เดินตามรอยพ่อ...
เสือ สิงห์ กระทิง...คน

หนังสือ สารอโศก
อันดับที่ 241
ตุลาคม 2544


เมื่อสมัยสี่ห้าสิบปีกว่ามาแล้ว กระต๊อบที่เคยอาศัยอยู่ในป่าดงดิบ ซึ่งมีใต้ถุนสูง เสือโคร่งมาคาบหมู ที่เลี้ยงไว้ใต้ถุน เอาไปกิน ข้างต้นยางใหญ่ ใกล้ๆ บ้านนั่นเอง แทบทุกเย็น... น้าชายต้องลงทุน ปีนต้นตาล ขึ้นไปดูว่า ช้างป่ามาแล้วรึยัง เพื่อจะได้ส่งสัญญาณ ตีเกราะเคาะไม้ แม้คุณพ่อจะโห่ร้อง สุมไฟไล่สักเท่าไหร่ แต่โขลงช้าง ก็ยังยืน ถอนต้นมะพร้าวกิน จนเกลี้ยง แทบทุกคราวไป

ผมคือเด็กชายจอมซนตัวเล็กๆ ที่ถูกประวัติศาสตร์ ของความเป็นป่าดงพงไพร ชุบเลี้ยงมา เชื่อไหมครับว่า คุณแม่ของผม ถึงกับส่งเสียง ร้องลั่น เมื่อผมเรียกเสือโคร่ง ให้มายืนแยกเขี้ยว คำรามเล่นกับผม ที่กำลังสนุก อยู่ในลำธารข้างบ้าน

ครับ เด็กจอมซนคนนั้น คือผม "ไม้ร่ม" เด็กซนจากป่าดงดิบในอดีต เพราะพ่อแม่ของผม เป็นชาวป่า คุณตาเป็นนายพราน ผมจึงได้รับการอบรม ถ่ายทอดภูมิปัญญา เพื่อการมีชีวิต รอดพ้นมาจากเขี้ยวเล็บ อันแหลมคม ของเสือสิงห์ กระทิง แรด

ปัจจุบันนี้ ป่าดงดิบได้เปลี่ยนเป็นสวนมะพร้าว ที่มีทั้งไฟฟ้าและถนนหนทาง ผมมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นป่า เหมือนกัน แต่เป็นป่าคอนกรีต จนกระทั่งผมมาเป็นนักปฏิบัติธรรม ตามรอยเท้าพ่อ พระโพธิสัตว์ คอยรับใช้ชาวอโศก เพื่อมวลมนุษยชาติ อย่างเต็มตัว

จะให้สงสัย ผมไม่สงสัย แต่จะให้เล่นกับเสือ สิงห์ กระทิง แรด เหมือนสมัยเด็กๆนั้นไม่เอาแน่ เพราะเสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่แฝงกายอยู่ในจิตใจ ของนักปฏิบัติธรรม บางผู้บางคนนั้น น่ากลัวกว่ายิ่งนัก เคยได้เห็นได้ยิน คนถูกเสือป่ากัด แต่ไม่ถึงตาย เหมือนกับนักปฏิบัติธรรมที่ตกร่วง หรือตายไปจากธรรมนั่นเอง เพราะไหนจะถูก แม่เสือสาว ที่มาปฏิบัติธรรม ด้วยกัน คาบไปกิน

แต่สัตว์ที่น่ากลัวที่สุด ก็คือสัตว์ร้าย ที่อาศัยอยู่ในตัวเรา ที่เจ้าตัวมองไม่เห็น นั้นมากกว่า ผมเคยเดินตามเต่า ที่เดินลุยโคลน ขึ้นไปหาที่วางไข่ บนเนินดินสูง คุณตาบอกว่า ถ้ามีรอยมุดสังตามหลัง นั่นก็แสดงว่า เต่าจะไปวางไข่ จงสะกดรอยตามให้ดี จะได้ทั้งเต่าทั้งไข่ บางครั้งก็สะกดรอย ตามควายที่หาย บางครั้งก็ตามรอยหมู หรือเก้ง กวาง ถึงหนามจะตำ ยุงจะกัด เพราะต้องผ่านป่า ผ่านทุ่งหญ้า แต่กลับสนุก ลืมความตาย

การเดินตามรอยพ่อ มันมิใช่การเดินตามรอยเท้าควายที่หายไป หรือตามรอยเท้าเต่า เก้ง กวาง เพื่อที่จะไล่ล่า มาฆ่าแกง แต่เป็นการตามรอยเท้าพ่อ เพื่อปฏิบัติบูชา พ่อผู้นำพาลูกๆ ไปให้ถึง ซึ่งจุดหมายปลายทาง นั่นคือ สุข สงบ สว่าง หมดกิเลส สิ้นทุกข์ จนกระทั่งบรรลุธรรม ถึงซึ่งนิพพาน เป็นที่สุด

การฆ่าเต่า เสือ สิงห์ กระทิง แรด หรือสัตว์ร้ายอื่นๆนั้น ไม่ยากหรอกครับ แต่.... การฆ่ากิเลสวิสัย ในตัวเรานี้สิ มันยากเย็นแสนเข็ญ เพราะแม้เสือ สิงห์ กระทิง แรดที่ว่ายิ่งใหญ่อยู่ในป่า ก็ยังกลัวกิเลสคน

สมัยเด็ก ผมตามรอยเท้าสัตว์ พอโตเป็นหนุ่ม ผมก็หลงตามรอยเท้าโลกีย์ ที่ยั่วยุอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะ ตามรอยกิเลสกาม อยู่นานนับ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทนแล้วทนเล่า ติดอกติดใจ เบื่อๆ อยากๆ วนเวียนเสียเวลา เสียทุกสิ่ง นานนับ อย่างน่าเสียดาย

กว่าจะเจออโศก กว่าจะได้กราบแทบเท้าพ่อท่าน อายุก็มากแล้ว ทั้งวันวัย และเรี่ยวแรงก็ถดถอย แต่ก็รู้ว่า รอยเท้าที่ผม กำลังเดินตาม คือเส้นทางที่พ่อเดินไป มันไม่ง่ายอย่างที่คิด มันไม่ง่ายเหมือนกับ การเดินตามรอยเต่า รอยควาย หรือ รอยเท้าสัตว์อื่นๆ ที่เราเคยตามทัน จนได้ตัวมันมาเป็นของเรา

แต่ก็เอาเถอะ จะกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ ร่องรอยที่ปรากฏอยู่บนเส้นทางสายนี้ คือรอยเท้าพ่อ พระโพธิสัตว์ ที่ผมจะต้อง อุทิศตน เดินตาม แม้เหนื่อยแม้หนัก แม้จะต้องถูกขย้ำซ้ำเติม จากสัตว์ร้ายรอบกาย (สัตว์ในร่างคน) แม้จะต้องน้ำตานองหน้า ผมอุทิศแล้ว ที่จะเดินตามรอยพ่อ ไปทุกภพชาติให้จงได้

ผมก็คือปุถุชนคนหนึ่ง ที่กำลังแสวงหาความดีงามให้กับชีวิต ที่ไม่แตกต่าง จากคนอื่นๆ มากนัก ผมจำได้ว่า เมื่อปลายปี ๒๕๒๔ ผมได้มีโอกาสมากราบ และฟังธรรม จากพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ที่พุทธสถาน สันติอโศก ด้วยความตั้งใจ เพราะความดีงามของเพื่อน ที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่ ที่ไม่เคยเจอกัน มานานมากแล้ว

เมื่อได้ฟังเทศน์จากพ่อท่านโพธิสัตว์เป็นครั้งแรกนั้น สิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในชีวิตของผม คือ น้ำตามันเอ่อ ปริ่มจะไหล ภายใต้กรอบแว่นสีทึบ ความปีติใจ จุกคอหอย จนตื้นตัน ผมพูดอะไรไม่ถูก ได้แต่บอกกับภรรยา ที่นั่งฟัง อยู่ข้างๆว่า "เราเจอแล้ว.... เราพบแล้ว"

จากวันนั้นถึงวันนี้... "ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน" "ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ"... ทำให้ผมหมดความสงสัย ในตัวนักบวช โดยสิ้นเชิง ซึ่งต่อมา ผมก็เรียก "พ่อ" ได้อย่างสุดบูชายิ่ง ในความจริงที่เห็น และที่พ่อพาทำ พาเป็น พาไป...

จากการแต่งกายที่เรียบง่ายมอซอ ไม่สวมรองเท้า กินมังสวิรัติมื้อเดียว และอะไรต่อมิอะไร ที่นักปฏิบัติธรรม อย่างผม ต้องเพ่งเพียร เพื่อตัดกองกิเลส ให้หมดไป ด้วยความปีติจิต ในยุคแรกๆนั้น ผมก็ฝึกทำไป แทบทุกอย่าง จนผิดรูป คนโลกีย์เก่า ไปโดยสิ้นเชิง จนกระทั่ง ลาออกจากงาน ทิ้งเงินเดือน เกือบห้าหมื่นบาท จากโรงเรียนนานาชาติ (I.S.B) เมื่อปี ๒๕๒๘ บ้านราคาเกินล้าน ก็ขายไปแค่ไม่ถึงครึ่งล้าน แบบราคาบุญนิยม เกือบทุกอย่าง ก็ยกให้ไปเป็นทาน อย่างไม่ใยดี

ผมรู้ว่าระยะทางของปุถุชนคนบาปอย่างผมนั้นยังไกล ไหนจะกิเลส อุปาทาน สัญญา ไหนจะภาระ การเดินตาม รอยเท้าพ่อ มันไม่ใช่ง่าย อย่างที่คิดเอาเองเลย คิดไปก็น้ำตานองหน้า ... จำเป็นครับ จำเป็นที่จะต้อง ตัดใจทิ้ง อย่าว่าแต่ทรัพย์ สมบัติเลย แม้แต่ลูกเมียที่เคยรัก เคยหวงแหน เหมือนจะกลืนกิน ก็ยังต้องทิ้ง ทิ้งได้ให้ลงคอ

เมื่อไม่เหลืออะไร สุดท้ายก็ต้องเป็นเด็กวัด เดินตามรอยพ่อท่านโพธิรักษ์ อย่างคนจำยอม อย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว อย่างคน ไม่มีทางไปอื่น ได้อีกแล้ว สมัยก่อน ผมเคยมีคนรับใช้ ก็กลายมาเป็นคนรับใช้ จากคนมีเงินมีทอง ก็เหลือแต่ ผ้าขี้ริ้วห่อกาย จากคนเคยถูกยกย่อง ก็กลับต้องถูกอบรมสั่งสอน ไม่เว้นแต่ละวัน จากนายวิโรจน์ นุ้ยบุตร ศิลปิน ที่เคยมีชื่อเสียง โด่งดัง ก็เหลือแค่ ด.ว. เด็กวัดที่ขอเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลใหม่ โดยความเมตตา จากพ่อท่านว่า "ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก"

นิสัยคนอวดรู้ก็ต้องมาทบทวนใหม่ เพราะตัวรู้ หรือ "กูรู้แล้ว" นั้น ไม่ใช่ตัวรู้ที่เป็นปัญญา ที่จะเจาะลึก ลงไปสู่ความเชื่อ ให้ก่อเกิด เป็นความศรัทธา ให้เชื่อมั่น จนต้องกราบบูชา ยกให้อยู่เหนือ เหตุผลทั้งปวง เพื่อไปสู่การตรัสรู้ บรรลุธรรม นั้นได้เลย

นักปฏิบัติธรรมชาวอโศกที่มีปัญญา และศรัทธามั่นแล้ว เขาจะรู้จักแยกแยะ ไม่เกร็งหรือกร้าว หรือเคร่งครัดจนเครียด แต่เขาจะเป็นธรรมชาติ ธรรมดามากขึ้น จนมีความเสรี ที่จะเป็นตัวของตัวเอง อยู่ในตัวอย่างเต็มภาคภูมิ

จากตัวรู้แล้ว แบบคนไม่เอาถ่านที่อวดรู้กับพ่อท่าน กับหมู่สมณะ และกับหมู่กลุ่ม จากจิตวิญญาณ ที่เคยหยาบคาย ก็ถูกพัฒนา สู่ความลุ่มลึก จะมากจะน้อย ก็สุดที่จะขานไขครับ บอกได้ก็แต่ว่า ถูกแล้ว เหมาะแล้ว สำหรับชื่อใหม่ของผม เพราะผมไม่ใช่คนหยาบช้า เหมือนเดิมแล้ว ปัจจัตตังแห่งจิตวิญญาณดวงนี้ มีจริงครับ...

ขณะที่ผมสร้าง "สวนธรรมชาติอโศก" ที่ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เพื่อมอบถวายจัดงาน วันธรรมชาติอโศก พ่อท่านไปที่นั่น และรับตัวผม ให้เดินออกจากธรรมชาติอโศก เพื่อที่จะมาช่วยสร้าง "พระวิหารพันปี"

ทิ้งลูกทิ้งเมียด้วยน้ำตา ผมก็ทิ้งมาแล้ว แต่นี่พ่อท่าน ยังจะให้ผมทิ้งสวนป่า ที่สงบงาม ที่ผมสร้างมันมา ด้วยหัวใจ นี้อีกหรือ? โดยเฉพาะ สวนสัตว์โลกหนอ ที่กำลังเป็นรูปเป็นร่าง ควบคู่กับ สวนธรรมชาติอโศก เสียงค่างบ่างชะนี ที่กูร้อง เสียงต้นน้ำ ที่สาดกระเซ็น อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เสียงกวางที่ร้องเปรียวๆ อยู่รอบๆ โดยเฉพาะเสียงหมี ที่ร้องอ๊ะๆ ให้ได้ยิน ในยามค่ำคืน เป็นประจำ ยังจะให้ผมทิ้งจากไป เหมือนไม่ใยดี กับวิญญาณรัก และผูกพันในธรรมชาติ เหล่านี้อีก หรือพ่อ...?

แต่ผมก็เต็มใจทิ้ง เพื่อพ่อโพธิสัตว์ที่ผมบูชายิ่ง ทุกอย่างวนเวียนไปตามวัฏสงสาร เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อยากอยู่ก็อยู่ อยากไปก็ไป ก็ต้องไปให้ถึง ซึ่งพระนิพพาน มีอะไรอีกเล่า ที่จะต้องห่วงหาอาวรณ์... คิดได้ดังนี้ ผมจึงมารับใช้พ่อท่าน ที่สันติอโศก และที่อื่นๆ ตามที่พ่อ จะให้โอกาส

ส่วนลึกของผม ผมก็รู้แต่ว่า ผมเป็นสุข สุขจากการไม่มีลาภ ยศ ทรัพย์สิน เงินทอง สุขจากการที่ กิเลสลดน้อยลง สุขจากการขัดเกลา จากหมู่กลุ่ม

สุขประการสุดท้าย ที่นับว่าเป็นความสุข อันยิ่งใหญ่ในชีวิต คือความสุขที่ได้อยู่ รับใช้พ่อท่าน ในชาตินี้ และทั้งยังเป็นสุข เพิ่มขึ้นอีก ที่จะได้อธิษฐานจิต เพื่อการเกิดมารับใช้ พ่อท่านโพธิสัตว์ ในชาติต่อไป...

ผมกราบบูชาแทบเท้า เพื่อติดตามรอยเท้าพ่อ โพธิรักษ์ โพธิสัตว์ชั่วนิจนิรันดร์

กราบเท้าบูชาพระพ่อโพธิสัตว์ยิ่ง
ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก

 

นอนดึกดื่นตื่นเช้าเข้าทำวัตร สารพัดทำงานการสร้างสรร
ทิ้งเมียทิ้งลูกสิ่งผูกพันธ์ ทำเช้ายันเย็นค่ำทำเรื่อยมา
ไม่มีวันหยุดลดปลดเกษียณ ทำเพื่อเพียรเป็นทาสศาสนา
เพื่อให้เราเขาอื่นชื่นชีวา ศาสดาตอกย้ำให้ทำงาน
ถึงงานหนักเหน็ดเหนื่อยถึงเมื่อยล้า ถึงหน้าตายับย่นจนเกรียมกร้าน
ทุกนาทีชีวิตจิตวิญญาณ ยังเบิกบานสุขเย็นไม่เป็นไร
ชีวิตเราวันนี้มีคุณค่า มิได้ปรารถนาสิ่งเหลวไหล
ทำได้มากได้น้อยไม่คอยใคร วันคืนไม่รอท่าอย่าเกียจคร้าน
ใครแช่งด่าว่าอะไรใจสงบ ยอมคนตบตีด่าถึงหน้าบ้าน
ใครยกยอเอาใจเราใส่พาน ก็ยังอยู่กับงานไม่หลุดลอย
กิจวัตรชีวิตศิษย์พระศาสน์ ขอเป็นทาสพุทธไปไม่ท้อถอย
คนแท้ไม่ท้อไม่รอคอย เอาแต่น้อยทำมากไม่ยากเย็น

"ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก" ๑ ส.ค.๒๕๔๒

 


 
เดินตามรอยพ่อ หนังสือสารอโศก อันดับที่ ๒๔๑