หน้าแรก >สารอโศก

บันทึกจากปัจฉาสมณะ ตุลาคม ๒๕๔๔


๒๙ ต.ค. ๔๔ ที่สนามบินดอนเมือง ในที่นั่งสำหรับพระภิกษุ ระหว่างรอการตรวจจองที่นั่ง บนเครื่องบิน พระรูปหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ นั่งอยู่ก่อนแล้ว พ่อท่านเดินไปนั่งข้างๆ ตามที่นั่ง ด้านหน้า ที่มีแถวละสองที่ ข้าพเจ้าเดินตามไปภายหลัง เมื่อมองดูหน้าพระรูปนั้น จึงจำได้ ว่าคือท่านเจ้าคุณ กิตติวุฒโฑ แห่งบางละมุง นั่นเอง แต่ไม่ทันเห็นว่า พ่อท่าน และท่านเจ้าคุณ กิตติวุฒโฑ ทักทายอะไรกันหรือเปล่า เมื่อข้าพเจ้าเดินไปนั่ง ข้างหลังพ่อท่าน สังเกตดูกิริยา อาการคล้าย ทักทายกันแล้ว ซึ่งเข้าใจว่าทั้งสองท่าน คงไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะต้องมาเจอ มานั่งติดกันอย่างนี้ หลังจากนั้น ต่างก็ไม่ได้พูดคุย อะไรกันอีก รออยู่สักครู่ จึงได้บัตรที่นั่ง พ่อท่านนำลุกเดิน เพื่อเข้าไปยัง ห้องผู้โดยสารด้านใน ข้าพเจ้า ขยับลุกเดินตาม ได้ยินเสียง ท่านเจ้าคุณ "ไปหาดใหญ่" ข้าพเจ้าไม่ได้เหลียวไปดู เข้าใจว่าสมณะชัดแจ้ง วิจักขโณ คงทักถามกระมัง

เมื่อขึ้นเครื่องบิน ไปจังหวัดตรัง พบ รมช. ลดาวัลย์ วงษ์ศรีวงษ์ ขึ้นเครื่องก่อน และ นั่งในที่นั่งชั้นธุรกิจ (VIP) กำลังน้อมหัว ประนมมือ นมัสการพ่อท่าน โดยไม่ได้กล่าวคำใดๆ พ่อท่านก็เดินเลยไปนั่ง ในชั้นประหยัด ตามบัตร

ที่สนามบินจังหวัดตรัง นักข่าวหญิงสองคน จาก TV ช่อง ๗ ทักถามข้าพเจ้า ขณะรอพ่อท่าน เข้าห้องน้ำว่า ที่เข้าห้องน้ำนั่น ใช่พระโพธิรักษ์ไหม ข้าพเจ้าตอบรับ และพูดคุย กับนักข่าวเล็กน้อย ดูท่าทีเธอทั้งสองมีศรัทธา

ที่ทักษิณอโศก ๑๐.๓๐ น. ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอเมือง จังหวัดตรัง ให้เกียรติมา เป็นประธาน กล่าวเปิดงาน "ภราดรภาพ ซาบซึ้งใจ" ซึ่งเป็นการประชุม เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย หรืออีกนัยหนึ่งคือ การประชุม ญาติธรรมชาวใต้ ท่านผู้ว่าฯ เป็นคนธรรมะธรรมโม จึงกล่าวเปิดงาน พูดเป็นธรรมะ อย่างไม่เคอะเขิน และยังกล่าวอย่างอ่อนน้อม ว่าขอความช่วยเหลือจากชุมชน ทักษิณอโศก ต่อไปจะนำชาวบ้าน มาเรียนรู้ อบรมธรรมะด้วย อีกทั้งยังปวารณาตัว มีอะไร ให้ช่วยเหลือ ขอให้บอก

พ่อท่านกล่าว ขอบคุณผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ และนายอำเภอ ที่มีน้ำใจมางานเล็กๆน้อยๆนี้ ปรามญาติธรรม ทักษิณอโศก อย่าฉวยโอกาส รบกวนผู้ว่าฯ มากเกินไป อีกทั้งตำหนิญาติธรรมชาวใต้ ที่ปฏิบัติกันมาหลายปี แต่ไม่พัฒนา ไม่ก้าวหน้า กลุ่มไม่โต ก็เพราะอัตตามานะ อรูปอัตตามาก และ โอฬาริกอัตตาก็มากด้วย

๓๑ ต.ค.๔๔ ฉันอาหารแต่เช้า ๙.๐๐ น. ออกจากทักษิณอโศก โดยรถโกเส่ง ถึงท่าเรือดอนสักก่อน ๑๓.๐๐ น. รถต่อคิวยาวเป็นกิโลเมตร เพื่อขึ้นเรือเฟอรี่ ข้ามไป เกาะสมุย ถึงเกาะสมุยก่อน ๑๖.๐๐ น. ถึงบ้านพัก ที่หมอฟ้ารักเช่าอยู่ แล้วต้องนั่งเรือเล็ก ไปยังที่พักของสมณะ กระบี่บุญ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑ กิโลเมตร สงบเงียบมาก ไม่มีบ้าน ของคนท้องถิ่น อยู่เลย นักท่องเที่ยวก็ไม่มี นับเป็นมุมสงบมาก ของเกาะสมุย

พบสมณะ กระบี่บุญ มนาโป ดูอิดโรย ซูบผอมไปมาก ไม่เหลือรูปรอย ของพระธัมมกถึก เช่นก่อน ขณะนั่ง ยังดูเหมือน จะไม่มีแรง จะพูดแต่ละคำ ยังจะยาก นอกจากสภาพร่างกาย ที่ไม่แข็งแรง อันเนื่องมาจาก สารอาหารที่ไม่ครบแล้ว ความเชื่อตามแนวทาง บำบัดรักษา ของแม็คโครไบโอติก สายอิตาลี ที่เชื่อว่า งดการคิดนึก งดการอ่าน งดการพูด ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ นี่ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ สมณะกระบี่บุญ มนาโปเปลี่ยนไป ดูผิดปกติ มากเช่นนี้

พ่อท่าน สมณะ และญาติโยม มาเยี่ยมกันเต็มบ้านพัก การพูดคุยเป็นเวลา เกือบครึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ จะเป็นพ่อท่านพูด สมณะ และญาติโยมเสริมบ้าง ที่พูดกันมาก ก็คือ การชวนสมณะ กระบี่บุญ มนาโป ไปพักรักษาตัว ที่บ้านราชฯ โดยมีคุณแก่นฟ้า และครูขวัญดิน ก็ชวนไปอยู่ ศรีษะอโศก เป็นส่วนกระตุ้นเสริม ให้เห็นน้ำหนักข องความต้องการ ที่จะให้สมณะกระบี่บุญ มนาโป กลับไปพักรักษาตัว ในหมู่กลุ่ม ผลปรากฏว่า สมณะกระบี่บุญ มนาโป ตอบรับ อย่างง่ายดาย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ช่วงเข้าพรรษา อาการทรุดหนัก เมื่ออาการฟื้น ดีขึ้นมาบ้าง มีสมณะ และญาติโยม ได้มาชักชวน นิมนต์ให้กลับไป พักรักษาตัว ท่ามกลาง หมู่กลุ่ม ที่อบอุ่นจะดีกว่า ตอนนั้น สมณะกระบี่บุญ มนาโป ยืนยันหนักแน่นว่า ขอตายที่นี่ (เกาะสมุย) แต่มาครั้งนี้ สมณะกระบี่บุญ มนาโป เผยใจว่า ตั้งใจว่า ถ้าพ่อท่านมาพูดอะไร ก็จะทำตาม ที่พ่อท่านพูด ทุกอย่าง ยกให้พ่อ ท่านเลยว่า จะให้ไปอยู่ที่ไหน และก็มีใจคิดจะไป อยู่ราชธานีอโศก อยู่ก่อนแล้วด้วย นอกจากนี้ ยังพูดทีเล่น ทีจริงว่า มีคนพูดว่า ท่านมนาโป จะออกจากหมู่ พูดอย่างนี้ แสดงว่ายังไม่รู้จัก สมณะกระบี่บุญจริง

นอกจากนี้ สมณะกระบี่บุญ มนาโป พยายามแสดงพลังแข็งแรง ด้วยการลุกยืน และเดินไปที่ ระเบียงนอกห้อง ทำให้ เป็นที่ฮือฮา ของหลายคน เนื่องจาก ช่วงก่อนหน้า ที่พ่อท่านจะมานี่ สมณะกระบี่บุญ มนาโป ลุกยืน และเดินไม่ได้อย่างนี้

ก่อนจาก พ่อท่านรับว่า จะพยายามเร่งให้ทางราชธานีอโศก สร้างที่พักให้เสร็จ ก่อนปีใหม่ จะได้ย้าย สมณะกระบี่บุญ มนาโปไปอยู่ก่อน

ค่ำคุณแรงอารี นิมนต์พ่อท่าน ให้ไปโปรดเยี่ยมคุณยายริน อายุ ๙๒ ปี ซึ่งเป็นแม่ของเจ้าของที่ดิน ที่อนุญาต ให้พวกเรา สร้างที่พัก ให้กับสมณะ กระบี่บุญ มนาโป คุณยายรินเป็นผู้มีจิตใจ เอื้อเฟื้อ ห่วงใยพวกเรา เมื่อเวลามีลมผ่านมาแรงๆ เกรงว่าพวกเราจะลำบาก เวลา พวกเรา ติดต่อโทรศัพท์มา ก็ต้องรบกวน ลูกๆหลานๆ ของคุณยายรินบ่อยๆ หมอฟ้ารัก มักบอกเล่า เกี่ยวกับพ่อท่าน ให้คุณยายรินฟัง ทำให้คุณยายริน มีศรัทธา อยากพบพ่อท่าน

ที่บ้านคุณยายริน พ่อท่านไปเยี่ยม ท่ามกลางลูกๆหลานๆ ของยายรินกว่าสิบคน ดูเป็นครอบครัว ที่สงบสุข พอสมควร คุณยายริน ตาหูยังดี สติยังดี พูดจาดูเป็นคนธรรมะธัมโม ยิ้มง่าย อารมณ์ดี การเยี่ยม คุณยายริน ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนกลับมาที่พัก คุณยายรินยัง พูดถึงพ่อท่าน ผ่านหมอฟ้ารักว่า "พระโพธิสัตว์ คือ ผู้อยู่เหนือใครๆ ซึ่งจะเป็น พระพุทธเจ้าต่อ ไป"

๒๔ ต.ค.๔๔ ที่สันติอโศก กลุ่มองค์กรฆราวาส คาทอลิก ที่ทำงานสันติภาพ Pax Christi มาจากออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา โดยมีสาวไทยนำพามา และช่วยเป็นล่าม ในการสนทนาด้วย ทั้งหมดได้มาทานอาหาร ที่ทางเราจัด เตรียมไว้ให้ แล้วเดินชมสถานที่ จบลงด้วยการสนทนาซักถามพ่อท่าน

ข้าพเจ้ามาร่วมฟังภายหลัง คำถามแรกๆ ไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องอะไร? มาถึงได้ยิน คำถามว่า "ท่านช่วยอธิบาย บุญนิยม ที่เป็นรูปธรรม คืออะไร?"

"เช่นคนทั่วไปต้องการรวย บุญนิยมจะไม่ต้องการรวย ล้างความรวยมาเป็นคนสูญ..."

พ่อท่านตอบสั้นๆ อาจเป็นเพราะ การพูดผ่านล่าม ที่ยังไม่มีพื้นฐานความรู้ เกี่ยวกับชาวอโศก มากพอ เป็นเรื่องยาก ที่จะสื่อเรื่อง ทวนกระแสสังคม ที่เป็นโลกุตระ ให้ชาวต่างชาติ ที่เพิ่งมาพบเจอ เข้าใจได้ ทำให้การถ่ายทอด อธิบาย ไม่ได้ละเอียดลออ ชัดเจนเหมือน พูดภาษาไทยกับคนไทย ขนาดกับคนไทย รับฟังการถ่ายทอด อธิบายโดยตรง ยังยาก ประสาอะไรกับ ชาวต่างชาติ ที่รับฟังจากจากการแปลความแล้ว

"หลักทั่วไปของพุทธศาสนา คือการดับไปสู่นิพพาน แล้วที่นี่กำลังเดินไป สู่นิพพานหรือเปล่า เพราะเห็น อยู่กันเป็นชุมชน"

"ที่อื่นๆ คนเข้ามาเป็นพุทธ แบบมีการปฏิบัติสมาธิ แต่ที่นี่ กลับเน้นเรื่องชุมชนมากกว่า " เป็นคำถาม ที่อย่างตรงไปตรงมา สื่อแสดงถึงความเข้าใจ พุทธศาสนา อย่างที่ชาวพุทธทั่วไป เข้าใจผิดๆกันมานานว่า ถ้าปรารถนา ไปสู่นิพพาน ก็ต้องไป ปฏิบัติในป่า

ทำให้แวบนึกถึงข้อมูล ที่ลูกญาติธรรมคนหนึ่ง บวชแล้วไปจำพรรษา ที่วัดแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อเสียง ในจังหวัด นนทบุรี พระมหารูปหนึ่ง กล่าวว่า ท่านโพธิรักษ์ ไม่รู้ศาสนาหรอก ท่านไม่รู้บาลี แต่ท่านทำ ชุมชนได้เก่ง กับพระวัดป่า ชื่อดัง แห่งหนึ่ง ในจังหวัด อุบลราชธานี วิจารณ์ว่า ท่านโพธิรักษ์ ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรหรอก แต่ท่านช่วยคนเก่ง สอนเก่ง ถ้าจะบรรลุธรรมได้ ต้องอยู่ป่า แล้วปฏิบัติ แต่ก็ยอมรับว่า ลูกศิษย์ของท่าน โพธิรักษ์ มีคุณธรรม

กับคำถามข้างต้นนี้ แม้ว่าพ่อท่าน จะอธิบาย อริโย สัมมาสมาธิ ของพระพุทธเจ้า ที่รู้จัก กรรมกิริยา รู้ความเป็นสัมมา ในกัมมันตะ อาชีวะ ซึ่งจะเกิดสมาธิ จากชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สมาธิจากการไปนั่งหลับตา... ในช่วงเวลาสั้นๆอย่างนั้น กับคนต่างชาติ ต่างศาสนา คงเป็นเรื่องยาก ที่จะเข้าใจได้ ก็ขนาดชาติเดียวกัน ศาสนาเดียวกัน ก็ยังเข้าใจพุทธ ศาสนาผิดๆ ดังกล่าวแล้วว่า ถ้าจะปฏิบัติสมาธิ ก็คือ ต้องนั่งหลับตา ถ้าจะบรรลุพระนิพพาน ก็ต้องไปอยู่ปฏิบัติในป่า

มีอยู่คำถามหนึ่ง ที่ดูว่า เป็นคำถามญาติดีก็ได้ หรือเป็นคำถามหยั่งดูท่าที หยั่งดูภูมิปัญญาก็ได้ ก็คือคำถาม ที่ว่า ท่านเห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า และพระเยซู มีส่วนเหมือนกันไหม

"มีส่วนคล้าย มีส่วนเหมือน แต่ก็มีความต่าง พระพุทธเจ้าสอน อเทวนิยม ขณะที่ศาสนาที่มี พระเจ้า สอนเป็นเทวนิยม"

พ่อท่านตอบสั้นๆ แต่ก็ได้ความชัดเจน ถนอมน้ำใจ รักษาไมตรีไว้ได้ดี คงต้องจดจำเอาไว้ ไปใช้บ้าง หากอยู่ใน สถานการณ์ เยี่ยงนี้

คำถามสุดท้าย ที่เหมือนลองภูมิ หรือคล้ายการถาม เพื่ออยากรู้ความรู้สึกของพ่อท่าน ที่มีต่อ ความเชื่อ ของพวกเขา "ศาสนาพุทธ ปฏิเสธพระเจ้า ว่ามีอยู่หรือไม่ หรือท่านไม่รู้" เป็นคำถาม ที่ไม่ต่าง จากพวกเรา ชาวอโศก บางคนมักจะ มีผู้หลุดๆ คำถามทำนองนี้ ถามกับแขก ที่ทางเรา เชิญมาบรรยาย หรือไปร่วมฟัง บรรยายนอกสถานที่ จะมีคำถาม ทำนองอยากรู้ใจ เขาคิดอย่างไร กับชาวอโศก หรือคิดอย่างไร กับสิ่งที่ ชาวอโศกเชื่อ และปฏิบัติ เช่นถามว่า ท่านคิดว่า การกินอาหารมังสวิรัติ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตามหลักพุทธศาสนา หรือไม่ อะไร ทำนองนี้ เป็นการนำความคิด ความเชื่อของเรา ไปถามผู้อื่น ที่เราก็รู้อยู่แล้วว่า เขามีความเชื่อ ที่ต่างไปจากเรา คำถามอย่างนี้ ถ้าผู้ถูกถามไม่รู้จริง หรือ ไม่มีความจริง จะทำให้ผู้ถูกถามอึดอัด ลำบากใจ ที่จะตอบ ดีแต่ว่าพ่อท่าน ตอบคำถามเชิงรุก อย่างย้อนกลับ ให้ผู้ถาม ได้เก็บเอาไปคิด ได้อย่างดี ข้าพเจ้า ไม่แน่ใจว่า ผู้แปลจะสามารถสื่อ อย่างเก็บ ความได้หมดหรือไม่ เพราะดูเธออายุน้อย

"รู้ เรารู้ความจริงว่า จิตวิญญาณที่สะอาด มันยิ่งกว่าพระเจ้า เราพิสูจน์ความจริงแล้วว่า จิตวิญญาณที่สะอาด ปราศจากซาตาน ก็เป็นพระเจ้า ตัวตนของซาตาน ดับสนิท ก็เหลือแต่ตัวตนของพระเจ้า ดับตัวตน ของพระเจ้าเป็น ก็นิพพานได้ ถ้ายังมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ ก็ยังมีสิ่งอาศัยอยู่ หากดับหมด ก็สูญหมด สิ่งที่ยังอยู่ก็ยังมี ศาสนาที่มี พระเจ้านิรันดร์ ไม่สนใจซาตาน ซาตานจึงยังอยู่ คู่กับพระเจ้าไม่จบ แต่ศาสนา พุทธนั้น ศึกษาซาตาน และ ฆ่าซาตาน ชนิดถูกตัวตน ได้สิ้นเกลี้ยง จึงมีแต่พระเจ้าอยู่ เป็นพระเจ้าได้ สะอาดบริสุทธิ์ สิ้นอำนาจ ซาตานอย่างแท้จริง และที่สุด แม้แต่พระเจ้า เราก็รู้แจ้งสัจจะ ความจริงว่า ไม่ใช่อัตตาหรือ อาตมัน พุทธจึงสามารถสิ้นหมดจบพระเจ้า ถึงความเป็น อนัตตา หรือ อเทวนิยม สู่ปรินิพพาน สูญหมดสิ้นไปได้ อย่างอันติมะ ก็เพราะมีญาณ หรือมีความรู้ยิ่ง สำหรับผู้บรรลุธรรม จึงรู้ความจริง เห็นความจริง พ่อท่านกล่าวตอบ


๑๐
ต.ค.๔๔ ที่ปฐมอโศก ค่ำรายการเอื้อไออุ่น มีสมณะ สิกขมาตุ ชาวชุมชน และนักเรียน สสฐ มาร่วมกัน อย่างคึกคัก พ่อท่านนำรายการ ด้วยการพูด บอกเล่าไปเรื่อยๆ สร้างบรรยากาศกันเอง ให้พวกเรา ผ่อนคลาย อาการเกร็งต่อกัน ได้อย่างดี

ช่วงหนึ่ง เมื่อพูดถึง ภาพยนตร์เรื่อง สุริโยไท แล้วก็เลยพูดถึงเรื่อง "จัน ดารา" แถม ซึ่งในสังคมไทย ก็มีเสียง วิพากษ์ วิจารณ์กันมาก เรามาฟังว่า พ่อท่านจะวิจารณ์ "จัน ดารา" อย่างไร

"เรื่อง จัน ดารา อาตมาอ่านมา ตั้งแต่ยังหนุ่มๆ แล้ว รู้สึกว่า โอ้โฮ! อุจาดมากๆเลย มันสื่อธรรมชาติ ของสันดานดิบ ในเชิงกาม แต่เขาพยายาม ทำให้มันเป็นลีลา ภาษาที่ประดิษฐ์แล้ว พยายามเรียกกันว่า วรรณกรรม แต่จริงๆ คือเป็นเรื่อง กาม สด ๆ เรื่องที่ผู้เขียน พยายามจะสื่อ สัญชาตญาณ เชิงกามของมนุษย์ เขาใช้ภาษา ที่ไม่หยาบอย่าง หนังสือโป๊เท่านั้น"

ต่อมามีคำถามหนึ่ง ถามพ่อท่านว่า "ที่พวกเราอดทน ทำอยู่นี่ ทำเพื่ออะไร"

เป็นคำถามที่ มิใช่ถามด้วยความสงสัยจริงๆ แต่เป็นเชิงพ้อๆ เป็นลูกต่อมา จากประเด็น ก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับการ ยังไม่ได้รับ ความยอมรับ จากสังคมภายนอก

"ทำเพื่อไม่ได้อะไรไง ทำเพื่อสูญ เพราะการเกิดเป็นคนนั้น น่าเบื่อที่สุด ยังวนเวียน อยู่ในวัฏสงสาร หลงสุข วนเวียน อยู่นั่นแหละ เมื่อใดก็ตาม ที่สุขสมใจมากขึ้น กิเลสก็หนามากขึ้น เป็นปุถุชนมากขึ้น ก็ยิ่งใช้วิบาก ยุ่งยากมากขึ้นๆ ถ้าเราสั่งสมความขยัน ก็จะสั่งสมพลังงานขยัน มีวิบากของความขยัน แต่ถ้าเราสั่งสม ความขี้เกียจ ก็จะมีกลัวงาน ขี้เกียจ มีวิบากของความขี้เกียจ" พ่อท่านตอบ

๑๑ ต.ค.๔๔ ที่ปฐมอโศก ๕.๓๐ น. ขณะกำลังจะขึ้นรถ เดินทางไปสันติอโศก มีชาวชุมชน และนักเรียน สส.ฐ. มากราบส่งพ่อท่าน นักเรียนร่วมกันร้องเพลง "เส้นทางนิพพาน" ที่ทำนองเพลงไพเราะมาก ซึ่งเอามาจาก ทำนองเพลง When the child was born ส่วนคำร้อง อุบาสิกาใจกลั่น เป็นผู้แปลงคำ ซึ่งมีความหมาย ที่ดีมาก สำหรับชาวอโศก

    ... เส้นทางสายนี้ มุ่งนำชี้สู่นิพพาน
แม้ว่าแสนจะเหนื่อย จะเมื่อยล้าไม่บ่น
     เปรียบคุณพ่อนั้น ยิ่งกว่ามหานที
หากไม่พบพ่อท่าน จิตลูกนั่นคงมลาย
     กราบพ่อแทบเท้า ที่ท่านช่วยเราทุกคน
สมกับที่พ่อเหนื่อย สมกับที่พ่อให้ทำ
     กราบสุดบูชา ศรัทธาลึกถึงวิญญาณ
ลูกจะสามัคคี และพร้อมยอมพลีชีพตน

พ่อท่านประสาน วิญญาณของลูกทุกคน
พวกเราจะทน จะเดินก้าวตามพ่อไป
ดั่งดวงสุรีย์ ที่มีแสงธรรมอำไพ
จมในอบาย อยู่ในนรกใช้กรรม
ลูกจะอดทน ฝึกฝนที่พ่อชี้นำ
ละทางสร้างกรรม จะทำด้วยใจสู้ทน
อาราธนาพ่อท่าน อยู่เพื่อลูกๆทุกคน
จนเกิดมรรคผล ทำตนให้ถึงนิพพาน

เสียงร้องของนักเรียนที่ได้จังหวะ ตามท่วงทำนองเพลง ที่ไพเราะมาก ช่วยทำให้บรรยากาศ ซาบซึ้งประทับใจ เกิดความรู้สึกที่ดีๆ มีศรัทธากับทุกสิ่ง ในขณะนั้น มองไปที่พ่อท่าน ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจ ของชาวอโศก และจะเป็น ศูนย์รวมใจ ต่อชาวพุทธโดยทั่วไป ในอนาคต มองดูกลุ่มคน ปฐมอโศก และนักเรียน สส.ฐ. ที่กำลังพากเพียร ฝึกฝตนเอง ตามภูมิ ตามฐานะของแต่ละคน เพื่อไปสู่เส้นทางพระนิพพาน การลดละกิเลส การลดละ ความเห็นแก่ตัว เกิดความรู้สึก อบอุ่นลึกๆ กับวิถีชีวิตของสังคมอโศก

ขณะนักเรียนกำลังร้องเพลง ข้าพเจ้าสังเกต มองไปทั่วๆ พบเห็นคน ๓ ประเภท หนึ่งเห็น คนร้องสงบนิ่ง หลับตาพริ้ม ปากร้อง ตามทำนองจังหวะและคำร้อง ดูประหนึ่งว่ากำลัง ซาบซึ้ง เข้าไปกับเนื้อหาคำร้อง ที่กำลังส่งเสียงอยู่นั้น ทุกคำความ ประเภทที่สอง เห็นอาการ ไม่นิ่ง ปากร้องไป ตาสอดส่าย หันซ้ายหันขวา บ้างก็เอามือไปหยอกเอิน หยอกเย้ากับ เพื่อนๆข้างเคียง เข้าทำนองเป็นดั่ง นกแก้วนกขุนทอง ท่องได้ ร้องได้ ถูกต้องทุกคำความ แต่ไม่ได้เกิด ความรู้สึก เกิดความคิดใดๆ กับเนื้อหาที่ดีๆ นั้นเลย ไม่ต่างไปจาก คนที่สวดมนต์ได้ที่แล้ว จิตใจก็ฟุ้งซ่านเลื่อนลอย คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ประเภทที่สาม นี่แย่ที่สุด นั่งก้มหน้า เหมือนคนง่วงนอน เหมือนคนไม่มีอารมณ์ที่จะร้อง ไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ กับคำร้อง ทำนอง บรรยากาศที่ดีๆ ในขณะนั้นเลย

หลังจากนักเรียนร้องเพลงจบ พ่อท่านกล่าว "เอ้า... ดี คำร้องที่ ร้องกันนี่ เหมือนคำ อธิษฐาน ก็ทำกันให้จริง ก็แล้วกัน อย่าเพียงแค่ ร้องกันเฉยๆ"

จบท้ายบันทึกฉบับนี้ จากบางส่วนที่พ่อท่านให้โอวาทปิดประชุม ชุมชนสันติอโศก ๖ ต.ค.๔๔

"...จะเห็นได้ว่า ประเทศในระบบทุนนิยม กำลังได้รับพิษภัย จากการไม่ใส่ใจ ในเรื่องจิตวิญญาณ เขาไม่ศึกษาศาสนา ไม่เอาศาสนามาใช้ ในการดำรงชีวิต เขามีชีวิตแสวงหา โลกธรรม ทำให้ทุกข์หนักยิ่งขึ้นๆ ชาวอโศกจะต้องแข็งแรง หนักแน่น มีชีวิตในระบบบุญนิยม ด้วยความเข้าใจ สมัครใจ ชัดเจนในเป้าหมายของชีวิต เราจะเป็นคนจน ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นอาริยชนอย่างแท้จริง

คนในโลกมี ๒ ประเภท คือ ปุถุชน กัลยาณชน และ อาริยชน

ปุถุชน ขูดรีดคนกิเลสเพิ่มหนาขึ้นทุกที กัลยาณชน มีความตั้งใจทำดี และมีคุณค่าของคุณธรรม ที่ได้ปฏิบัติมาก จนเห็นได้ชัด มีความดี มากกว่าความชั่ว

อาริยชน คือคนดีที่มีทฤษฎีในทางพุทธ ในการลดละกิเลสได้จริง ลดกิเลสถูกตัว มีโพชฌงค์ ๗ มีมรรคองค์ ๘ ในการดำเนินชีวิต

เราจะมาช่วยกัน วางรากฐานของสังคม ปลูกฝังคนรุ่นหลัง ให้เป็นเผ่าพันธุมนุษยชาติ ที่มีธรรมะ ชุมชนจะเข้มแข็งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเราทุกคน ขอให้ตั้งใจทำให้จริง..."

(สารอโศก อันดับ ๒๔๓ ธันวาคม ๒๕๔๔)