หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >สารอโศก

เดินตามรอยพ่อ...
ชีวิตพลิกล็อค


...ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นชีวิตที่โลดโผน เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้มี โอกาสมาร่วมงานของชาวอโศก และข้าพเจ้า ได้ขึ้นเวทีตอนเย็น ซึ่งเมื่อครั้งนั้น พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เป็นผู้สัมภาษณ์ ใช้ชื่อรายการว่า ชีวิตพลิกล็อค ข้าพเจ้าก็เลยนำ ชื่อนี้ไปตั้งเป็นชื่อบ้าน

ชีวิตข้าพเจ้าไม่ใช่ชีวิตที่มีเส้นทางการเดินแบบเรียบๆ แต่เป็นชีวิตที่ต้องต่อสู้ ต้องผ่านความยากลำบาก คือฐานะ ทางบ้าน ยากจน เรียนจบแค่ป.๔ อยากเรียนต่อ แต่เตี่ยติดเหล้าผลาญเงิน จนกระทั่งเตี่ยตายไปก่อน

ชีวิตข้าพเจ้า จึงต้องดิ้นรน ด้วยการขายหอยแครง หอยแมงภู่ พายเรือขาย จากมหาชัย มาคลองดำเนินฯ แจวเรือจาก ดำเนินสะดวกมากรุงเทพฯ มีนบุรี สวนสามวา สมัยเด็ก มักดื้อเกเร เล่นอะไรกับใคร ก็ต้องเอาเปรียบเขา ชกต่อย กับใคร ต้องท้าต่อยแบบ ๒ คนต่อ ๑ คน เพราะข้าพเจ้า เป็นคน ใจฮึกเหิมมาก

เมื่ออกหักรักไม่สมหวัง ข้าพเจ้าหักเหชีวิต เข้ากรุงเทพฯ มาใช้ชีวิตแบบกรรมกร ต่อสู้กับงานทุกๆอย่าง ชีวิตจึง ลำบากมาก ก่อนที่จะได้บวช ข้าพเจ้าเคยบวชตามประเพณี เมื่ออายุ ๒๐ ปี สามารถบวชเรียน จนได้นักธรรมตรี-โท พอสึกจากพระแล้ว ก็ไม่ เคยนำเอาพระธรรมคำสอน ที่ได้ร่ำเรียนมานั้น มาใช้เลย ก็กินเที่ยวเล่นสารพัด เรียกว่า อบายมุขทั้งหลายลุยมาหมด

จนกระทั่งปี ๒๕๒๒ เพื่อนข้าพเจ้า (เคยมาอยู่กรุงเทพฯ และเจอธรรมะชาวอโศก) ได้ เจอกันโดยบังเอิญ เขาแนะนำ ให้ข้าพเจ้า ลองไปศึกษา ปฏิบัติ ข้าพเจ้าไม่เชื่อเพื่อนหรอก เพราะเคยเห็นพระกินเหล้า กันเป็นกลุ่ม ก็ไม่ศรัทธา และพูดกับเพื่อนว่า "กูไม่นับถือพระ"

เพราะข้าพเจ้าเคยพาตำรวจมาจับพระไปสึก รู้ข่าวไม่ดีไม่งามของพระเยอะ แต่ก็ได้เห็นน้ำใจของเพื่อน ที่เขาเอื้อเรา รับฟังปัญหาชีวิต ของเราในวงเหล้า จึงทำ ให้ข้าพเจ้าตัดสินใจ เอ๊า! ไปก็ไป

จำได้ว่า วันที่ ๒๒ มิ.ย.๒๕๒๒ มาที่สันติอโศก มาได้ฟังอดีตท่านสิริจันโทเทศน์ และ ได้รับหนังสือสารอโศก พอได้ฟังธรรม ทำให้ทิฐิ ข้าพเจ้าเปลี่ยนทันที ว่ามีพระอย่างนี้อีกหรือ ในเมืองไทย ทำให้ข้าพเจ้าสะท้อนอดีต ที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตมา มันผิดทั้งเพเลยหนอชีวิตเรา ไปหลงกินเนื้อเพื่อนร่วมโลก หลงการดำเนินชีวิต ที่ไม่ได้มีอะไรดีเลย ข้าพเจ้าจึงเริ่มปฏิบัติตัวเอง เริ่มกินมังสวิรัติ แต่ก็มีล้มบ้าง เพราะยังมีกิเลส และ ตกร่วงเรื่องการกินอีก เพราะข้าพเจ้า ต้องทำงาน เป็นพนักงานขับรถทัวร์ เขาเลี้ยง อาหารที่มีเนื้อสัตว์ (กิเลสมันบอกว่า หากินมังสวิรัติยาก) ก็เลยกลับ ไปกินเนื้อ เพื่อนร่วมโลกอีก เป็นเวลา ๒ เดือน

เอ๊! เรานี่แย่มาก มันไม่ถูกต้อง ที่ต้องหวนมากินเนื้อเพื่อนร่วมโลก อุตส่าทานมังสวิรัติมาได้แล้ว ยังตกร่วงอีก (อ่อนแอจัง) ข้าพเจ้าจึงหันมาฝึก ทานอาหาร มังสวิรัติให้ได้อีก และเมื่อวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๔ จึงได้เริ่ม รับประทานอาหาร มังสวิรัติมื้อเดียว จากวันนั้น จนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยล้ม อีกเลย

จากที่เคยเป็นนักธรรมโท ก็เริ่มค้นหาในพระไตรปิฎกว่า อานิสงส์ของการกิน อาหารมังสวิรัติมื้อเดียวมีอะไรบ้าง ในเล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๒๖๕ อานิสงส์ คือ เจ็บป่วยน้อย ลำบากกายน้อย กระปี้กระเปร่า เบากายเบาใจ มีพลัง เป็นอยู่ผาสุก ข้าพเจ้าก็พิสูจน์ มันก็เริ่มชัด ชัดขึ้น มีเมตตามากขึ้น

เมื่อเห็นผลชัดเจน จึงคิดว่าทำไมเราต้องมาจมปรักอยู่กับชีวิตอันเส็งเคร็งแบบนี้ มัน ไม่ได้มีความสุขอะไรเลย มันเป็นชีวิตที่ถูกหรอก สุกแบก.ไก่ สุกแค่กินสูบดื่มเสพ

วันวิสาขบูชา ปี ๒๕๓๒ ข้าพเจ้ามีความคิดว่า ถ้าคนดีไม่มารวมกัน แล้วสังคมจะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้า จึงตัดสินใจ เข้าวัด เพื่อปฏิบัติตนเอง ให้เป็นคนดี เพราะชีวิตข้าพเจ้าหลงทิศ หลงทางมามากแล้ว อายุก็ไม่ใช่น้อย ๔๐ กว่าปีแล้ว และข้าพเจ้าก็ขอชวชเป็นสมณะ ชาวอโศก

ข้าพเจ้าทึ่งที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ประกาศตัวเองว่า เป็นโพธิสัตว์ ไม่มีครูบาอาจารย์สอน ในชาตินี้ และธรรมะ ที่นำมาบรรยาย เพราะรู้เองเห็นเอง ทึ่งจริงๆ นับเป็นความโชคดีของข้าพเจ้า ที่ยังพอมีบุญ ที่ได้พบโพธิสัตว์ ที่มีตัวตน จับต้องได้ เห็นได้ พูดได้ แล้วเราจะช้าอยู่ใยเล่าหนอ

ข้าพเจ้าปฏิบัติตามฐานะ กว่าจะได้บวชเป็น สมณะของชาวอโศก ใช้เวลา ๔ ปีกว่า ซึ่งเริ่มจาก เป็นคนวัด อาคันตุกะจร อาคันตุกะประจำ อารามิก ปะ นาค สามเณร จนเป็นสมณะ ได้ฝึกฝน อดทน อ่อนน้อม เป็นผู้เลี้ยงง่าย และขัดเกลากิเลสตัวเองไป เพราะโชคดีมากแล้ว ที่ยังสามารถบวชได้

เมื่อเข้าใจในการลดละ กิเลส โกรธ-โลภ-หลง ก็จะไม่โกรธ ไม่ถือสา เมื่อไม่ถือสา ก็จะเกิดเมตตา เพราะคนเราเกิดมา สัมพันธ์กันมา ไม่รู้กี่แสน กี่ล้านปีมาแล้ว อาจจะเป็นพ่อ-แม่-ลูก กันมามากแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จะไปถือสาใคร ไม่ได้เลย เรา โกรธใครถือสาใครเมื่อไร บาปทันที กิเลสเกิดแล้วเมื่อนั้น พระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงสอนไว้ว่า แม้ใครมา ทำร้ายร่างกายเรา มาตัดแขนขาเรา เราไปโกรธ คนมาทำร้ายเรา ก็คือเราไม่ใช่ลูกพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่ทำใจ ให้ได้ตอนนี้ แล้วจะ ไปทำเมื่อไหร่?

ข้าพเจ้านำปริยัติ (สิ่งศึกษาเล่าเรียน) มาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปฏิเวท (บรรลุผลปฏิบัติ) ต้องพยายาม ตามรู้ตามทัน กิเลสให้ได้ให้มาก ไม่ฟุ้งซ่าน ดึงสติให้อยู่กับตัวเอง ในปัจจุบัน ต้องสังวรณ์ระวัง ทั้งทางกาย-วาจา-ใจ ทุกเมื่อ ทุกขณะที่ทำกิจทำงานแล้ว ก็จะสามารถ จับกิเลส และลดทอนมันลงไปได้ เพื่อจะต้องเดินทางขึ้นไป ให้สูงกว่านี้ ดีกว่านี้ ซึ่งยังมีอีก

ต้องรู้ให้เห็นตามความเป็นจริง มีอีกไหมกลุ่มไหน ที่จะพาให้เราพ้นทุกข์ หลุดจากกิเลส หลุดจากอบายมุขทั้งปวง และมีสิทธิ์นิพพานได้ เป็นพระอรหันต์ได้ เราก็จะต้องปีน ป่ายไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ ไม่ว่าชาติไหนๆ ซึ่งจุดหมาย ปลายทาง คือ เบิกบาน แจ่มใส มัธยัส สุภาพ สงบ หมดความอยาก สิ้นความเสพ การที่เราตกร่วงนั้น เพราะเราหวง กิเลสใช่ไหม

ข้าพเจ้าจะพยายามพากเพียร อดทน ติดตามพ่อให้ถึง จุดหมายปลายทาง เพราะ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า จะเกิดมาพบ โพธิสัตวอีกหรือไม่ อาจหลุดโลก ไปถูกยั่วย้อม มอมเเมาอีกก็ได้ ถ้าข้าพเจ้าไม่อดทน เดินตามรอยพ่อ เดินตามเส้นทาง พระพุทธเจ้า ตามที่เราจะฉลาดมาก หรือฉลาดน้อย (โง่) ข้าพเจ้าสำนึก คอยเตือนตัวเอง ตลอดเวลา เพราะนี่เป็น รถด่วน ขบวนสุดท้ายแล้ว

กราบแทบเท้าคารวะบูชาพ่อ
ส.ชัดแจ้ง วิจักขโณ


พุทธภูมิ ...
ฝึกเรียนรู้ก้าวไปให้ถึงฝั่ง ตั้งความหวังแต่ละชาติให้อาจหาญ
เพ่งเพียรเผากิเลสเหตุแห่งมาร เร่งล้างผลาญสิ่งชั่วในตัวตน
เดินมรรคแปดแผดเผาเข้าถึงจิต กู้วิกฤตศาสนาทุกแห่งหน
โพชฌงค์เจิดตรงทางสว่างกมล จักหลุดพ้นเข้าสู่ภพพุทธภูมิ...

ฟากผั่งฝัน

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕)