่ก็อุ่นใจ ในความช่วยเหลือ และไมตรี ที่ได้รับ ฝนขาดเม็ดแล้ว อากาศสามชั่วโมงหลังเที่ยงคืนเย็นสบาย สมพรยังคร่ำเคร่งกับการเอาชนะ จุดที่เป็นปัญหา มันเป็นสิ่งท้าทาย สำหรับเขา ดิฉันถือโอกาส ชวนคุณพรชัยและกิจคุย ทำความรู้จักกับ อพปร. และเหตุจูงใจว่า ทำไมพวกเขา ถึงต้องอดหลับอดนอน มาทำงานอาสาสมัคร ที่ไม่มีเงินเดือน หรือรายได้ตอบแทน หน่วยงานของพวกเขา ใช้สถานที่ ของสำนักงานเขต แต่ไม่ได้เป็นลูกจ้างในสังกัด เพราะเป็นงานอาสาสมัคร ค่าใช้จ่ายหลายๆอย่าง ก็ต้องออกเงินกันเอง เช่น ค่าน้ำมันรถ ค่าชุดหมี และอีกจิปาถะ "ผมทำงานอาสาสมัครมาเป็นสิบปีแล้ว ก็มีความสุขดี ได้ทำงานช่วยเหลือคน อย่างเด็กๆที่มาช่วยงานนี้ ผมมองว่า มันดีกว่าให้พวกเขา ไปทำอะไรอย่างอื่น อย่างเช่น มั่วยาเสพติด หรือเที่ยวกลางคืน" คุณพรชัยหรือที่น้องๆใน อพปร. เรียก "ท่านรองฯ" บอกกล่าวความรู้สึก ดิฉันหันไปมองหนุ่มวัยรุ่นที่ตามมาสมทบทีหลัง เขายังเป็นเด็กนักเรียนพาณิชย์ แต่ช่วงนี้ปิดเทอม ก็เลยอาสามาช่วยงาน ช่วงกลางคืน จริงอย่างที่คุณพรชัยว่า ...มันดีกว่าการไปกินเหล้าเมายา หรือเที่ยวกลางคืนเป็นไหนๆ "กิจ" ซึ่งดูอาย ุน้อยกว่าดิฉัน เล่าบ้างว่า เขามีงานขายของเล็กๆน้อยๆ อาสามาช่วยงานที่นี่ นานแล้วเหมือนกัน ผลตอบแทน ที่ได้รับ คือ ความสบายใจ ...เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง ควันขโมงสีขาวถูกพ่นออกมา จากท่อไอเสีย พวยพุ่งลอยขึ้น สู่ท้องฟ้าฉ่ำฝน เวลาสี่นาฬิกา ดิฉันร้องเฮ ออกมาเป็นคนแรก สมพรยิ้มโล่งใจ ปมปัญหา ที่เขาพยายามไล่แก้ ทีละเปลาะ มาเกือบๆสี่ชั่วโมง ถูกคลายออกสำเร็จในที่สุด เขาเก็บงานเรียบร้อย ด้วยการหาเท็ปพลาสติกมาพัน บริเวณขั้วสายไฟ ที่ต่อเข้าสู่จานจ่าย เพื่อป้องกัน ไม่ให้น้ำฝน เล็ดลอดเข้าไปได้อีก กิจถือโอกาสรำลากลับบ้าน เพราะต้องตื่นเช้า ส่งลูกสาวตัวน้อย ไปโรงเรียนอนุบาล คุณพรชัยหยิบหนังสือ คู่มือช่วยรถประสบภัยน้ำท่วม เล่มเล็กๆ มายื่นให้ ดิฉันได้แต่กล่าว คำขอบคุณจากหัวใจ... น้ำใจไมตรีที่ทุกๆคนหยิบยื่นให้ดิฉันในคืนนี้ ไม่อาจตีค่าออกมา ในรูปของเงินทองได้เลย ดิฉันขับรถกลับบ้าน ด้วยความสุข อันเกิดจากการได้รับสัมผัส ความดีงาม สายฝน เครื่องยนต์ และปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ดิฉัน ได้รู้จักกับคนดีๆ อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทำให้ดิฉัน ตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ดิฉันจะเป็นผู้หนึ่ง ที่ร่วมสร้างความดีงาม ให้เกิดขึ้น ในสังคมเช่นกัน จะสร้างรอยยิ้ม ในหัวใจคนอื่นๆต่อไป ด้วยการหยิบยื่นน้ำใจไมตรี ให้โดยบริสุทธิ์ใจ และ ให้ความช่วยเหลือ เท่าที่สามารถจะทำให้ เมื่อกลับถึงบ้าน คุณพ่อของดิฉันยังนอนหลับสนิทอยู่ คุณแม่ได้เวลาตื่นนอนพอดี ท่านคิดว่าดิฉันมีงานยุ่ง จนต้องกลับบ้าน ดึกดื่นเช่นเคย ดิฉันกราบสวัสดีคุณแม่ แล้วกอดท่านไว้ หยดน้ำเล็กๆกลิ้งหล่นจากแก้ม ขอขอบคุณความดีงามในทุกๆดวงใจ ที่ทำให้ดิฉันกลับถึงบ้าน โดยสวัสดิภาพ กล้าแสงฟ้า สุขัคคานนท์ *เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินที่ควรมีติดรถไว้
|
|
ธรรมะประทับใจ (๗๓) หนังสือสารอโศก อันดับที่ ๒๔๑ เดือนตุลาคม ๒๕๔๔ หน้า ๑๒๑ |
|