จดหมายจากญาติธรรม
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับ ๒๔๒
น้า 1/1

อยากรู้เรื่องกิน
จากการอ่านและศึกษาจากหนังสือดอกหญ้าและสารอโศก ทำให้ข้าพเจ้ารู้แนวทางการปฏิบัติตน เพื่อลดละ สิ่งที่เกิน ความจำเป็นของชีวิต แต่สิ่งที่ได้ทำ ได้ก่อไว้ ต้องชดใช้ตามวิถีทางที่สุดจริต เพื่อขจัดปัญหา หรือโจทย์ที่ก่อไว้ ให้ค่อยๆลดลง ทีละขั้นตอน ค่อยๆลดทีละเดือน จนกว่าจะหมดภาระนั้นไป ถ้าไม่มีแนวทาง การปฏิบัติของอโศก ตลอดจนธรรมะที่อ่านพบ คงทำให้ข้าพเจ้าคิดมาก กว่าปัจจุบันเป็นทวีคูณ

ทุกวันนี้อารมณ์ค่อนข้างเย็น ไม่ต้องการยศเพิ่มขึ้น ดังที่หลายๆคนในหน่วยงานแสวงหา ซึ่งใช้วิธีการทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่แสวงหานั้นๆ แต่เขาคงไม่มีความสุข ความสบายใจ เท่าข้าพเข้า (ซึ่งมีความสุข และสบายใจ ในระดับหนึ่ง) ของเขาเป็นความสุขที่ร้อน ส่วนข้าพเจ้า เป็นความสุขที่ค่อนข้างเย็น ซึ่งถ้าไม่มีแนวทาง คำสอนของอโศก ข้าพเจ้าขอบอกว่า ข้าพเจ้าอาจจะเป็นสุขที่ร้อนยิ่งกว่าเขาก็เป็นได้

ส่วนเหล้าบุหรี่นั้น ไม่มีปัญหา เพระาโดยธรรมชาติแล้วข้าพเจ้าไม่ชอบ แต่เคยลองสูบบุหรี่ สูบได้ครึ่งมวนก็โยนทิ้งไป ส่วนเหล้านั้น แต่ก่อนดื่มบ้างเวลาไปงาน แต่ปัจจุบันเลิกเด็ดขาด ส่วนเรื่องอาหารนั้น ทานมังสวิรัติ ๒ มื้อ เช้า-เย็น เริ่มปฏิบัติช่วงเข้าพรรษา แต่คิดว่าจะทาน ๒ มื้อ เช่นนี้ตลอดไป

ข้าพเจ้าอยากให้อโศกทำหนังสือเล่มเล็กๆ ตามความเหมาะสมคือ ให้จัดทำเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ที่ทานทุกวัน เช่น งา มื้อหนึ่งควรทานเท่าไร หรือในแต่ละวัน ควรทานไม่เกินเท่าไร ถั่วเหลืองควรทานไม่เกิน เท่านั้นเท่านี้ต่อวัน ถ้าทานเกินแล้ว จะมีผลต่อร่างกาย อย่างไรบ้าง หรืออาหารอื่นๆ ทั้งนั้นทั้งนี้เพื่อผลต่อสุขภาพ ของคนทานอาหารเอง

ข้าพเจ้าเคยอ่านเจอ แต่ว่าไม่ได้บันทึกเอาไว้ จึงอยากให้ทางอโศก จัดทำเป็นเล่มขาย ซึ่งแล้วแต่ทางอโศก จะเห็นสมควร หรืออาจพิมพ์ลง ในหนังสือสารอโศก หรือดอกหญ้าก็ได้ จะเป็นพระคุณมาก / *วินิจ ภูโอบ

เราเคยทำหนังสือฉบับพิเศษชื่อ "ทำเนียบร้านมังสวิรัติ และเจในประเทศไทย" (๓๐ บาท) โดยสำนึกพิมพ์กลั่นแก่น มีเนื้อหา ตามที่คุณประสงค์ทุกอย่าง หากคุณสนใจ ก็ติดต่อที่สำนึกพิมพ์กลั่นแก่น คงจะสมปรารถนาเป็นแน่ -บ.ก.


กสิกรรมไร้สารพิษ
ตอนผมไปทำงานอยู่จังหวัดสมุทรสาคร อยู่ใกล้ปฐมอโศก ผมเข้าๆออกๆปฐมอโศกบ่อยครั้ง ไปเอาเท็ปหมุนเวียน และหนังสือ ของอโศกบ้าง ไปงานปีใหม่บ้าง

ปี ๒๕๔๐ ผมย้ายกลับบ้านเกิด จ.บุรีรัมย์ ผมได้ความรู้จากการอ่านหนังสือ ของชาวอโศก ผมเรียนทฤษฎี แล้วมาลงมือปฏิบัติ ล้มลุกคลุกคลาน เรื่องอาหารมังสวิรัตินี่แหละ ถ้ามังสวิรัติได้ อะไรๆก็ได้ตามหมด ถ้ามังสวิรัติตก อะไรๆก็ตกตาม เหมือนอยู่คนละโลก

ผมมาอยู่บ้านปีแรก พ่อ-แม่ แบ่งนาให้ทำ รวมทั้งสระน้ำด้วย ๕ ไร่ ที่นา ๓ ไร่เท่านั้น ผมจะเขียนป้าย ติดกับต้นไม้ ไว้เลยว่า "สวนฟ้านาบุญ เกษตรธรรมชาติไร้สารพิษ" ทำปีแรกงามไม่งามก็ช่าง เพราะรู้แล้วว่า ดินเสีย เคยใส่ ปุ๋ยเคมีมานาน ผ่านมาปี ๒-๓-๔ ก็ดีขึ้นตามลำดับ ครอบครัวผม ทำนาปลูกข้าวไร้สารพิษกินเอง มีเครื่องสีข้าวกล้องกินเอง พืชผักธรรมชาติ หาง่ายตามบ้านนอก แต่นักมังสวิรัติ ต้องกินถั่วเหลือง ค่อนข้างจะหายาก ปลูกเองก็ยาก จะซื้อตามอำเภอ ก็กลัวสารพิษตกค้าง ผมจำได้ที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เทศน์เอาไว้ว่า "ถ้านักมังสวิรัติ ไม่กินถั่ว เท่ากับทำลายอโศกไปในตัว นักมังสวิรัติต้องกินถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง"

นอกจากจะไปพุทธสถานบ้าง แต่ไม่ได้ไปบ่อยนัก ก็ซื้อมาตุนเอาไว้ กินเห็ดเกิดเองธรรมชาติบ้าง หมอวิชัยเคยพูดไว้ว่า "เห็ดไม่ใช่แหล่งโปรตีนที่ดีนัก นักมังสวิรัติต้องกินถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง" ผมเองเวลาไปพุทธสถานเท่านั้น จึงมีโอกาส ได้กินถั่วไร้สารพิษ กินเห็ด และเต้าเจี้ยว

พักนี้ไม่ได้เข้าหมู่กลุ่มนัก เพราะทำงานศูนย์ส่งเสริม และผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน ประจำตำบล ตอนนี้ผลิตข้าวหอมมะลิ ๑๐๕% ไร้สารพิษได้แล้ว ยังหาตลาดส่งขายไม่ได้ ตลาดยังไม่กว้างพอ ผมเป็นประธานศูนย์ พักนี้จะมีเกษตรอำเภอ พาคนไปดูงานบ่อยๆ คนกำลังตื่นตัว เรื่องเกษตรอินทรีย์ ทำน้ำหมักชีวภาพ บอกท่านสมณะเสียงศีลด้วย ท่านไม่ผิดหวังดอก ที่รณรงค์มาหลายปี คนเห็นช้าแต่ก็เป็นของจริง จังหวัดสุรินทร์ ผู้ว่าออกมารณรงค์เองเลย แต่บุรีรัมย์ ยังจดๆจ้องๆ ดูเขาอยู่

เรื่องเกษตรธรรมชาติไร้สารพิษ หรือกสิกรรมไร้สารพิษ ที่ผมนำมาเผยแพร่บ้านผม โดยทำที่นาผม เป็นแบบอย่าง ทำไปเรื่อยๆ ไม่ห่วงว่า ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ คิดว่าทำเป็นตัวอย่าง มีค่ากว่าคำสอน มีคำถามขอเรียนถาม บก.
Š๑. ปัจจุบันชาวกสิกรรมไร้สารพิษของชาวอโศก โดยเฉพาะทำนาข้าว เวลาไถนา ใช้รถไถนาเดินตามหรือเปล่า หรือ ใช้อะไรแทน? ๒.ปัจจุบันผมไม่มีรถไถนา อาศัยจ้างเขา จะซื้อก็พอซื้อได้ แต่ดูก่อนว่า มีวิธีใดจะหลีกเลี่ยง จากรถไถนาได้ไหม หรือ ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีสมัยใหม่ จะใช้ควายก็สงสารมัน ๓.ชาวอโศกใช้อะไรไถนา / *ศุภชัย พิพ่วนนอก

ชาวอโศกส่วนใหญ่ที่ทำกสิกรรมไร้สารพิษ เห็นมีอยู่สองพวกใหญ่ๆ คือ ๑.ใช้รถไถนา ๒.ใช้วิธีธรรมชาติแบบฟูกูโอกะ หว่านข้าว แล้วเอาฟางคลุม ไม่มีการไถใดๆเลย ส่วนควายนั้น พวกเราก็มักสงสาร ไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ จึงไม่มี การใช้ควายไถนา -บ.ก.


ให้พระมีเมียได้
ทำไมพระดังๆที่สอนธรรมะขั้นโลกุตระะรรม สอนให้ปล่อยวางไม่มีอัตตา ตอนท้ายๆต้องเสียหาย มีเรื่องกับผู้หญิง ต้องปาราชิก เป็นข่าวอยู่เสมอ

จากเหตุดังกล่าว ถ้าให้พระมีครอบครัวได้เหมือนบางประเทศจะได้ไหม เพราะคนที่บรรลุธรรมขั้นต้นๆ ก็สามารถ มีครอบครัวได้ เป็นการพบกันครึ่งทาง สำหรับคนที่อยากบวชเป็นพระ แต่ยังตัดขาด เรื่องผู้หญิงไม่ได้ ผมเสนอความคิดเห็นนอกประเด็น จากการอ่านหนังสือสารอโศก และดอกหญ้า คิดว่าคงไม่ว่ากัน เพื่อจะให้ท่าน อิสระมุนี กลับมาบวชใหม่ จะได้ไม่ไปเป็นโจร /- สมาชิก ๒๕๒๘๔๘

อาริยะบุคคลขั้นต้นระดับพระโสดาบันถือศีล ๕ สามารถมีภรรยา หรือ สามีได้อยู่แล้ว พระพุทธองค์ทรงเห็นใจ อนุโลมให้ แต่หากใคร อยากจะปฏิบัติตัวให้สูงขึ้น ก็ต้องลดละ กามราคะยิ่งขึ้น แม้แค่เลื่อนฐานะ เป็นศีล ๘ ก็ยังต้อง ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว นับประสาอะไรกับศีล ๑๐ หรือศีลของพระ ที่ต้องเว้นขาด จากกามราคะ ให้สิ้นเกลี้ยง จึงจะไปถึงนิพพานได้ ก็แล้วถ้าให้พระมีเมียได้ เมื่อไหร่จะหมดกิเลสกาม ไปนิพพานได้เล่า

ฉะนั้น ผู้ที่จะมาบวชเป็นพระ ในพุทธศาสนา ต้องรู้เป้าหมายนี้ทุกคน หากยังมีกิเลสกามจัด อยากมีเมียอยู่ ก็อย่ามาบวช ทำลายศาสนาเลย เป็นฆราวาสนั่นแหละ เหมาะสมกับฐานะแล้ว -บ.ก.


ไม่ร่วมเสพกาม
เขียนคืนวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๔ (เวลาตี ๓ ครึ่ง) แต่ผมลุกจริงๆตี ๒ ก็รีบจุดเทียนอ่านหนังสือสารอโศก ที่ทางสมาคม ส่งมาให้ จบก็ตี ๓ ครึ่ง รีบตอบจดหมายต่อ เขียนเสร็จจะสวดมนต์ไหว้พระตอนเช้า เวลามันช่างเร็วจริงๆ ขนาดผมตื่นตั้งแต่ตี ๒ ผมยังทำอะไรไม่ทันเลย เวลามันช่างหมุนเร็วจริงๆ แป๊บเดียวก็สว่างแล้ว เช้าทุกวัน ผมก็จะเตรียมหุงข้าว ใส่บาตร ไม่ค่อยให้ขาดเลย นอกจากมีธุระจริงๆ เช่น ช่วงเข้าห้องน้ำ ออกมาไม่ทัน สมณะผ่านไปแล้ว เพราะท่านไม่ได้บิณฑบาตรผ่านบ้านผม ผมต้องเตรียมข้าวอาหาร ไปดักใส่อีกซอยหนึ่ง

ผมแต่งงานมาเกือบ ๔ ปีแล้ว ทำงานเก็บเงินได้จึงปลูกบ้าน ตอนนี้อยู่กับแฟนสองคน ยังไม่มีลูก ก็ไม่คิดจะมีลูกเลย ตลอดชีวิตนี้ เพราะตั้งแต่ มารู้จักชาวอโศก มาศึกษาธรรมะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พ่อท่านพาญาติธรรม ทุกคนปฏิบัติ ทำให้ผมเห็นทุกข์จริงๆ โดยเฉพาะ ทุกข์จากการมีครอบครัว ยิ่งมีลูกยิ่งแล้วใหญ่ ไปไหนมาไหนไม่ได้เลย ยิ่งเป็นครอบครัว ที่เต็มไปด้วยอบายมุข ยิ่งแล้วใหญ่ ติดทุกอย่าง ทั้งพ่อบ้าน แม่บ้าน แบบอย่างมีแล้ว ลูกก็ตามมาอีก

ผมเห็นครอบครัวพวกเขาในหมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่ด้วยกัน ก็คิดสงสาร อยากให้เขาเห็นแบบผมเห็น แต่ก็ไม่รู้ จะยังไง ก็ได้แต่พิจารณาว่า ทุกข์จริงๆ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะตัวเอง ก็ยังหนาด้วยกิเลสอยู่ ยังต้องพึงบุญบารมี ของพ่อท่าน และพึ่งประสบการณ์ชีวิต นักปฏิบัติ ของญาติธรรมแต่ละคน อีกนาน จนกว่าจะล้มหาย ตายจากกันไปแหละครับ

อานิสงส์จากการที่ผมได้อ่านหนังสือสารอโศก และสัมผัสจากสมณะ ญาติธรรมทุกๆท่าน ทำให้ผม ลดละ รู้จักกิเลส ของตัวเองมากขึ้น และพยายามมองตัวเอง ให้มากกว่าไปมองคนอื่น ว่าตัวเองมีกิเลสตัวไหน พยายามมีสติ ตามให้ทัน จิตคิดมองตัวเอง อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ เรื่องการเสพกามนี้ ผมได้คุยกับแฟนแล้วว่า เราจะอยู่ด้วยกัน โดยไม่ร่วมเสพกาม เราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แฟนก็ตกลง

ทุกวันนี้ การปฏิบัติสวดมนต์เช้า ใส่บาตรสมณะ ทานมังสวิรัติบริสุทธิ์ จะรักษาตลอดไป ฉบับนี้แค่นี้ก่อนนะครับ ตี ๕ พอดี / -สมาชิก ๒๕๗๖๕๕

แม้สามีภรรยาจะร่วมตกลงกันว่า จะประพฤติพรหมจรรย์ งดเว้นการเสพกาม แต่ตราบใด ยังอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ก็ยังต้องระมัดระวังตัว ไม่ประมาท ควรแยกที่นอน ลดละอาหารปรุงแต่งตัดด้วย โดยเฉพาะ ไม่ดูหนัง ฟังเพลง ที่จะยั่วย้อมใจ ให้กิเลสกามราคะ ลุกฮือโหม มิฉะนั้น อาจตบะแตกได้สักวัน -บ.ก.


ไปดีหรือไม่ได้ดี
ดิฉันได้รับสารอโศกและดอกหญ้าแล้วค่ะ อ่านแล้วได้ความรู้ให้ตัวเองหูตาสว่างขึ้น และรู้ธรรมะมากขึ้น เอามาปรับปรุง ตัวเองให้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะยาก สำหรับดิฉัน แต่ก็เห็นว่าดี ตัวเราทำได้ และพยายามจะทำให้ได้

ดิฉันอยู่โคราชไปทำบุญที่สีมาอโศก ช่วยเอารถวัดไปซ่อมฟรีบ้าง ทำบุญด้วยแรง สามีดิฉันเขาเปิดอู่ซ่อมรถ บางครั้ง มีเวลา ก็ไปช่วยทำบัญชีกับวัด ช่วยญาติธรรมในวัดบ้างนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่แล้ว ดิฉันก็ไม่ค่อยได้ไป เพราะงานทางโลก ก็ยังต้องทำมาก ยังห่างไกลธรรมะมาก

คนที่เขาไปเป็นคนวัดได้ เขามีบุญมาก ดิฉันขออนุโมทนา คนที่เข้าไปทำงานฟรี ให้ศาสนาได้ เขามีบุญจริงๆ ตอนนี้ ดิฉันก็แค่เป็น ผู้ศรัทธาอยู่วงนอก ปฏิบัติอะไร ก็ยังไม่ได้มาก เหมือนคนอื่นเขา บารมีทางธรรมไม่ค่อยมี จึงต้องพยายามฝึก ในการเสียสละกิเลสของตัวเอง ค่อนข้างมาก แต่กิเลส มันไม่ค่อยจะยอม เพราะมันเป็น ความสุขทางโลก กว่าจะไปวัดได้ กิเลส 2 ตัวมันเถียงกันว่า ไปดีหรือไม่ไปดี

ตัวหนึ่งมันบอกดิฉันว่า อย่าไปเลยเหนื่อยทำงานมาหกวันแล้ว นอนพักผ่อนเถอะ อาทิตย์หน้ายังมี แต่อีกตัวหนึ่ง มันบอกว่า ไปเถอะน่ะ สะสมบุญ รู้ได้ยังไงว่า จะมีชีวิตอยู่ ถึงอาทิตย์หน้า อย่าประมาทน่ะ มีโอกาสก็รีบไปซะ มันเถียงกันอยู่ในใจ ดิฉันบางครั้งก็แพ้ บางครั้งก็ชนะ

แต่พักนี้สุขภาพไม่ดี ปวดแขน ปวดไหล่ เหมือนความเจ็บ จะเข้ามาเยือน (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) มันก็ได้มรณสติ ให้ตัวเอง รีบขวนขวาย ทำบุญ ทำทาน ฟังธรรมเมื่อมีโอกาส อาทิตย์นี้ชนะจึงได้ไปวัด นี่ละนะเขาว่า ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ไม่เจ็บปวดร่างกาย ก็ยังประมาทอยู่ ต่อไปนี้ ดิฉันจะไปวัดให้มากขึ้น เมื่อมีโอกาส / ประภัสสรา อ่อนโอน

พระพุทธองค์ตรัสสอนเสมอๆ ให้หมั่นพิจารณาเนืองๆว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ฉะนั้น วันไหน เราทำบุญกุศลได้ ชนะกิเลสได้ วันนั้นเราก็ได้กำไรชีวิต แต่ถ้าวันไหน เราทำบาปอกุศล แพ้กิเลส วันนั้นเราก็มีชีวิต อยู่อย่างขาดทุน ก็ลองไปนั่งบวกลบ กันดูเองเถิดว่า ชีวิตแต่ละวันที่ผ่านมา กำไรหรือขาดทุน แล้วถ้าขาดทุน ยังจะรอช้า อะไรอยู่อีก ต้องเร่งขวนขวาย อย่างหนักแล้วล่ะ ก่อนที่จะสายเกินไป - บ.ก.


ยังมีโกรธ
รู้สึกเสียใจต่อการที่ได้รับหนังสือที่ดีอ่าน ทั้งสารอโศกและดอกหญ้า มาเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่สามารถ เอาชนะอารมณ์โกรธ ของตนเองได้ คือมีญาติของผม จอดรถไม่มีระเบียบวินัย ปิดทางเข้าออกชุมชน จึงไปบอก ให้เขาจอดดีหน่อย ให้เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าจอดที่อื่น อาจถูกเขาแกล้งเอาได้ กลับถูกพวกเขาไม่พอใจ และต่อว่า ทำให้เกิดอารมณ์ โมโหขึ้นในทันที หลังเหตุการณ์แล้ว มาทบทวนดู ผมไม่น่าจะเป็นคนที่ อดทนต่อการยั่วยุ แค่นี้ไม่ได้ เพราะเราได้รับหนังสือดีๆ ตัวอย่างญาติธรรมที่ดีๆ ทำให้ผมละอายแก่ใจจริงๆ

ผมมีเรื่องประหลาดใจที่จะเล่าให้ได้รับทราบ ผมใช้ชีวิตต่อสู้ด้วยความยากลำบาก มาตั้งแต่เด็กๆ ครั้นพออายุประมาณ 35 ปี ก็ประสบความสำเร็จ ในชีวิตพอสมควร เห็นใครตกทุกข์ ได้รับความลำบาก ก็ให้การช่วยเหลือ ยิ่งได้อ่านหนังสือ ฟังเท็ปทางสมาคม ทำให้จิตใจสงสาร เห็นอกเห็นใจ มากขึ้นไปอีก

ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา การช่วยเหลือของผมและครอบครัว จะโดนหลอกและคดโกง เป็นส่วนใหญ่ ผมจึงตั้งใจ ที่จะช่วยเหลือ ด้านเงินให้ยากยิ่ง และรัดกุมมากขึ้น แต่จะเน้นการให้เลือด (ผมให้มาได้ปัจจุบัน 152 ครั้ง) เพราะยังมี พันธะภาระอยู่ แต่ถ้าผมไปอยู่ที่ชุมชน ถ้ามีผู้เดือดร้อนเขาเหล่านั้น มักจะมาขอให้ผม ช่วยเหลืออยู่เสมอ ทั้งที่ชุมชนนั้น ก็มีคนอยู่เป็นสิบๆคน หรือบางครั้ง หลายร้อยคน เช่น ผมจะต้องไปรับยาจากร.พ.ให้คุณแม่เกือบทุกเดือน จะมีคนนำใบชำระค่ายา ค่ารักษา หรือใบตรวจ เจาะเลือดของร.พ. มาให้ผมช่วยจ่ายให้ เพราะมีเงินไม่พอ

ผมพบเหตุการณ์เหล่านี้บ่อยๆ จึงอดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือ เคยถามเขาเหล่านั้น ว่าทำไม? ไม่ไปขอคนอื่น ทั้งที่มีคน ตั้งหลายคน และหลายคน ก็ดูแต่งกายภูมิฐาน ส่วนผมแต่งกายก็ปอนๆ เขาตอบว่า ดูท่าทางแล้ว ผมดูเป็นคนใจดี / สันติ

การได้รู้ว่ายังมีกิเลสความโกรธอยู่ นั่นเป็นสิ่งดี ทำให้ไม่หลงตัว แต่จะช่วยให้รู้ตัวว่า เรายังต้องปฏิบัติธรรม ให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และยิ่งควรดีใจว่า นี่เพราะเราได้อ่านหนังสือดีๆ ได้ฝึกฝนมาดีบ้างแล้ว จึงได้โกรธโมโหแค่นี้ มิฉะนั้น จะโกรธเลวร้ายกว่านี้แน่ๆ

ส่วนจิตใจที่มีเมตตากรุณา ช่วยเหลือผู้อื่นตามขีดความสามารถของตนนั้น น่าอนุโมทนายิ่งนัก หากบุญบารมี ของคุณมากพอ ก็คงมีรัศมี เปล่งประกาย ให้คนอื่นสัมผัสได้จริง - บ.ก.


ความสุขอยู่ตรงนี้เอง
จากการที่ได้อ่านข่าวอโศก ดอกหญ้า และสารอโศก ทำให้มีกำลังใจที่จะทำกุศล และเชื่อกฎแห่งกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เหตุการณ์ครั้งหนึ่ง มันได้เกิดขึ้น กับดิฉัน และเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เราไม่ถูกกัน มานานนับสิบปี จนกระทั่ง ดิฉันมาพบอโศก สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม และสมณะทุกรูป ที่คอยชี้แนะมาทาง หนังสือสารอโศก และดอกหญ้า ทำให้ดิฉัน ตั้งใจฝึกฝน พากเพียรปฏิบัติ ตามแบบอย่างที่ดี ที่ท่านชี้แนะ เคร่งในศีลห้า จนครบหมดทุกข้อ แล้วพยายาม เพิ่มเป็นศีลแปด ครั้งแรกคิดว่า จะทำไม่ได้เสียแล้ว ข้อหกยากมาก เพราะไม่เคยอดมื้อเย็น ต้องอาศัยน้ำ ประทังความหิว แต่พอเลยเวลา ก็หายหิว นานๆเข้าก็ชิน ไม่รู้สึกหิวเลย

ดิฉันดีใจที่สุด ดิฉันทำได้สำเร็จแล้ว มีความสุขที่สุด ความสุขของคนเรา มันตรงนี้เอง ตรงที่เราทำดี อะไรสักอย่างสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ มั่งมีเงินทอง เมื่อก่อนนี้คิดว่า คนรวยเท่านั้น ที่มีความสุข เพราะอยากได้อะไร เงินทำให้ได้ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว ความสุขอยู่ที่ใจ เมื่อใจมันสุข ทำอะไรก็เป็นสุขไปหมด เพื่อนบ้านเคยผิดใจกัน ไม่ถูกกันมานาน ก็กลับมาดีกัน พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนไม่มีเรื่อง หมองใจกันมาก่อน

ดิฉันจึงดีใจที่สุดเลยค่ะ ดิฉันจะไม่จองเวรใครอีก จะลดละเลิกให้หมด นี่เพราะอานิสงส์แห่งศีลกระมังคะ ทำให้ดิฉัน และเพื่อนบ้านดีกัน ต่อไปนี้ ดิฉันยึดทางสายนี้ไป จนตลอดชีวิตค่ะ / อรุณา เนาว์ชมภู

พระพุทธองค์ตรัสยืนยันไว้ว่า การทำดีทุกครั้ง มีมรรคผลสนองให้ทุกครั้ง เพียงแต่ว่า หากเราทำดีได้น้อย มรรคผล ของเราก็น้อย หากทำดีได้มาก มรรคผลก็มาก ข้อสำคัญของคนทำดี จึงมักจะอยู่ตรงที่ พอทำดีไป สักครั้งสองครั้ง ก็เกิดกิเลสโลภมรรคผล อยากได้เร็วๆ มากๆเกินความจริง ที่ตัวเองทำได้ แล้วก็ต้องมาทุกข์เสียใจ เพราะไม่สมใจ กิเลสของตน จนกระทั่ง บางคนท้อใจว่า อุตส่าห์ทำดีแล้ว ไม่เห็นได้ดีดังว่า ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ที่ยังไม่ได้ดีถึงใจเรา ก็เพราะเรา ยังทำดีไม่ได้ถึงจุดนั้น ต่างหากเล่า ถ้าขยันทำดีไปเรื่อยๆ สักวันก็ถึง ความสำเร็จนั้นได้ แน่นอน - บ.ก.


 
 
สารอโศก อันดับ ๒๔๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ จดหมายจากญาติธรรม