บันทึกจากปัจฉาสมณะ
ต่อจากหน้า 1/2
เสือสามตัวที่สมณะพึงระวัง!
และการประชุมมหาปวารณาครั้งนี้ สิ่งที่พ่อท่านกล่าวเตือนหมู่สมณะโดยตรง
ให้ระมัดระวัง ๓ ส. คือสตรี สตางค์ และสังฆเภท ซึ่งที่จริง เรื่องสตรีกับสตางค์นั้น
พ่อท่านได้เตือนให้สังวร มาตั้งแต่เริ่มต้น มีหมู่กลุ่มแล้ว ส่วนเรื่องสังฆเภทนั้น
พ่อท่านเพิ่งจะมากล่าวเตือน ในช่วงปีที่ผ่านมานี้เอง ขณะที่หมู่กลุ่ม ขยายงานการ
มากขึ้น สมณะบางรูป ได้รับความยอมรับ จากสังคมภายนอก และเริ่มจัดตั้งองค์กร
ของตนขึ้นมา มีเรื่องเงิน เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น การทำงาน แยกออกจาก หมู่คณะมากขึ้น
จากบางส่วน ของโอวาทเปิดประชุม มหาปวารณา ๔ พ.ย.๔๔ ที่ ปฐมอโศก
พ่อท่านได้ย้ำเตือนในเรื่องนี้
ดังความต่อไปนี้ "...ก่อนที่จะจบ ผมก็อยากจะสำทับพวกเรา เรื่อง ส.เสือ คือเรื่อง
สตรี กับเรื่องสตางค์ และเรื่องสังฆเภท เราก็เห็นข่าว เห็นเรื่องที่มันเกิดขึ้นมาจริงๆแล้ว
ในเถรสมาคม ถ้าเอา เรื่องสตางค์ไปจับ ไปตรวจสอบกันจริงๆ ผมว่าปาราชิกอีกนับไม่ถ้วน
หนักกว่าสตรี เพราะสตรี มันโจ่งแจ้ง มันมีตัวตน กระดุกกระดิกได้ สตางค์มันเอาไปเม้มไว้ที่ไหน
เม้มไว้อย่างไร ขนาดอยู่ในแบ็งค์ เป็นสิบล้าน ร้อยล้าน เขายังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย
ตายแล้วถึงค่อยรู้ว่า พระรูปนี้มีตั้ง ๕๐ ล้าน พระองค์นี้มี ๓๐ ล้าน ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยสตางค์
แต่ไม่รู้ไปเม้มจากไหน มันทุจริตได้ง่ายนะ มันเป็นเพียงโกงเขา หลบเลี่ยงเอา
มีเชิงทุจริต ไม่ ๑๐๐% เรื่องของ เงิน ระวัง ปาราชิกเอาง่ายๆนะ เป็นต้นว่า
เราไปกับหมู่คณะที่เลี่ยงภาษี ในวินัยเราบอกไว้ เขาเลี่ยงภาษี เราไปกับเขาด้วย
ถ้าเราไม่รู้ก็รอดตัว แต่ถ้าเรารู้ว่า เขาหนีภาษี เราไปกับเขา หมู่นั้นโดนจับ
เราก็เข้าปิ้งด้วย แบบเดียวกับกฎหมายนี่แหละ เรารู้อยู่แล้ว เราก็ไปอยู่ในหมู่นั้น
แม้ไม่ได้ลงมือทำ เหมือนกับคนเล่นไพ่ รู้แล้วเราเอาประโยชน์ด้วย ปาราชิก
เพราะฉะนั้น ในเรื่องของเงิน ยิ่งละเอียด ยิ่งยากกว่าสตรีเลย ผมถึงได้เตือนพวกเรา
เล่นกับเงินระวังเถอะ เราไปเป็นตัวการ เป็นบุคคล แหม! เอามาสร้างโน่น เอามาสร้างนี่
เราต้องหมุนใช่ไหม เงินมันต้องหมุน มันไม่ได้รู้ง่ายๆ เผลอไม่ได้นะ เผลอปั๊บ
ไอ๊หย๋า ! ไอ้นี่มันผิดแล้วนี่ ถ้าเผื่อเราผิดพลาดไปประมาณ ๑๐๐๐ บาทนี่ ปาราชิกแล้ว
อย่าเล่นกับมันนะ มันอสรพิษจริงๆ อย่าไปยุ่งเลย ญาติโยมคนนั้นได้บอก เงินโยมอย่างโน้นอย่างนี้
อย่าไปเจ้ากี้เจ้าการเลย แม้แต่เขาจะปวารณา ในวินัย ก็บอกไว้หมดแล้ว เขาปวารณาว่า
๒๐๐๐ คุณก็รบกวนเขาได้ ๒๐๐๐ บาท คุณปราวณาเขาได้ครั้งเดียว ครั้งที่ ๒ ก็รบกวนเขาไม่ได้อีกนะ
คุณต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ถ้าเขาไม่ได้ปวารณา อย่าเลย มันเสียทั้งเรา เสียทั้งศาสนา
เสียหมดๆ ถ้าเราได้ ระมัดระวัง ๒ ส.นี่ไว้ให้ดีนะ สมณะเรา จะสะอาด บริสุทธิ์ไปนี่นะ
แม้อย่างน้อยที่สุด เราจะอั้นไม่ไหว ขอให้สะอาดไปสัก ๑๐๐๐ ปีเถอะ ๒ ส.นี่ถ้าไปถึง
๑๐๐๐ ปี รับรองอีก ๒๕๐๐ ปี ศาสนาพุทธเราไปรอด พวกเรานี่แหละจะไปรอด
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องการแตกหมู่สังฆเภท
ผมอายุมากแล้ว แต่ผมก็ยังมีอิทธิบาทอยู่ ว่าจะพยายาม ให้มีอายุยืน ที่เป็นที่ควร
ก็คงเป็นอานิสงส์ ที่เรามาปฏิบัติธรรมนี่ หนึ่ง จิตมันไม่ค่อยเป็นอะไร
สอง ในเรื่องอาหารการกิน ที่จะทำให้อายุสังขารคน มันดีขึ้น มันก็คงช่วยด้วย
สาม ได้ตรวจอารมณ์ ประมาณจิต ประมาณงาน เป็นอิทธิบาท ก็พยายามประมาณอยู่
ไม่ให้มันมากเกินไป รักษาสมดุลย์ ในการออกกำลังกาย ในอาหารการกิน ในอารมณ์
ใช้อิทธิบาท ดูแลพวกนี้นี่แหละ
ผมก็อยากจะกำชับ เรื่องของการแยกกลุ่ม
ถ้าแยกแล้วก็บรรลัย ไปไม่รอดหรอก มันเป็นวิธีการรบ เป็นยุทธศาสตร์อันหนึ่ง
เขาพยายามตีให้แตก อย่าให้มันรวมกลุ่มกันได้
พระพุทธเจ้าท่านเคยกำชับกำชาไว้แล้ว
แล้วมันก็เป็นบาปมากจริงๆ เพราะมันทำลายศาสนา ถึงอนันตริยกรรม สังฆเภท เป็นอนันตริยกรรม
แม้ในลักษณะ นานาสังวาสนั้น ก็ถือเป็น เรื่องสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่อง อัตตามานะฉันขึ้น
ฉันก็เอาละ เอานานาสังวาสมาอ้าง ความจริงที่ผมแยกออกมา จากเถรสมาคม ถึงแม้ไม่มีอะไร
มันก็ต้องแยก เพราะว่าเถรสมาคม เราไปกอบกู้ไม่ได้ ผมพูดไม่ได้ พูดแล้วมันใหญ่
มักมีคนถามว่า ทำไมต้องแยกออกมา จากเถรสมาคม ทำไมไม่อยู่ ท่านพุทธทาสยังอยู่เลย
ท่านพุทธทาสไม่ใช่ผมนี่ ผมจะพูดว่า ท่านพุทธทาสเป็นใคร ผมเป็นใคร ถ้าผมพูดอย่างนี้
บรรลัยผมพอดี พูดไม่ได้ ถ้าขืนไปทำทีว่า เราใหญ่กว่าท่านพุทธทาส บรรลัย อยู่ได้ที่ไหน
มันต้องแยกออกมา มองไปในแง่หนึ่งว่า เอ้อ! เราอยู่ในเถรสมาคม ไม่แยกออกมานี่แหละเก่ง
แต่จริงๆ แยกออกมานี่แหละเก่ง มันมองเก่งได้ทั้ง ๒ เก่งนั่นแหละ แล้วเก่งอะไร
จะเป็นจริงเป็นจัง ท่านแยกออกมาไม่ได้นั่นต่างหาก นั่นแหละท่านไม่เก่ง ก็ได้แค่นั้น
ก็ทำอยู่ได้แค่นั้น มันทำอะไรไปไม่ออกหรอก แล้วผมก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ผมเองอยากจะแยก
พวกเรารุ่นแรกรู้อยู่แล้ว ว่าทำไมถึงแยก เพราะเรามันถูกบีบคั้น ถูกเป็นไป
ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ผมไปดำริว่า เอ้ย! เราแยกเถอะ เปล่าเลยนะ สุดวิสัย พวกเราก็เลยออกมากัน
ต่างคนต่างพร้อมพรั่ง ทุกอย่างมันก็ต้องเกิด แม้นานาสังวาส แล้วเราก็เป็นไปตามจริง
ผมก็ไม่ได้คำนึง ถึงวินัยเท่าไหร่หรอกนะ ว่าขอแยกออกมาแล้ว ทำหนังสือหนังหา
ทำประกาศให้มันเป็นที่เรียบร้อย อะไรต่างๆนานา มันถูกธรรมวินัยหมดเลย ถูกต้องหมดทุกอย่าง
ไม่มีอะไรผิดเลย นั่นมันเป็นสิ่งที่เป็นจริง เป็นเอง โดยที่เราไม่ต้องไปจัดสรร
ผมไม่ต้องไปเหน็ดเหนื่อย ต้องทำอย่างนี้ จึงจะถูกต้องตาม ธรรมวินัย ต้องทำอย่างนี้
ต้องมีอย่างนี้ ไม่ได้คิดเตรียมการ หรือวางแผนอะไรไว้เลย แต่เป็นเพราะ ได้ทำมาแล้วจริงๆ
ทั้งๆที่ผม ไม่ได้ถนัดวินัยอะไรเลย ตอนโน้นวินัย ยังไม่ค่อยได้รู้เรื่อง
แต่เสร็จแล้ว มันถูกวินัยไปหมด มันเป็นเอง มันจะต้องเป็นไป ตามธรรมของมัน
ขอย้ำเตือน พวกเราให้มาก สังวรระวังกันให้ดีๆ
รักกันให้ดี มีจิตใจที่มีสาราณียธรรม ๖ มี พุทธพจน์ ๗ อะไรพวกนี้ คำนึงให้ดีๆ
แล้วทำอย่างไร มันจะเกิด ความระลึกถึงกัน มันจะเกิด ความรักกัน ที่ผมเขียน
ความรัก ๑๐ มิติ เขียนใหม่หมด ผมว่าดีนะ ทำอย่างไร
เราจะมี ความรัก ความรักมิติที่ ๘ ที่ ๙ ที่ ๑๐ ซึ่งจะต้องมีความรู้ในมิติที่
๑-๗ แล้วเราก็ต้องพยายาม พัฒนาตนเอง ให้สูงขึ้นมาจาก ๑-๗ นั่นแหละ มิติที่
๑-๗ ยังอยู่ในโลกียะทั้งหมด คนที่เขาไม่ได้ศึกษาโลกุตระ เขาไม่รู้หรอก เพราะฉะนั้น
ในความรักที่สูงที่สุด ในโลกโลกียะ มีแค่ ๗ มิติ แต่ของพุทธมิติที่ ๘, ๙,
๑๐ ผมว่าหนังสือเล่มนี้ เป็นความสำคัญ เพราะว่าความรัก หรือความสัมพันธ์
ในสังคมมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกัน มันต้องมีอาการ มีอารมณ์ หรือมีเยื่อใย มีพลังงาน
พลังงานที่เราเรียกว่า ความระลึกถึงกัน มันก็เป็นความรัก อย่างหนึ่ง หรือแม้แต่วิวาทกัน
ก็เป็นความรัก จะว่ากันไปแล้ว ความไม่วิวาทกันก็เป็นความรัก ความสามัคคีกัน
ไม่เป็นความรักได้อย่างไร อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ในพุทธพจน์ ๗ เป็นเอกีภาวะเลย
มันก็ยิ่งเป็นความรักเลยนะ ถ้าเราฟังดีๆ มีปฏิภาณปัญญา เราจะเข้าใจ
สุดท้ายขอเตือน ผมจะต้องตายจากไป
พอตายปั๊บ อย่าให้เกิด ๓ ก๊ก ๗ ก๊กอะไรขึ้นมา มันไม่ดี หนึ่ง ส.สตรี
สอง ส.สตางค์ สาม ส.สังฆเภท
อยากให้พวกเราสังวร สำคัญในสิ่งนี้ให้ดีๆ ให้จริงๆ แล้วพวกเราจะไปรอด เพราะฉะนั้น
แต่ละคนก่อนจะจบ ตนเองอะไรที่ยังเหลือ อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีกว่านี้ ยังมีอีก
กายกรรม วจีกรรม ของเราที่ดีกว่านี้ ยังมีอีก หรือแม้ที่สุด จิตของเราที่เป็น
สอุตตรจิตตัง ดีแล้ว เราได้จิตขนาดนี้ ก็ดีแล้ว แต่อนุตตรจิตตัง ยังไม่ถึง
ใช่ไหม ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ จนกระทั่งเกิด สมาหิตจิตตัง เกิดวิมุตตจิต
เกิดตั้งมั่นและสะอาด สมาหิตจิต ก็คือแข็งแรง ตั้งมั่น จิตแข็งแรง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ไม่มีอะไรมา หักล้างได้ วิมุติก็คือสะอาด คือไม่มีเชื้อ ธุลีละออง อะไรเหลือ
ในสิ่งที่ควรจะล้าง จากจิตนี่แหละ มันยังไม่ถึง อนุตตรจิต ก็ต้องทำให้อนุตตรจิตให้ได้
นี่เป็นคำกำชับสุดท้าย สำหรับการเทศน์วันนี้"
ทางเดียวที่จะพาชาติรอด
จากช่วงหนึ่งของการให้โอวาทเปิดประชุม
มหาปวารณา ๔ พ.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก พ่อท่านได้บอกเล่า ข้อเขียนของพล.ต.จำลอง
ในนสพ.เราคิดอะไร เล่มล่าสุด เนื่องจาก สมณะหลายรูปยังไม่ได้อ่าน "...ผมว่าทุกวันนี้
เรามีกลุ่ม มีหมู่ มีชุมชน มีวัฒนธรรม มีการดำเนินชีวิต ที่มีธรรมะเป็นหลัก
มาถึงวันนี้แล้ว มีคนยอมรับ เข้าใจขึ้นเยอะ อย่างคุณจำลอง ได้เขียนหนังสือ
เราคิดอะไร เล่มล่าสุด หมอเหวงบอกว่า เอ้อ! เมืองไทย เหลืออยู่ทางเดียวครับ
ที่จะพาชาติไปรอด ว่างั้นนะ หมอเหวงว่า คือวิธีท่านพ่อโพธิรักษ์ ทำอยู่ขณะนี้
ทำต่อไปเถอะครับ ทางอื่นมองไม่เห็น หมอกล่าวอย่างหนักแน่น อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งหมอเหวง ผมก็ไม่รู้จักแกหรอกนะ ไม่เคยเห็นแก แต่ก็รู้จักในสังคม ก็รู้ว่าเขาเป็น
Activist คนหนึ่งในสังคม แต่ว่าไม่รู้จักกัน ไม่เคยกราบเคยไหว้กัน ไม่เคยพบกันเลย"
สังคมไทย
จะดีขึ้น เพราะแก้ไขระดับรากหญ้า
"ขอเก็บดอกหญ้าแซมผม"
๘ พ.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก หลังการทำวัตรเช้าแล้ว
มีการประชุมร่วม ระหว่างเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.ระดับสูง และเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.
ที่ร่วมทำงานอบรมเกษตรกร ที่พักชำระหนี้ กับชุมชนชาวอโศก ในนามเครือข่าย
กสิกรรมไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย (คกร.) เพื่อประเมินผล การอบรมที่ผ่านมา
และสรุปปัญหา ของแต่ละฝ่าย ในการทำงานร่วมกัน ที่ผ่านๆมา จะได้นำมา ปรับปรุงแก้ไข
ในการทำงาน อบรมร่วมกัน ครั้งต่อๆไป
เจ้าหน้าที่ธ.ก.ส. คนหนึ่ง
กล่าวเปิดใจว่า ทางทีมงานท่านสมณะ สิกขมาตุ ทางพี่เลี้ยงของชุมชน ชาวอโศก
ก็มีส่วนมาก ในการกระตุ้น คนของธ.ก.ส.หลายพื้นที่นะครับ เพราะว่าเราเองใน
ฐานะของธ.ก.ส. เราอยู่ในพื้นที่ใช่ไหมครับ ขนาดท่านสมณะ สิกขมาตุ กระทั่งพี่เลี้ยง
ให้ทุกอย่างแล้ว ให้ทั้งทางจิตวิญญาณ ให้ทางสัมมาอาชีพแล้ว พวกเราก็รู้ว่า
ชาวชุมชนมีคนไม่มาก แต่พยายามสนใจ ติดตาม ให้พวกเราตลอดเลย เราอายครับพ่อท่าน
แต่ต่อไป เราจะช่วยกันครับ ไม่ให้เราขายหน้าอีก เราประกาศกัน เมื่อคืนนี้แล้วว่า
ปีหน้า เราจะไม่อายแล้วครับ ตั้งแต่เดือนหน้า เราจะร่วมมือกัน ทำให้เต็มที่เลยละครับ
เพาะทางชาวอโศก มีคนนิดเดียว ยังพยายามวิ่งรอก ให้พวกเราเลย พวกเราอยู่ในตัวเมืองแท้ๆ
ทำไมไม่สนใจดูแล เราประกาศตัวกันว่า เราจะร่วมมือกัน ประสานงานทุกอย่าง ให้ดีขึ้น
ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็คือ การประสานงาน ถ้าทุกฝ่ายไม่เข้าใจกัน หรือยังขาดตก
บกพร่องอะไรกัน ก็จะหันหน้าหารือกัน พวกพี่น้องชาวอโศก
ได้ใจพวกพนักงาน ธ.ก.ส. ที่มาร่วมโครงการ ไปแล้วนะครับ พวกเรามีความสุข
ที่ได้มาร่วมโครงการ กับชาวอโศก ขอย้ำอีกครั้งว่า เราไม่เคยเห็นโครงการไหน
ที่อบรมแล้ว จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ของเกษตรกร ได้มากมายขนาดนี้
ชาวอโศกให้ได้มากอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ทางจิตวิญญาณ เรื่องการเปลี่ยนแปลง ทางศีลธรรม
ซึ่งใจคนเรา ถ้าเปลี่ยนแปลงแล้ว ทุกอย่างง่ายไปหมด แต่การอบรมในที่อื่นๆ
ที่ผ่านๆมา ส่วนใหญ่ คือ ให้แต่ เรื่องอาชีพ เรื่องเงิน เรื่องวัตถุ แต่ใจไม่ให้
ก็เลยไม่เปลี่ยน เกษตรกรกลับไป ก็ยังมีสภาพเหมือนเดิม เรายืนยันว่า เกษตรกร
ที่อบรมในหลักสูตร ของชาวอโศกนี้ไป เปลี่ยนแปลง และเราก็คิดว่า
ประเทศไทย สังคมไทย คงจะดีขึ้น เพราะว่า เราได้ผู้นำ ทางจิตวิญญาณ
คือทางพ่อท่าน และชาวอโศกช่วยเหลือ เราคิดว่า คงอยู่กันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตาย
กันไปข้างหนึ่งละครับ
พ่อท่านกล่าวเสริม "สังคมที่มันแก้ปัญหาไม่ตก
เพราะไม่ได้เปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง
แม้แต่ศาสนาคริสต์ ศาสนา อื่นๆ เขาก็รู้จิตวิญญาณทั้งนั้น อย่างน้อยจิตวิญญาณนี้คือปัญญา
คือความเข้าใจ และกิเลสก็อยู่ ที่จิตวิญญาณ ดังนั้น ปัญญาเข้าใจแล้ว
ก็ล้างกิเลสได้จริง นี้เรียกว่า อุภโตภาค สองสภาพ ถ้าไม่ลดกิลสจริง และปัญญา
ไม่เข้าใจจริงแล้ว ไปไม่รอดหรอก จะไปเรียนสูง รู้รอบโลก มีวิสัยทัศน์มากมาย
ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเอามาแก้ไข ทางจิตวิญญาณไม่รอด มันลวง ซับซ้อน ล่า ลาภ
ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาบำเรอตนเอง ไปบริหารประเทศ ก็แก้ไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่แก้ทางจิตวิญญาณ
ให้ลดกิเลสในจิต ได้จริงก่อน
เราเองไม่บังอาจ จะไปแก้ไข
จิตวิญญาณ ทางพวกระดับชั้นสูง ชั้นบริหาร เราขอแก้ไขระดับ รากหญ้า หรือระดับพื้นๆ
นี่เสียก่อน ได้พื้นๆไปแล้ว ค่อยตีวง ไปบีบข้างบนโน่น เราจะใช้วิธีนี้ เรายังไม่มีฤทธิ์พอ
ทุกวันนี้ เราเลยมีนโยบายว่า "เราขออยู่อย่างผู้น้อย
เก็บดอกหญ้า แซมผมไปเรื่อยๆๆ อย่างนั้นจริงๆ" ถ้าทางธ.ก.ส. เห็นจริง
อย่างที่พูดนี้ว่า คงจะไปกันได้ จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่งจริงๆ"
บททดสอบ...ความอดทน...อดกลั้น
การเจริญเมตตา และให้อภัย...ของชาวอโศก
๑๔ พ.ย.๔๔ ขณะนั่งรถของสนามบินดอนเมือง
เพื่อไปขึ้นเครื่องบินไปอุบลราชธานี พ่อท่าน บอกเล่า ปัญหาการอบรม ที่ร้อยเอ็ด
คุณธำรงค์มาบอกเล่า เมื่อวานว่า พระฝ่ายปกครอง สั่งการมาถึง เจ้าคณะตำบล
ให้มีหนังสือถึงชาวบ้าน เชิญมาประชุมที่วัด เพื่อร่วมกันต่อต้าน การอบรมเกษตรกร
ที่พักชำระหนี้กับธ.ก.ส. ที่ญาติธรรมกลุ่มร้อยเอ็ด ร่วมกับธ.ก.ส.จัดการอบรมขึ้น
ที่ราชธานีอโศก ในห้องทำงาน
หลังจากเสร็จภาระกิจอื่นๆ ข้าพเจ้าขอเอกสาร ที่คุณธำรงค์ นำมาให้พ่อท่าน
เป็นเอกสาร ๒ แผ่น ที่พระฝ่ายปกครอง มีไปถึงชาวบ้าน
ข้าพเจ้าขอนำมาถ่ายทอด เพื่อบันทึก เป็นประวัติศาสตร์ อีกหน้าหนึ่ง ในการทำงานศาสนา
ของชาวอโศก เพื่ออนุชนรุ่นหลัง จะได้รับรู้ว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ รุ่นบุกเบิก
เจออุปสรรคอะไรบ้าง
วัดตาลวนารามบ้านเหล่าแขม
ที่ ๑/๒/๒๕๔๔
๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๔
เรื่อง ขอความปรึกษา
เจริญพร นายคำสิงห์ ประเสริฐสังข
เนื่องด้วยทางคณะสงฆ์
ตำบลเกาะแก้ว ขอเชิญท่านร่วมประชุม เพื่อปรึกษาหารือท่าน ในกรณียกิจบางอย่าง
ฉะนั้นจึงขอเชิญท่านเข้าร่วมประชุม
ที่วัดตาลวนารามบ้านเหล่าแขม ในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ เวลา ๙.๐๐
น. เป็นต้น
หวังเป็นอย่างยิ่ง
จะได้รับความร่วมมือด้วยดี
เจริญพรมาเพื่อทราบ
ลงชื่อ..... พระอธิการจำรูญ กนฺตสาโร
เจ้าอาวาสวัดตาลวนาราม
ลงชื่อ.....เจ้าอธิการอุทัย
จนฺทสีโร
เจ้าคณะตำบลเกาะแก้วเขต ๑
ชุมชนนี้ไม่ต้องการลัทธิอโศกมาจัดตั้งในชุมชนของพวกเรา
ทั้ง ๑๔ หมู่บ้าน เพราะดูแล้ว เหตุจะเกิดในชุมชนเพราะ
๑.จะเป็นการแตกแยกในระหว่างชุมชน
๒.จะเป็นการแตกแยกทางพุทธศาสนา
๓.ทำลายสิ่งแวดล้อม
๔.ชาวบ้านขาดการไปทำมาหากินในเขตป่านี้
๕.ชาวบ้านใช้ป่าแห่งนี้เลี้ยงสัตว์
๖.ชาวบ้านเก็บผักหักฟืน และเก็บเห็ดของป่า อันเกิดจากธรรมชาติ ใช้อยู่เป็นประจำในป่าแห่งนี้
๗.สอนผิดเพี้ยนทางพระไตรปิฎก
๘.แต่งกายเลียนแบบแห่งคณะสงฆ์ไทย
ระเบียบวาระการประชุม
ระเบียบวาระที่ ๑ มีผู้มาจัดตั้งอโศกร้อยเอ็ดขึ้นที่ป่าดงแหน่ง ซึ่งเป็นป่าหวงห้าม
เห็นสมควร จะให้ตั้งขึ้น หรือไม่อย่างไร
ระเบียบวาระที่ ๒ เรื่องอื่นๆถ้ามี
พ่อท่านบอกเล่าเพิ่มเติมว่า
เนื่องจากน้ำท่วมมาก วัดตาลวนารามอยู่ในพื้นที่สูง พวกเรา จำเป็นต้องผ่านวัด
ตอนแรก ทางวัดจะไม่ยอมให้ผ่าน พวกเราต้องไปต่อรอง จนอนุญาต ให้คนผ่านได้
แต่ห้ามเอารถผ่าน แสดงว่า พระท่านยังล้าสมัยเหลือเกิน ขนาดพระผู้ใหญ่ของทางเถรสมาคม
ก็เปลี่ยนท่าทีแล้ว ถึงขั้นมีหนังสือ เชิญเราไปร่วมประชุม "ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย"
เพื่อร่วมกันคัดค้าน กฎหมาย ปกครองคณะสงฆ์ ฉบับใหม่
...เอ้า ก็อดทนกันต่อไป หากมั่นใจว่าสิ่งที่ทำนั้นดีจริงๆ
อย่างที่พ่อท่านเคยบอกพวกเราว่า ทำดียังไม่ได้ดี ก็เพราะทำดี
ยังไม่มากพอ เราจะต้องทำดีต่อไปให้มากๆ จนกระทั่ง คนตาบอดก็เห็นได้
การคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา
๓๐ พ.ย.๔๔ ที่สันติอโศก เจ้าหน้าที่เขตบึงกุ่ม
๒ คน นำสำเนาเอกสาร ที่ทางกระทรวง ศึกษาธิการ ส่งมาถึงผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม
(เข้าใจว่า ผอ.เขตอื่นก็คงได้รับเช่นกัน) เรื่องการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์
ต่อพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา ปี ๒๕๔๕ เพื่อส่งเสริมยกย่อง สรรเสริญ
คุณความดี และประกาศเกียรติคุณ ของผู้ทำคุณประโยชน์ โดยขอความร่วมมือ ทางเขตร่วมกับเจ้าคณะเขต
เสนอรายชื่อ ผู้สมควรได้รับการ คัดเลือก เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ ต่อพระพุทธศาสนา
ประจำปี ๒๕๔๕ ทั้งนี้ได้มีสำเนา หลักเกณฑ์การคัดเลือกฯ และสำเนา แบบกรอกรายละเอียด
การคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ฯ ส่งมาด้วย ซึ่งคณะกรรมการ ฝ่ายคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ฯ
ได้แบ่งประเภทผู้ทำคุณประโยชน์ ฯ ออกเป็น ๑๐ ประเภท
เจ้าหน้าที่เขตบึงกุ่ม บอกว่าคิดจะเสนอหน่วยงาน
และบุคคลของสันติอโศก ให้ร่วมรับการคัดเลือก ผู้ทำคุณประโยชน์ฯ ด้วย หากหน่วยงาน
หรือบุคคลของสันติอโศก ได้รับรางวัล ก็จะผลดีในแง่ของสังคม และยังคิดต่อไปอีกว่า
อยากจะเสนอชื่อพ่อท่าน ให้ได้รับรางวัลที่สูงกว่า ระดับเขต เป็นระดับประเทศ
ท่าทีของเจ้าหน้าที่ เขตบึงกุ่มที่มา ดูมีศรัทธา มีความนอบน้อม และมีความตั้งใจ
ที่จะทำจริงๆ
ข้าพเจ้าได้บอกกับเจ้าหน้าที่
เขตบึงกุ่มไปว่า เรื่องนี้ขอนำปรึกษา พ่อท่านก่อน ว่าเห็นสมควร อย่างไรหรือไม่
แต่โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่า การเสนอชื่อพ่อท่านรับรางวัล โดยต้องกรอกรายละเอียด
เกี่ยวกับประวัติ และผลงาน เสนอส่งไป ให้พิจารณานั้นไม่ควร ดูจะเป็นเหมือนทั่วๆไป
ที่อยากได้รางวัล หากพ่อท่าน จะได้รางวัล หรือได้รับการยอมรับใดๆ ควรจะเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐขวนขวาย
ค้นหาข้อมูลผลงานกันเอง อีกทั้งรัฐ ต้องตั้งใจกระตือรือร้น อยากที่จะให้
ไม่ใช่พ่อท่านต้องเสนอตัวเอง ให้ใครพิจารณา ส่วนกรณี หน่วยงาน หรือตัวบุคคล
ของสันติอโศกนั้น จะเสนอชื่อ เพื่อร่วมให้คัดเลือกรับรางวัลนั้น เป็นเรื่องที่ควรแล้ว
ไม่ใช่เราอยากได้รางวัล แต่ถ้าได้รางวัล ได้รับการยอมรับจริงๆ ก็จะเป็นผลดีต่อสังคม
ทำให้คนเปิดใจ น้อมนำเอาไปปฏิบัติ ได้มากขึ้น อีกอย่างหนึ่ง เราก็อยากรู้ปฏิกิริยา
กระแสสังคมว่า มาถึงวันนี้แล้ว ฝ่ายอาณาจักร และศาสนจักร คิดอย่างไรกับสันติอโศก
และถ้าจะเสนอชื่อให้คัดเลือก ก็น่าจะลองดูชื่อสองชื่อ หรือประเภท สองประเภทก็พอ
จะได้ไม่ดูว่าพวกเราอยากล่ารางวัล หากเสนอหลายๆประเภท มันจะมองอย่างนั้นได้
เมื่อข้าพเจ้านำเรื่องนี้ไปเรียนให้พ่อท่านทราบ
พ่อท่านแสดงความเห็นว่า "การให้รางวัล เป็นการให้กำลังใจ ในการทำความดี เราเองเราเข้าใจแล้วว่า
ทำดีก็เพื่อดี มิใช่จะต้องการรางวัล หรือ ต้องการกำลังใจ ในการทำดีอะไร และเราจะเสนอชื่อ
หลายๆประเภทก็ได้ เพราะมันเป็นความจริง ที่พวกเราเป็น พวกเราทำ ซึ่งเราก็ไม่ได้ส่ง
เพื่อมุ่งหวัง หรือมุ่งมั่น ว่าจะต้องให้ได้รางวัลอยู่แล้ว ส่วนเรื่องจะเสนอชื่อผม
รับรางวัลนั้น อย่าทำเลย ขนาดรางวัลที่ใหญ่กว่านี้ ในระดับต่างประเทศ ผู้ที่อยู่ในวงการพิจารณา
คัดเลือกตัวบุคคล มาบอกผมว่า จะเสนอชื่อผมเข้าไปนะ เพราะดูแล้วไม่มีใครเหมาะเท่าท่าน
ผมก็ปฏิเสธเขาไปแล้ว ว่าอย่าเสนอไปเลย"
จบท้ายบันทึกฉบับนี้ จากโอวาทปิดประชุมชุมชนปฐมอโศก
๑๒ พ.ย.๔๔ ยังไงๆก็ให้รักษาสถานภาพของเราให้ดีนะ ปฐมอโศก เป็นชุมชนแห่งแรกของชาวอโศก
ทุกวันนี้ ก็ได้รับ การยอมรับมากขึ้น ก็แสดงว่า ถูกแล้ว ถึงแม้จะช้าบ้าง
เราก็รู้เหตุว่า มันไม่ง่าย และเราก็ไม่ใช่บุญนิยม
ที่เอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เอาทุนเอารอนไปประมูล ไปล่อหลอกกันมา เรามากันด้วยความรู้
ด้วยความสมัครใจ แต่เราก็ได้คนเนื้อๆมา มีปัญญา เข้าใจ และสมัครใจ เต็มใจที่มาทำอย่างนี้
อันนี้แหละ เป็นน้ำหนักที่เยี่ยม และหาได้ยาก เพราะเข้าใจ สมัครใจ เต็มใจมา
ไม่ได้เพราะอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเลย
อันนี้เป็นเรื่องบุญนิยม เรื่องโลกุตระของมนุษยชาติ
มันเป็นแล้ว มันเกิดแล้ว พวกเราเป็นสงฆ์ ที่เข้าถึงพุทธธรรม เป็นสงฆ์ที่มีเนื้อ
เป็นผู้เข้าถึงกระแส เป็นผู้ที่มีมรรคผล เป็นสมณะ ที่เป็นโสดาบัน สกิทา อนาคามี
อรหันต์ อุบาสก อุบาสิกา ของเราจึงเป็นสมณะ จึงมีรูปร่างของวัฒนธรรม มีจารีตประเพณี
ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้พอสมควร จึงเป็นอย่างนี้ ๑๐ ปี ๒๐ ปี เราก็พิสูจน์กันมา
คนข้างนอก เขามองว่า สังคมชาวอโศก
เป็นแค่จุลภาค เท่านั้น เป็นมหภาคไม่ได้ จุลภาคของอโศก ขณะนี้กำลังอยู่ ในช่วงขยายผล
ขณะนี้เราต้องเป็น โมเดลที่แข็งแรง ตอนนี้ มันเป็นโอกาส ที่เราจะได้ดำเนินไป
มีผู้มาร่วมมือช่วย เราไม่ได้โดดเดี่ยว สังคมข้างนอก เขาก็มาร่วมไม้ ร่วมมือแล้ว
กระแสการต่อต้านน้อยลงๆ หรือแทบไม่มีเสียงต้านเลย คนกล้าที่จะมาร่วมกับเรามากขึ้น
แม้แต่ในสังคม ระดับสูง ก็ไม่มีปัญหาอะไร
แม้แต่พระผู้ใหญ่ของทางเถรสมาคม
ก็เชิญสันติอโศกไปเข้าร่วมประชุม ทีมศาสนาพุทธ เพื่อร่วมกันต่อต้าน กฎหมาย
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ที่กำลังจะเข้าครม. และในการประชุม ก็ไม่มีการกล่าวอะไร
พาดพิง หรือตำหนิเราเลย
ตอนนี้แม่ชี ศันสนีย์ จะประชุม
สภาสิทธิผู้หญิงของโลก และมาเชิญพวกเราไป เราส่งคุณขวัญดิน
ดร.ขวัญดี และสม.จินดาไป
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กระแสสังคมตอนนี้
เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ มาถึงวันนี้ เราไม่ได้เป็น "หมาหัวเน่า" เสียทีเดียว
สรุปแล้ว เราก็แก้ข้อบกพร่องของเรา และพัฒนาสิ่งที่ดี
ที่มีอยู่ให้แข็งแรง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ "เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเรา เราทำเพื่อมนุษยชาติ
อีก ๕๐๐ ปี หรือเร็วกว่านั้น จะเป็นผลที่ดี ไม่เชื่อคุณคอยดู ขอให้คุณ ระลึกชาติได้
ก็แล้วกัน"
อนุจร
๒๐ ธ.ค.๔๔
(สารอโศก
อันดับ ๒๔๔ มกราคม ๒๕๔๕)
|