>สารอโศก

หอมดอกพุทธา ..แม่น้ำ ลักขิตะ
"ผู้แสวงหาแต่สุขให้ตนจนลืมคนรอบข้าง
ย่อมพบแต่ความชั่วร้าย และทุกข์ที่ไม่มีวันหมดสิ้น"


รักอื่นยิ่งไปกว่ารักตนเป็นไม่มี...
ทุกคนต่างปรารถนา ให้ชีวิตตนมีความสุข แต่จะมีสักกี่คน ที่ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข และตนเอง ยินดีทนทุกข์ เพื่อคนอื่น...
บุคคลเช่นว่า ในยุคสมัยไอที หาได้ยากมาก เพราะโลกเต็มไปด้วยการแข่งขัน แย่งชิงสุข มาสมใจตน คนอื่นทุกข์ปานใด ไม่สำคัญ

มีสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า "กินข้าวคนเดียวไม่อร่อย"

มนุษย์ต่างจากส่ำสัตว์ เพราะมีจิตที่ประเสริฐ รู้จักแบ่งปันจุนเจือ ซึ่งกันและกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ดึงกันขึ้นจากนรก แล้วกอดคอเดิน ไปสวรรค์ด้วยกัน

ชีวิตเราจะมีแต่ตราบาป หากแสวงหาความสุข โดยสร้างทุกข์ให้ผู้อื่น... ลูกที่เอาแต่เที่ยว เสเพล เสพยา ทำตัวชั่วช้า สารพัด หลงว่าเป็นสุขหนักหนา ในขณะที่พ่อแม่ ทุกข์ใจหม่นไหม้

สามี-ภรรยาที่นอกใจคู่รักตน ไปเสพสุขกามกับคนอื่น ปล่อยให้คู่ของตน ต้องทุกข์ระทมขมขื่น พฤติกรรมเช่นนี้ เป็นตราบาปของชีวิต ที่ไม่มีวันลบ ออกจากจิตวิญญาณ ชั่วนิจนิรันดร์

คนที่ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ในวันข้างหน้า เขาต้องประสบทุกข์เช่นนั้นเหมือนกัน ไม่ชาตินี้ก็ชาติ ต่อๆไป

เมื่อครั้งที่ดวงจิตพระพุทธเจ้าหลุดพ้นจากอวิชชา ญาณปัญญาได้กระจ่างแจ้ง ในธรรมทั้งปวง ณ เสี้ยวเวลานั้น... จิตเสมือนมารดวงหนึ่งของท่าน ได้ดำริขึ้นว่า... ธรรมอันเราบรรลุนี้ ลึกล้ำคัมภีรภาพ ยากที่ผู้ใดเห็นตาม รู้ตามได้ยาก หากจะสอนธรรมนี้ ให้มหาชนได้เช่นใจ ย่อมมิใช่ง่าย เป็นการลำบากแก่เราอย่างยิ่ง... อย่ากระนั้นเลย เราไม่พึง แสดงธรรม แก่ผู้ใด...

เสี้ยวเวลาถัดมานั้น จิตอีกดวงเสมือนท้าวมหาพรหม ได้กล่าวค้านขึ้นว่า ...โลกจะฉิบหายแน่แท้ หากพระสัพพัญญู มิคิดแสดงธรรม ขอพระองค์ทรงแสดงธรรมเถิด บุคคลผู้มีปัญญา สามารถเข้าใจธรรมนั้น มีอยู่ หากเขาเหล่านั้น มิได้ฟังสัจธรรม ก็จะฉิบหายเสีย...

ในที่สุด ทรงตัดสินใจยอมเหน็ดเหนื่อย แบ่งปันอมตสุขให้กับปวงชน ด้วยการเปิดเผยสัจธรรม ให้ผู้มีปัญญา ได้ปฏิบัติ บำเพ็ญตาม กระทั่งเขาถึงความหลุดพ้น กันมากมาย

เราสร้างสุขสุดประเสริฐได้...หากจะไม่เห็นแก่สุขส่วนตน จนลืมคิดถึงคนอื่น

แบ่งปันความสุขให้ถ้วนทั่ว ทั้งตัวเราและคนรอบข้าง ชีวิตจะประสบแต่สิ่งดีงาม สุขสงบ ตลอดไป...

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕)