เดินตามรอยพ่อ
สายเลือดพุทธ ...

สารอโศก
อันดับ 242
พฤศจิกายน 2544


สายเลือดพุทธ
ข้าคือผู้ทนทาน อาจหาญเบิกบานอยู่กองทัพธรรม
ศึกนอกไม่เกรงขาม ไม่วาบหวามแม้ศึกใน
และความรักศาสน์ ก็คือวิญญาณเข้าดวงนี้ไง
มารหาญมาจากไหน ข้ามีใจจะหยุดมัน
เจอศึกข้านึกแต่รบและรบ (รบกิเลส)
จบศึกข้านึกแต่รับมรรคผลนั้น
ยังมีชีวิชีวาวัน ตั้งใจบากบั่นไม่หวั่นไหว
ชีพนี้พลีเพื่อศาสนา ชีวาต้องมามลาย
จะขอเทิดธรรมไว้ ด้วยสายเลือดแห่งพุทธา

ทำนองสายโลหิต ...

 

ข้าพเจ้ากำลังนั่งสมาธิสมัยใหม่ โดยใช้กสิณการย้ายกองตัวเลขข้ามฝั่ง แทนการนั่งนับลูกประคำ การย้ายกองตัวเลข ในการทำสมาธิสมัยใหม่ มีกติกาอยู่ว่า ให้เรียงเลขจาก ๑-๑๐ โดยห้ามตัวเลขมาก ทับตัวเลขน้อย และมีตารางให้ ๓ ช่อง ช่องที่ ๑ คือกองตัวเลขเริ่มต้น ช่องที่ ๒ เพื่อพักตัวเลข ช่องที่ ๓ คือช่องที่ทำสำเร็จแล้ว (ซึ่งเปรียบเสมือน ผู้มีพละอินทรีย์ มากกว่า ไม่ควรข่มผู้ที่ด้อยกว่า)

เมื่อฝากฝั่งฝัน นาวาอโศกตระกูล มาพบปะพูดคุยสนทนากันแล้ว ข้าพเจ้าจึงต้องฝากฟากฝัน นาวาอโศกหินฟ้า มาด้วยบทกวีนำ และตามด้วยเนื้อหาต่อไปนี้

ข้าพเจ้าเคยรับราชการครู แม้ไม่เด่นและไม่มีซีเหมือนใครเขา แต่ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร เพราะไม่ชอบการโกหก หลอกลวง ไม่ชอบการแย่งชิง ไม่ชอบการกดขี่ข่มเหง แต่กลับเป็นคนอยากสวย อยากงาม ร่ำรวย มั่งมี อยากเป็นเศรษฐี อยากมีคน ยกย่อง สรรเสริญ อยากมีความสุข จึงหาเรื่องสนุก กลบเกลื่อนความทุกข์ ด้วยการกินเที่ยว เล่น ซึ่งเป็นอบายมุข ในขอบเขต วงเงินที่พอมี เพราะแบ่งส่วนหนึ่ง เก็บไว้ให้แม่ และอีกส่วนเก็บไว้ใช้ ยามเมื่อจำเป็น

ข้าพเจ้าอยู่ในฐานะพอมีพอกินไม่เป็นหนี้สินใคร แม้เงินเดือนสมัยนั้นเพียง ๕๐๐ บาท ก็สามารถมีเงินเก็บได้ เพราะบ้าน ก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ค่าน้ำค่าไฟ ไม่ต้องเสีย อาศัยอยู่บ้านพี่ชาย ช่วยงานบ้าน เล็กๆน้อยๆ เป็นเพื่อนกับหลานๆ

ปกติใช้เงินวันละ ๒ บาท ค่าขนมกับน้ำหวาน นำอาหารไปรับประทานที่โรงเรียน ไม่ต้องเสียค่ารถ เพราะบ้านอยู่ ไม่ไกล โรงเรียนนัก และรับสอนพิเศษ เพื่อหารายได้เพิ่มอีก ทุกครั้งที่รับเงินเดือน แม้ไม่มีใครมาทวงหนี้ ก็รู้สึกเก้อเขิน เหมือนอยู่ใต้อำนาจ อะไรก็ไม่รู้ แต่กระนั้น ก็ยังยินดี ภูมิใจที่ได้เงิน มาจากความสามารถของตัวเอง

เงินเดือนมีการปรับขึ้นทุกปี แต่ข้าพเจ้าก็ใช้เงินเก่งขึ้นเหมือนกัน จึงทำให้ไม่รวยเป็นเศรษฐีซะที เพื่อนฝูงก็มีมากมาย และหลายครั้ง มักบ่นกับตัวเอง และถามตัวเอง เสมอมาว่าทำไม ทำไม ทำไม... จนบ่นออกมาเป็นเพลงว่า

...ทำไมหนอ ท้องทะเลจึงครวญคร่ำคราง
ทำไมหนอ ริมฝั่งเต็มไปด้วยหาดทราย
ทำไมหนอชีวิตคนจึงวกวนวุ่นวาย
ทำไมหนอน้ำใจคนจึงไม่เหมือนกัน...

เพื่อนๆข้าพเจ้าสงสัยว่า ทำไมเมื่อเราดื่มร่วมวงกับเพื่อนๆ เพียงนิดหน่อย ก็เมาซะแล้วและชอบพูดว่าทำไมๆๆ พวกเพื่อนๆ จึงคิดมอมข้าพเจ้า เพื่อเค้นหาความจริง แต่เมาขนาดไหน เราก็ยังรู้สึกตัว ยกเว้นเมาจนหลับ เพื่อนจึงไม่ได้ความอะไร จากเรา เพราะว่าเราเมาความคิด มากกว่าเมาเหล้า-เบียร์ พอสร่างเมาทุกครั้ง ก็รู้สึกอับอาย ขายหน้า แต่ก็ยังหาทางออก ไม่ได้ว่าทำไม?

จนกระทั่งต้นปี ๒๕๒๐ ได้ไปพบเจอชาวอโศก ซึ่งสมัยนั้น เรียกแดนอโศก เกิดปิ้งกับกุฎิ และสถานที่

...แดนนี้มีกระท่อมน้อย สงบอย่างเรียบร้อย
กระท่อมน้อยท่ามกลางแมกไม้ ดังจะเป็นกระท่อมในดวงใจ
อยู่ใต้ร่มไม้น้อยใหญ่ ห่างไกลกลิ่นไอแสงสี
เราเหมือนคนพเนจร ร่อนเร่สัญจรซอกซอนจนมาถึงที่
ดินแดนธรรมค่ำเช้าช่วยชุบชีวี ให้เกิดพละอินทรีย์
มีศีลธรรมประจำใจ...

และได้พบปะสนทนากับสมณะ (สมัยนั้นยังเรียกว่าพระ) ได้กราบและฟังธรรม จากพ่อท่าน ประทับใจ จนเกิดบทกวีที่ว่า

...ฉันเคยยิ่งใหญ่ในชีวิตมาก่อน
ไม่เคยอ้อนวอนและใจอ่อนเป็นขี้ผึ้ง
ยิ่งกว่าผู้จองหอง หยิ่งผยองและผายผึ่ง
ฉันเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง รองใคร
ครั้นพอพบท่า เจอะธรรมะอโศกเข้า
หัวใจที่แข็งกร้าว ร้อนผ่าว เกิดอารมณ์อ่อนไหว
ความยะโสโอหัง สิ้นพลังลงไป Šผู้พิชิต กลับปราชัย เมื่อได้พบสัจธรรม...

ถึงแม้จะได้พบกับชาวอโศกแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังรับราชการครูอยู่ แต่ยิ่งทำยิ่งเบื่อ เบื่อการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น เอารัดเอาเปรียบ เพราะข้าพเจ้าเอง ยังไม่ยอมที่จะเสียเปรียบ อย่างแท้จริง ข้าพเจ้าคิดว่า ตัวข้าพเจ้าคงเบื่อการเป็นครู จึงตัดสินใจ เปลี่ยนงานใหม่ เป็นตัดเศษด้าย ปฏิบัติศีล ๕ ทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ ด้วยความยึดมั่น ไม่หวั่นไหว วางแผนชีวิต เพื่อจะได้เงินเก็บไว้มากๆ แล้วจ่ายออกโก้พิลึก สมัครเรียนรามฯด้วย ความอยากรู้อยากเห็น ชีวิตนักศึกษา

และหวังไว้ว่า หากมีวุฒิสูงๆ จะได้เงินเดือนมากๆ เก็บเงินได้เยอะๆ ตามที่คิด อยากเป็นเศรษฐี จึงเปลี่ยนงาน ตัดเศษด้าย ไปหางานอิสระ ห่อขนมปัง ได้เงินตามความสามารถของตนเอง พอกินพอใช้ ไม่เดือดร้อน อาศัยอยู่กับแม่ที่บวชชี ที่วัดบ้าง อาศัยบ้านพี่สาวอยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องการเกียรติ และคำสรรเสริญ จึงคิดกลับไป รับราชการครูอีก

ข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติและไปฟังธรรมะที่สันติอโศก พอได้ฟังเทศน์ที่ว่า เป็นลิงชิงผลไม้บ้าง เป็นหมาขี้เรื้อน อยากเห็น ดวงจันทร์บ้าง สะเทือนความรู้สึก แต่ก็ยังวางใจได้ ครั้นพอได้เห็นโศลกธรรมที่ว่า "การดิ้นรนหาเงินของพระ ไม่ใช่ทางรอด ของศาสนาพุทธเลย พระหยุดหาเงิน หยุดใช้เงินได้ต่างหาก จึงจะเป็นทางรอดของศาสนา"

สะดุดสะดุ้งในความรู้สึก แต่บอกตัวเองว่า "เราไม่ใช่พระนี่นา จะต้องสะดุ้งทำไม และได้ฟังธรรม จากพ่อท่าน จำได้ว่า แม้เราไม่มีเงิน เราเป็นคนดี ป่วยไข้ไม่มีคนดูแลรักษา ก็ควรตายไปซะ สังคมไม่มีน้ำใจ อยู่ไปทำไม" ฟังแล้วรู้สึก ประทับใจ ยิ่งนัก

ทราบข่าวพ่อท่านป่วยอาการตับทรุด ข้าพเจ้าเริ่มคิดหนัก ระหว่างแม่วัย ๗๐ ปีที่บวชชี กับพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ จะเลือกใคร พอปลายปี ๒๕๒๒ วันลอยกระทง ข้าพเจ้าไปฟังธรรมที่สันติ เรื่อง "กระทงชีวิต" จึงเกิดบทกวีที่ว่า

...กระทงน้อยๆกำลังล่องลอยเค้เก้
เคว้งคว้างโซเซสุดที่จะเร่เหหัน
กระทงล่องลอยคงคาไร้ผู้นำพาดึงดัน
สุดจะกล่าวจำนรรจ์คิดว่าไม่นานคงล่มลง
อาภัพอับจนอยู่ก้นนที
 โอ้กระทงน้อยๆถูกคนเขาปล่อยล่องลอยวารี
มีใครบ้างไหมจะช่วยกระทงให้ถึงฝั่ง
ไม่ต้องเซซังล่องลอยตามน้ำนับวันเดือนปี
แม้ตัวของเจ้ากระทงประสงค์ขึ้นจากวารี
แต่ว่าไม่มีวิธีจะช่วยตนจึงต้องเวียนวนในสายธารา
(น่าสงสารกระทงไร้ผู้รับส่งขึ้นจากคงคา)

กระทงน้อยๆยังล่องลอยไปตามน้ำ ถูกคลื่นลมกระหน่ำ ถอยหน้าถอยหลังตามพลังโลกา บางกระทง ลอยตรงเข้าฝั่ง ก็ยังถูกซัดออกมา โอ้อนิจจา น่าเวทนากระทง ถูกเขาไสส่งละเลย (กระทงที่ตรงเข้าฝั่ง ยังถูกผลักดัน ออกไปดั่งเคย)

กระทงใบนี้ลอยวารี จนพบเพื่อน กล่าวย้ำพร่ำเตือนว่า อย่าลอยเลื่อนอยู่เฉยๆ ให้ลอยทวนกระแสสินธุ์ ที่รินไหลเชี่ยวนี่เอย อย่าปล่อยเฉยเมย ให้ใครคอยเชยช่วยชู จึงได้คิดดูช่วยตัวเอง (อยากให้กระทงขึ้นฝั่ง ก็จงตั้งมั่น อย่าหวั่น อย่าเกรง)

ข้าพเจ้าทบทวนพิจารณา แม้ถ้าไม่มีเรา แม่เขาก็อยู่ได้ เคยชวนให้ไปอยู่ ที่อโศกด้วยกัน ก็ไม่ไป ข้าพเจ้าตัดสินใจ วางโลกธรรม ลองไปลอยกระทงชีวิต ในหมู่ชาวอโศกดูซิ ว่าอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ออกมา

เมื่อตัดสินใจดั่งนั้น จึงไปบอกลาแม่ พี่สาวและเพื่อนๆ เดินทางเข้าสันติอโศก ด้วยมุ้ง ๑ หลัง ผ้าห่ม ๑ ผืน ผ้าปูนอน ๑ ผืน เสื้อผ้าถุง ๒-๓ ชุด เงินติดตัว ประมาณ ๑๐๐ บาท หนังสือ ๑ กล่อง แต่งชุดอย่างเท่ เข้าสันติอโศก

พอถึงสันติอโศก ได้พบพ่อท่านฯ เหมือนมายืนคอยรับพอดี ข้าพเจ้ากราบพ่อท่าน "พ่อท่านคะ ดิฉันขอมาอยู่ เป็นอาคันตุกะ ประจำค่ะ" พ่อท่านฯเน้นว่า "อาคันตุกะประจำ" การเข้ามาอยู่สันติอโศก ต้องปฏิบัติตามกฎ ตามระเบียบ แม้การบวชในรูปแบบ ก็มีขั้นตอน จากอาคันตุกะจร -ประจำ -อารามมิก(ชาย) อารามมิกา(หญิง) จนถึงขั้นเตรียมตัวบวช ฝ่ายชาย จากคุณปะ คุณนาค สามเณร สุดที่สมณะ ส่วนผู้เตรียมตัวบวช ฝ่ายหญิง จากคุณปะ คุณกรัก สุดที่สิกขมาตุ

ในแต่ละฐานะ ก็มีกำหนดกฎเกณฑ์ คุณผู้หญิงที่คิดจะบวชในรูปแบบ ควรตั้งตัว ตั้งแต่อายุน้อยๆ เพราะอายุมากแล้ว มาเป็นปะ ต้องผ่านการทดสอบ คุณธรรมอีกมาก ส่วนท่านชาย ถ้าคิดเป็นนักบวช นอกรูปแบบ ก็เข้ามาปฏิบัติ ได้ทุกเมื่อ ถ้าเข้าใจคำว่า "บวช" และ สมมุติกับปรมัตถ์ ได้ อย่างแท้จริง

เมื่อขึ้นต้นด้วยสายเลือดพุทธ (เลียนแบบสายโลหิต) ต้องต่อด้วยญาติกา คือญาติธรรม

จากพื้นดินเดียวกัน แตกออกไปเป็นหลายธรณี
บนเส้นทางห่างไกลเหลือที่ จะมีวันบรรจบเมื่อใด
ดุจสายเลือดเดียวกัน แต่ชีวิตที่แปรผันไป
บนแผ่นดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ มีผู้ใดจะได้พบพาน
คนที่มีความคิด จึงจะมีสิทธิเป็นญาติธรรม
แม้เป็นสายโลหิตที่ติดมาตามกรรม
เป็นเพียงการน้อมนำชะตาหักเห
เมื่อหนทางสิ้นสุด จุดสงบคือเราไม่โลเล
อย่าทำใจหมองไหม้ว้าเหว่ รอเวลาที่มาพบกัน...

ฝากฟากฝัน นาวาอโศกหินฟ้า
(สม.นวลนิ่ม)



 
สารอโศก อันดับ ๒๔๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ เดินตามรอยพ่อ