หน้าแรก >สารอโศก


ละครชีวิต แต่ละบท แต่ละตอนของชีวิต
คือบทพิสูจน์ว่า เราจะเป็นคนดีหรือคนเลว?

เมื่อครั้งสมัยเด็กๆ ข้าพเจ้าเป็นคนศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก เพราะปู่ย่า ตายาย ไป วัดเป็นประจำ และข้าพเจ้าก็ได้ติดตามท่านไปที่วัดด้วยเสมอ เนื่องเพราะว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ วัดนั่นเอง

ถึงวันพระ ทั้งพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ก็จะพากันไปวัด ทำให้ศรัทธาในพุทธศาสนา พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ข้าพเจ้าก็ได้บวช บวชตามประเพณี ตั้งใจจะบวชให้นานๆ เพราะชอบพระพุทธรูป หรือที่เรียกๆกันว่า พระเครื่อง ในสมัยนั้นเข้าใจว่า นี่แหละคือศาสนาพุทธ

บวชได้ไม่นาน ข้าพเจ้าก็สึกออกมา และแต่งงานมีครอบครัว แม้จะแต่งงานครองเรือน แล้ว แต่ก็ยังคงศรัทธา และแสวงหาพระอาริยะ เพื่อให้รู้ถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

ได้ไปศึกษาแสวงหาหลายต่อหลายสำนัก โดยเฉพาะสมัยนั้น สายอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นพระสายปฏิบัติ ที่กำลังดัง ในช่วงนั้น ข้าพเจ้าได้ไปร่วมศึกษาปฏิบัติด้วย ทั้งค้นคว้า อ่านหนังสือของพระปฏิบัติสายต่างๆ เมื่อมีโอกาส ก็เดินทาง ไปรับใช้พระ ที่มีชื่อเสียง เป็นประจำ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือของหลวงปู่พุทธทาสภิกขุ ขวนขวายหาหนังสือของหลวงปู่พุทธทาสมาอ่าน มาศึกษา และยกให้หลวงปู่พุทธทาส เป็นพ่อทางธรรม ข้าพเจ้าได้เดินทางไปที่สวนโมกข์ พักอาศัยอยู่กับลูกศิษย์ ของหลวงปู่พุทธทาส จากการศึกษาทำให้เข้าใจในทิศทางของสัมมาทิฐิ ทำให้เข้าใจเรื่องสักกายทิฐิ ศีลลัพพัตต ปรามาส และวิจิกิจฉา จากคำสอนและตำราของหลวงปู่พุทธทาส

เมื่อเดินทางกลับออกจากสวนโมกข์ ได้แวะพักที่วัดชุมพรรังสรรค์ จะเป็นเพราะเหตุ บังเอิญ หรือจะเป็นบุญของข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะเดาได้ ลูกศิษย์ของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ก็ได้แวะไปพัก ที่วัดชุมพรรังสรรค์ เพื่อที่จะเดินทางไปเยี่ยม หลวงปู่พุทธทาส ได้เห็นอิริยาบถ และเสขิยวัตร ของท่านทั้งสองรูปแล้ว ประทับใจมาก สง่างาม สงบนิ่ง โอ้... นักบวชประเทศไหนหนอ (ข้าพเจ้าไม่ได้คิดว่า ท่านเป็นนักบวช ในประเทศไทยเลย) มาจากญี่ปุ่น หรือไต้หวันหนอ เพราะบุคลิกลักษณะ ตัวเล็กๆ หน้าตาหมวยๆ จีนๆ

ข้าพเจ้า จึงได้เข้าไปสนทนา และได้ทราบว่า ท่านทั้งสอง เป็นสิกขมาตุ ถือศีล ๑๐ มาจาก สันติอโศก (สิกขมาตุจิตรา แซ่ลี้ และ อดีตสิกขมาตุสุภาพ) ข้าพเจ้าเกิดศรัทธา เลื่อมใส ซาบซึ้งประทับใจ และคิดตั้งใจไว้ว่า จะต้องหาโอกาส ไปเรียนรู้ และศึกษา ปฏิบัติด้วย

เมื่อกลับมาถึงบ้าน พอได้รู้แนวทางปฏิบัติคร่าวๆ ของชาวอโศก ข้าพเจ้าก็เริ่ม รับประทาน อาหารเจ หรือมังสวิรัติ (แต่ยังกินหลายมื้ออยู่) และตั้งใจไปแดนอโศก จำได้ว่าราวๆ ปี พ.ศ.๒๕๑๘ แต่ไม่พบพ่อท่าน เจอคุณกมล ซึ่งสมัยนั้น ยังบวชเป็นเณร ช่วยพาแนะนำ ข้าพเจ้าก็เข้าห้องสมุด เพื่อไปอ่านหนังสือ เพราะชอบอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะหนังสือ ธรรมะ ได้หยิบหนังสือ "คนคืออะไร?" มาอ่าน อ่านไปได้ประมาณ ๒๐ หน้า ไม่รู้เรื่องเลย

ทั้งๆที่ข้าพเจ้า เคยอ่านหนังสือธรรมะ ของพระดังๆมาก็มาก ศึกษาและปฏิบัติ ตามอย่างพุทธศาสนา มาตลอด แต่อ่านหนังสือ คนคืออะไร? เพียง ๒๐ หน้าแรก ไม่สามารถเข้าใจได้ (เพราะไปหลงปฏิบัติ แบบนั่งหลับตา นั่งเพ่ง แต่ไม่ได้อ่านกิเลส ที่มันเกิด) ข้าพเจ้าจึงวาง คนคืออะไรลง แล้วหยิบ "ชีวิตในผ้าสีหม่น" มาอ่าน ซึ่งเป็นจดหมาย ที่ท่านเดินดิน ติกขวีโร เขียนถึงโยมของท่าน อ่านแล้ว ซาบซึ้งประทับใจมาก

หลังจากนั้น ข้าพเจ้ามีโอกาส เดินทางมา สันติอโศก ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ สมัยนั้น สันติอโศก ยังไม่มีอะไรมากมาย พ่อท่าน แสดงธรรมตอนบ่าย วันนั้น ข้าพเจ้ามาเป็นครั้งแรก และ ได้ฟังธรรม พ่อท่านเทศน์ เรื่อง "มิจฉาอาชีวะ ๕"

พอฟังธรรมเสร็จ ข้าพเจ้าก็เดินทาง กลับเพชรบูรณ์ (มาเช้าเย็นกลับ ในวันอาทิตย์) ขณะที่นั่งรถกลับบ้าน ก็นั่งคิด เราเป็นพ่อค้า (ที่บ้านกำลังทำกิจการค้าขาย) ในความคิดของข้าพเจ้า ตอนนั้น "เราจะเป็นพระโสดาบันดี หรือ จะเป็นคนรวยดี" คิดไปคิดมา นานพอประมาณ ในที่สุด ก็ตัดสินใจฉับพลัน "เราเป็นพระโสดาบันดีกว่า" เหตุผล ถึงแม้เราจะรวยมากเท่าไหร่ เราก็ไม่อาจซื้อ ความเป็น "พระโสดาบัน" ได้

ตัดสินใจได้ดังนั้น ความรู้สึก หรือสภาวะ มันรู้สึกเบาโล่ง ว่างสบาย ไม่เคยเป็นมาก่อน เลยในชีวิต ทั้งๆที่ข้าพเจ้า เป็นสายปฏิบัติ มานานหลายสิบปี ก็ยังไม่เคยมีสภาวะเบา ว่าง แบบนี้เลย ก่อนนี้ที่เคยปฏิบัติ เขาก็พานั่งหลับตา แล้วก็นึกภาพ (มโนมยอัตตา) จากนั้นก็จะมีผู้มาทดสอบ และจะบอกว่า เราเป็นโสดาบัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระโสดาบันมานั่งเดา มานั่งนึกเองไม่ได้ ต้องปฏิบัติลด ละ เลิกกิเลสให้ได้เห็นผลจริง จึงจะเกิดจริงที่ตัวเรา

มิจฉาอาชีวะ ๕ ที่พ่อท่านเทศน์ไว้ ทำให้ข้าพเจ้า ตระหนักว่า ตนเป็นพ่อค้า ทำผิดศีลข้อ ๔ แน่นอนอยู่แล้ว เพราะต้อง โกหกลูกค้า และ ศีลข้ออื่นอีก ในการโกงลูกค้า เราซื้อสินค้า มาในราคาระดับหนึ่ง แต่ขายในอีกราคาระดับหนึ่ง (หมายความว่า เอากำไรมาก บวกราคาเพิ่มเข้าไป ว่างั้นเถอะ) ซึ่งมิจฉาอาชีวะ ๕ ก็คือ ไม่ขายอาวุธ ไม่ขายสัตว์เป็น ไม่ขายเนื้อสัตว์ ไม่ขายยาพิษ สุรา ยาเสพย์ติด ของมอมเมาอะไรต่างๆ เมื่อเราไม่ขายของผิด พวกนี้ได้ เราก็ไม่ใช่ คนธรรมดา ยิ่งเรารักษาศีลบริสุทธิ์ ละอบายมุขได้ ถึงจิตวิญญาณ และไม่กินเนื้อสัตว์ เราก็ได้เป็น พระโสดาบันแล้ว ฟังดูเหมือน มันไม่ยากนะ แต่ ...

เมื่อตัดสินใจแน่แล้ว ข้าพเจ้าเลิกกินข้าวตอนเย็นทันที โอ้โห... ตัวข้าพเจ้าเบาขึ้น ดีใจมากเลย เพราะเรามีปีติ ในการชนะใจตนเอง ที่มันเคยติด เคยยึด ว่าต้องกินตอนเย็น และทุกวันอาทิตย์ ข้าพเจ้า ก็จะมาเติมพลัง ด้วยการมาฟังเทศน์ ฟังธรรมที่สันติอโศก แล้วนำเท็ปธรรมะ ไปฟังที่บ้านอีก

ข้าพเจ้าปฏิวัติตัวเอง ด้วยการตื่นเช้า ตี ๓.๓๐ ลดละเลิกสิ่งที่ติด ขยันทำงาน ตามคำสอนของพ่อท่าน ท่านสอนอย่างไร เราก็ทำตามอย่างนั้น และตั้งใจว่า อายุ ๔๕ ปี จะมาเป็นนักบวชของชาวอโศก แม่บ้านและญาติๆ ก็เห็นด้วย และอนุโมทนา เพราะเราปฏิบัติอยู่ที่บ้าน ให้เขาได้เห็น เขาจึงไม่ขัดข้อง และยังบอกว่า "ขนาดคนที่บวชเป็นพระ ยังปฏิบัติไม่ได้เท่านี้เลย" เมื่อความพร้อมลงตัว ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจ มาสันติอโศก เพื่อปฏิบัติตามขั้นตอน ของหมู่กลุ่ม เริ่มจากเป็นคนวัด (อาคันตุกะจร อาคันตุกะประจำ อารามิก) แล้วเลื่อนฐานะ ขึ้นเป็นปะ นาค เณร จนในที่สุด ก็ได้บวช เป็นสมณะ

ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมา ข้าพเจ้าก็เน้นเรื่อง ของการตั้งตบะ ให้กับตนเอง ได้ฝึกฝืนฝึกทน เวลาเดินทาง ก็โบกรถไปด้วยตัวเอง โดยไม่ต้อง ให้ใครมาบริการ พยายามทำตัว ให้เป็นมนุษย์พัฒนา วรรณะ ๙ แล้วแต่ว่าจะเด่นในเรื่องใด เช่น เป็นคน เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย ไม่สะสม แต่ข้าพเจ้าชอบสะสมหนังสือ ของชาวอโศก ทุกตัวอักษรก็ว่าได้ เมื่อหนังสือออกมาทุกเล่ม จะรีบเก็บหนังสือไว้ และตั้งใจ จะทำปกหนังสือใหม่ ให้แข็งแรงทนนาน

หนังสือนี่แหละ เป็นแหล่งปัญญาธรรมะ ให้กับเรา เคยสอนลูก เหมือนกันว่า หนังสือคือสมบัติ อันล้ำค่า ประมาณค่าไม่ได้ เป็นสมบัติที่ดีเลิศที่สุด โดยเฉพาะ หนังสือธรรมะ เราจะเก็บปัญญา สามารถมีชีวิตอยู่กับสังคม ได้อย่างสงบ สุขเย็น ก็ด้วยเราได้ปัญญา จากหนังสือนี่แหละ

การที่เราได้มาบวชนานๆ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาพ่อท่าน และชาวอโศก เกิดจากความเชื่อมั่น ในธรรม จึงทำให้ข้าพเจ้า มีปีติอยู่เสมอ พระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า สามารถยกจิตวิญญาณของคนเรา ให้เป็นผู้ประเสริฐ ผู้ใดไม่ฟังธรรมะ ผู้นั้นก็เท่ากับ สัตวโลกชนิดอื่นๆ ยิ่งหมู่กลุ่มของชาวอโศก ทำจริง และปฏิบัติจริง จนสามารถพาพ้นทุกข์ได้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ที่ได้นำธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มาขยายอธิบาย

ข้าพเจ้าศรัทธาพ่อท่าน และหมู่กลุ่ม และเชื่อในการพาก้าวเดิน ของพ่อท่าน แม้จะย่างก้าว เดินไปในทิศทางใดก็ตาม

งานหมู่กลุ่มมีมากขึ้น งานขยายมากขึ้น จงสร้างศรัทธาในหมู่กลุ่ม เมื่อมีความศรัทธา ความถือสา จะลดน้อยลง ข้าพเจ้าตั้งใจ ในเส้นทาง แห่งสายพุทธศาสนาสายนี้ ข้าพเจ้าจะเพียร สร้างความดี มิหวาดหวั่น ด้วยศรัทธาในคุณค่านับอนันต์

กราบเท้าศรัทธาบูชาพ่อยิ่ง
สมณะแดนเดิม พรหมจริโย

(สารอโศก อันดับ ๒๔๓ ธันวาคม ๒๕๔๔)