บันทึกจากปัจฉาฯ
ตอน..
เมื่อมั่นใจ
ชัดเจน ลดละ และมีมรรคผลแล้ว
อีกกี่ชาติก็จะมาทำแบบนี้
หลังงานปีใหม่แล้ว พ่อท่านเริ่มมีอาการไอ
เมื่อเดินทางกลับมาถึง สันติอโศก (๔ ม.ค.๔๕) แทบจะตลอด ทั้งคืน เป็นเสียงไอแห้งๆ
ไม่มีเสมหะ เพียงแต่ระคาย และคันคอ รุ่งเช้าตรวจวัด ความดัน ชีพจร และวัดไข้
ทุกอย่างปกติ มีเสียงสันนิษฐานกันไปต่างๆนานา ว่าอาจมาจากเหตุ ละอองฟางที่บ้านราชฯ
บ้างก็ว่า อาจมาจาก ละอองเกสร อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่สันติอโศก จริงๆ คือเหตุใด
ไม่มีใครยืนยันได้ มีผู้หวังดี นิมนต์พ่อท่าน อบสมุนไพร และทายาสมุนไพร พอกที่ฝ่าเท้าทั้งสอง
ก่อนนอน เพื่อดูดพิษ ตามวิธีการ ของภูมิปัญญา แพทย์แผนโบราณ
เดินสายเยี่ยมญาติธรรมที่ป่วย
๕ ม.ค.๔๕ หลังฉันแล้ว ออกเดินสายเยี่ยมผู้ป่วย จุดแรกที่ร.พ.ยันฮี
มี ๒ คน เป็นพี่ชาย ของสมณะซาบซึ้ง สิริเตโช ทั้งสองคน คือ คุณชวน เตชศรีสุธี
ที่หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ต้องผ่าตัดหลัง และคุณนิคม เตชศรีสุธี ที่ต้องตัดขาอีกข้าง
เนื่องจากเป็นโรคเบาหวาน เริ่มจากการตัดเล็บแล้ว เกิดแผลติดเชื้อ จนต้อง
ตัดนิ้ว แล้วก็ลามสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้ต้องตัดขาเหนือเข่าแล้ว ด้วยเชื้อเข้ากระดูก
ลุกลามขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนคุณชวน นอนอยู่ที่ร.พ.ยันฮีนี้ เกือบ ๖ เดือนแล้ว
เพราะแผลที่ผ่าตัดเนื้อ ไม่ยอมติดกัน ด้วยเป็นโรค เบาหวาน เหมือนกัน แต่จิตใจคุณชวนยังดี
มีอารมณ์ขัน พูดคุยยิ้มหัวอยู่บ่อยๆ
ออกจากร.พ.ยันฮี เดินทางต่อ
ไปที่สะพานผ่านฟ้า ที่ร้านพุทธบูชา แวะเยี่ยม นายห้างเกร คุณการุณย์ ขันต์ปุระ)
เป็นอัมพฤกษ์ ด้านซ้าย ทราบว่า นายห้างเกร และลูกๆ ออกมารอคอยพ่อท่าน อยู่หน้าบ้าน
ตั้งแต่ก่อนเที่ยง แต่ก่อนนี้ นายห้างเกร จะเป็นคนพูดเก่ง และ ยิ้มหัวง่าย
มาวันนี้ นายห้างเกร ไม่ได้พูด อะไรเลย คุณเมตตา ซึ่งเป็นลูกสาว คอยบอกเล่า
และคุยแทน ระหว่างนั้น น้องชาย นายห้างเกร คนหนึ่ง แวะมาเยี่ยมพอดี หลังจากคารวะทักทาย
คุยกันไปได้ครู่หนึ่ง น้องชายนายห้างเกร ถามพ่อท่านว่า นายห้างเกร ก็ทำดีเสียสละ
ทำบุญกุศล มาตลอด ทำไมถึงต้อง มาเป็นอย่างนี้
พ่อท่านตอบ "กรรมวิบากของคนเรา
เลือกที่จะไม่ให้เกิดอะไรไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็ยังหลีกหนี กรรมวิบาก
ของพระองค์ไม่ได้ ต้องมึนหัว ต้องถูกหินกลิ้งทับพระบาท ทำให้ห้อเลือด ควรทำใจในใจว่า
สิ่งที่เราลำบากนี้ ยังมีคนอื่น ที่เขาลำบากกว่าเรา"
ต่อจากนั้น พ่อท่านได้บอกเล่างานปีใหม่
ที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ และ งานอบรมเกษตรกร ที่พักชำระหนี้กับ ธ.ก.ส. ให้นายห้างเกรฟัง
มีอยู่ช่วงหนึ่งของการพูดคุย
พ่อท่านกำลังสอน เรื่องการปลงวาง ทำใจในใจ ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
พ่อท่านขออภัยก่อนพูด ให้คิดอย่างตรงๆ แบบคนคุ้นเคย กันเองว่า "จะไม่ตาย
หรืออย่างไร" ทำเอานายห้าง เกร ยิ้ม หัวเราะมีเสียง
หลังจากที่เงียบมานาน
ก่อนลาจาก
นายห้างเกร ได้ถวายหนังสือ ไว้ให้แจกหลายมัด และคุณเมตตา ขอให้นายห้างเกร
ได้ถ่ายภาพ ร่วมกับพ่อท่าน ที่หน้าบ้าน
จากบ้านนายห้างเกร เดินทางต่อไปเยี่ยม
โยมบุญธรรม อักษรศรี ที่ร.พ.สินแพทย์ ใน ห้อง ICU โยมบุญธรรม เหมือนไม่รับรู้อะไร
กับการมาเยี่ยม ของพ่อท่าน พวกเราส่งเสียงเรียก ก็ดูไม่ได้ตอบรับใดๆ
สถานพยาบาลในฝันของพ่อท่าน
๘ ม.ค.๔๕ ที่สันติอโศก ได้มีการคุยถึงเรื่อง โรงพยาบาลชุมชน
โดยมีผู้ติดต่อ คุณหมอที่อยู่ วงในของ กระทรวงสาธารณสุข มาพูดคุยด้วย เนื่องมาจาก
แนวโน้มของโลก ประชาชนต้องการ แพทย์ทางเลือก การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ญาติธรรมที่ติดต่อ
เชิญคุณหมอมา กล่าวนำว่า รูปแบบโรงพยาบาล ที่เราคิด จะทำเป็นโรงพยาบาล ชุมชนเล็กๆ
โดยจะเป็นลักษณะ ทำวิจัย ไปด้วย แต่มาติดตรงที่ กฎหมายของ กระทรวงสาธารณสุข
เมื่อคุณหมอ ต้องการให้ญาติธรรม
บอกถึงกิจกรรมต่างๆ ของอโศก ที่เกี่ยวเนื่องกัน การดูแลสุขภาพ เช่นหลัก ๕
อ. (อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย อารมณ์ และ อิทธิบาท) เป็นอย่าง ไร ถูกต้องจริงไหม
เพื่อที่ทางกระทรวงสาธารณสุข จะได้มาช่วยให้คำแนะนำ และจะหา แหล่งเงินทุน
มาช่วยในจุดไหนได้บ้าง
พ่อท่านพูดอย่างตัดๆ แสดงท่าที
ไม่ประสงค์ จะได้เงินจากกระทรวงสาธารณสุข "อาตมา ขอบอกฟันธง หากจะเอาเงิน
จากกระทรวง สาธารณสุข จะต้องมีลายลักษณ์อักษรว่า ให้องค์กรของเรา เป็นผู้บริหาร
ไม่ใช่ให้หน่วยงานราชการ เป็นผู้บริหาร ไม่เช่นนั้นแล้ว หากมีการเปลี่ยนข้าราชการ
พวกเราจะลำบาก ถ้าเขาจะเอาอำนาจของรัฐมาใช้ เราจะทำอะไร ตามแนวทางของเราไม่ได้
เพราะไปติดที่ ระบบราชการ เหมือนเช่นหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ ที่เราโดนกีดกัน
กลั่นแกล้งมาแล้ว
จริงๆแล้ว อาตมาไม่อยากได้เงินของรัฐเลย
เราอยากจะทำ ของเราขึ้นมาเอง โดยไม่เน้น การสร้างอาคาร เราอยากจะเปลี่ยนสภาพ
ให้เป็นอย่างธรรมชาติ แพทย์พยาบาล ก็มีหน้าที่ ดูแลชาวบ้าน โดยเคลื่อนที่
ไปตามบ้านต่างๆ ซึ่งจะได้น้ำใจที่ดี จากชาวบ้าน ถ้าคุณขยัน ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน
จะเกิดมนุษยสัมพันธ์ เกิดสังคมศาสตร์ที่ดี ตรงนั้นมีเตียงย่างใบไม้ สมุนไพร
บ้านนั้นมีฝังเข็ม บ้านโน้นนวด กดจุด อะไรอย่างนี้ ไม่ต้องเปลืองสตังค์สร้างอาคาร
การแพทย์ทางเลือก ไม่ควรจะไปจำกัดอยู่ที่ แพทย์แผนไทยเท่านั้น การดูแล การป้องกัน
และการรักษา อาตมาคิดว่า มันควรจะหลากหลาย การแพทย์อื่นๆเขาก็มีดี ที่แพทย์แผนไทย
ไม่มี "
เมื่อยังไม่ตาย
ก็มาหากันบ้าง
๙ ม.ค.๔๕ ที่สันติอโศก เพื่อนร่วมรุ่น
"เพาะช่าง" นัดมาสังสรรค์ รวมกันมาได้ ๑๕ คน พ่อท่านฉันอาหาร แต่เช้า
จะได้มีเวลาต้อนรับ พูดคุยกับเพื่อนๆ ได้มากขึ้น มีป้ายผ้า ขนาด ๒X๓ เมตร
เขียนข้อความว่า "เมื่อยังไม่ตาย ก็มาหากันบ้าง" ข้อคิดสะกิดใจนี้ พ่อท่านใช้ตั้งแต่
การพบ เพื่อนร่วมรุ่น ครั้งแรก ครั้งนั้น เขียนด้วยลายมือ ของพ่อท่าน ใส่ลงในบัตร
แนบกับหนังสือ มอบให้ทุกคน
หลังจากเพื่อนๆ กลับกันไปแล้ว
มีเสียงวิจารณ์ว่า เวลาที่พ่อท่าน อยู่ท่ามกลาง ชาวอโศก พ่อท่านเป็นที่ เคารพ
ศรัทธา ดูพ่อท่าน ยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อพ่อท่าน อยู่ท่ามกลาง เพื่อนร่วมรุ่น
ดูเหมือนพ่อท่าน อายุน้อย เพื่อนร่วมรุ่น ดูแก่หง่อมกันทั้งนั้น พ่อท่านเหมือนคนหนุ่ม
ต้องคอยดูแลคนแก่ เดินนำไปชมสถานที่ ต้องคอยเหลียวหลังมาดู หยุดคอยหลายคน
ที่เดินโยกเยก กระโผลกกระเผลก ตามอวัยวะ ที่เสื่อม
ปัญหาอจินไตย
: ทำอรหันต์แล้วจะรู้โพธิสัตว์
๑๒ ม.ค.๒๕๔๕ ที่สันติอโศก พระรูปหนึ่งที่มีศรัทธา กำลังจะเดินทางไปไต้หวัน
ฝากข้าพเจ้าเรียนพ่อท่าน ให้ช่วยอธิบาย พระโพธิสัตว์ ระดับ ๑-๙ เป็นอย่างไร
และ ที่พ่อท่านบอก โพธิสัตว์โสดาบัน
โพธิสัตว์สกิทาคามี ถือเป็นระดับไหน เพื่อที่จะได้บันทึก ไว้เป็นหลักฐาน
ทางวิชาการ ตอนนี้ คนที่ไต้หวัน ก็สนใจซักถามมา
เสร็จจากประชุม ชุมชนสันติอโศก
พ่อท่านไปปลงผมที่กุฏิ ข้าพเจ้าจึงได้เรียนถาม ตามที่พระรูปนั้นฝากไว้
พ่อท่านปฏิเสธ ที่จะอธิบาย
"เป็นเรื่องอจินไตย อธิบายยาก แล้วเถรวาทเอง ก็เน้นอรหันต์ มหายานเน้นโพธิสัตว์
แต่เถรวาท ก็เข้าใจ อรหันต์ไม่ถูก มหายานเอง ก็เข้าใจโพธิสัตว์ไม่ถูก พูดไปก็ไม่เข้าใจกัน
ได้ง่ายๆหรอก"
ข้าพเจ้าถามเสริม "คืออยากให้พ่อท่าน
อธิบายเป็นหลักฐาน ทางวิชาการเอาไว้ หากสิ้นพ่อท่านแล้ว จะไม่มีใครอธิบายได้"
"อยากเอาไปพูด ก็ไปอธิบายกันเอาเองเถอะ"
พ่อท่านยังคงตัดบท
ข้าพเจ้าพยายามต่อ "ถ้าคนอื่นพูด
ก็ไม่น่าสนใจ เท่าพ่อท่าน เพราะไม่ได้รู้จริง จะเป็นตรรกะไป อย่างผมเอง ก็ไม่รู้ว่า
พระโพธิสัตว์ระดับ ๑-๙ เป็นอย่างไร จะตัดขอบเขตกันอย่างไร ในรายละเอียด"
"อย่าเพิ่งถึงขั้นโพธิสัตว์เลย
ขนาดโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ก็ใช่ว่าจะรู้ และตัดขอบเขต กันได้ง่ายๆ ที่ไหน
พยายามศึกษา คุณสมบัติ ของอาริยะ เหมือนได้สอน ได้อธิบายกันๆนี้ ก่อนเถอะ
เอาแค่รู้อรหันต์ แล้วทำอรหันต์ให้ได้ แล้วโพธิสัตว์ มันจะรู้เอง"
อุดรธานี
: ต้องลดตัวลดตน เข้ามาประสานกันให้ดี
๑๕ ม.ค.๔๕ ที่ดินหนองแดนเหนือ อุดรธานี พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้มา
เนื่องในโอกาส ได้สร้างศาลาอเนกประสงค์ ส่วนกลางหลังใหม่ ดินหนองแดนเหนือ
เป็นชุมชนเล็กๆ ที่ยังมีบ้านเรือน ปลูกสร้างประมาณ ๒๐ หลังคาเรือน ปัญหาเดิมที่สะสมตัวมานาน
ญาติธรรม ยังไม่ประสานกัน หลายคนไม่เห็นด้วย ขัดแย้งกันหลายเรื่อง จึงไม่ยอมมาร่วม
มาถึงวันนี้ ดินหนองแดนเหนือ รับงานอบรม เกษตรกร ที่พักชำระหนี้กับธ.ส.ก.
แม้ชุมชนยังไม่ลงตัวแข็งแรง แต่ผล การอบรมที่ผ่านมา ได้ผลเป็นที่ น่าพอใจ
เกษตรกรผู้รับการอบรม ต่างล้วน ซาบซึ้ง ยืนยันที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้สอดคล้อง
กับวิถีชีวิต พอเพียง ตามที่ได้รับการอบรมมา โดยเฉพาะ การลดละเลิก อบายมุข
"...เราต้องอาศัยขบวนการกลุ่ม
ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ มีการประชุม เคารพมติ ร่วมกันสร้างสรร แล้วจะเจริญไปไว
เมื่อเราจะอบรมเขา
เราต้องดีก่อน ไม่เช่นนั้น จะเหมือนนกเค้าท้วงตาแม่ คือ แม่นกเค้าแมว ว่าลูกของตนว่า
ทำไมตาเจ้าโต ลูกนกเค้าแมว ก็เลยย้อนว่า คือกันกะตาแม่
เราจะต้องตื่นตัว
เราจะต้องเหนื่อย เราจะต้องลดตัวลดตน เข้ามาประสานกันให้ดี จึงจะ เกิดความร่วมไม้
ร่วมมือ สามัคคี..." พ่อท่านกล่าว จากบางส่วนของการแสดงธรรมก่อนฉัน
ท่ามกลางญาติธรรมที่มา ร่วมอนุโมทนาบุญ ฉลองศาลา
๑๓.๐๐ น.รายการวิทยุชุมชนคนอุดร
FM.93.5Mhz สวท.อุดรธานี ดำเนินรายการโดย คุณสุทัศน์ วิศโยธิน ได้มาสัมภาษณ์
พ่อท่าน ออกรายการสด ผ่านโทรศัพท์มือถือ ไปยังสถานีฯ การสัมภาษณ์ใช้เวลา
๓๐ นาที เริ่มจากการ เป็นผู้นำชาวอโศก ชุมชนชาวอโศก เป็นชุมชนพอเพียงได้เพราะเหตุใด
ทำไมธ.ก.ส. จึงมอบ ความไว้วางใจ ให้ชุมชนชาวอโศก อบรมเกษตรกรที่พักชำระหนี้
เสร็จจากให้สัมภาษณ์
รายการวิทยุ เดินกลับที่พัก ผ่านป่ายางร่มรื่น มีต้นย่านาง อยู่โดยทั่วไป
แสดงถึงดิน น้ำ อากาศ ยังบริสุทธิ์ สะอาด
ถึงที่พัก
ตั้งใจว่า จะนิมนต์ให้พ่อท่าน ได้พักคอ พักการใช้เสียง ก่อนถึงรายการ"เอื้อไออุ่น"
๑๔.๓๐ น. พอดีมีพระอาคันตุกะรูปหนึ่ง สนใจซักถามพ่อท่าน เรื่องฌาน วิปัสสนาญาณ
มโนมยิทธิ ปฏิฆะ กามราคะ ดูท่าทางท่าน ตั้งใจเรียนรู้จริงๆ จึงปล่อยให้โอกาสท่าน
ได้สนทนาซักถาม ตอนแรก ก็คิดว่า คงจะสั้นๆ ไม่กี่นาที เอาเข้าจริงๆ ถามตอบไปมา
ได้เวลาพ่อท่านจะ "เอื้อไออุ่น" พูดคุยกับญาติธรรม ดินหนอง แดนเหนือ ต่ออีก
แต่ดูกำลัง และ ฟังเสียงพ่อท่าน ยังดีอยู่ จึง "เอื้อไออุ่น" ต่อ
"เราปฏิบัติธรรมอยู่ในชุมชน
กับอยู่ในบ้านนี่ อยู่ที่ไหนจะดีกว่ากัน" เป็นคำถามของญาติธรรม หญิงคนหนึ่ง
"ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว
ปฏิบัติอยู่ในชุมชนได้ จะดีกว่า คนที่บวชไม่ได้ มีบุญไม่เท่าคนที่บวช ก็คล้ายๆ
กัน แต่ก็มียกเว้น ไม่ตายตัวไปทั้งหมด แม้แต่ผู้มาบวชได้แล้ว บางทีปฏิบัติในฐานะบวชแล้ว
ก็ไม่ได้มรรค ไม่ได้ผลดี บางคนก็ไม่เหมาะสมกับตัวเอง เป็นฆราวาสดีกว่า ปฏิบัติ
แบบฆราวาส ได้ผลบวกก็มี มันไม่ใช่ คำตอบตายตัวว่า ปฏิบัติอยู่ในชุมชน หรือ
ปฏิบัติอยู่ข้างนอก ดีกว่า แต่ถึงอย่างไร อยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี
หรือ อยู่กับหมู่ชุมชน นักปฏิบัติธรรม มันก็ย่อมดี ก็แน่ๆอยู่แล้ว" พ่อท่านตอบ
"จะทำอย่างไร
ตรงนี้ถึงจะได้เป็นพุทธสถานเร็วๆขึ้นน่ะค่ะ" เป็นอีกคำถามหนึ่ง ที่ชุมชนอื่นๆ
ก็สนใจ
"อย่าอยากได้
ถ้าไม่อยากได้ แล้วทำให้มันดี มันจะได้พุทธสถาน ทำไปเลย ไม่ต้องอยากได้ ทำให้มันดี
ตั้งอกตั้งใจ ทำให้มันดี อย่างราชธานีอโศกนี่นะ อาตมาคิดถึง ตอนที่เขาไปอยู่
แรกๆ เขาไปอยู่ ก็ไม่กี่คน เหมือนกัน คนไม่กี่คนไปกันแข็งขัน โอ้โฮ... ฟังเทศน์
ฟังธรรม ทำวัตร ทุกวัน ทำวัตรเสร็จ ก็วิจารณ์วิจัยกัน โอ้... เอาหลวงพ่อเท็ปไปเปิด
สมณะก็ไม่มี หรอก ทำวัตรกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วก็แข็งขันกัน ทำมา เรื่อยๆๆๆ
จนมันพัฒนาขึ้นมาเร็ว พัฒนาขึ้นมานั่นๆนี่ๆ ขึ้นมาเร็ว ขนาดอาตมา บอกเอาไว้ก่อน
ว่าจะไม่ให้เป็น สังฆสถานง่ายนะ ตรงนี้ จนสุดท้าย เหตุปัจจัยมันรัดตัว ต้องยอมให้ตั้ง
สังฆสถานขึ้นมา ตรงนี้ ตรงไหน ก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำเนื้อไป ทำให้มันดี
ดีๆไป ไม่ต้องไปอยากได้ แล้วมันก็จะได้ มันก็จะเป็นไปเอง เรารู้แล้ว เห็นรูปธรรม
เห็นเปลือกมัน หรือว่า อยากได้เปลือกมา เท่านั้นแหละ ถ้าใจเรามี เนื้อแท้ของเราไม่ดี
มันก็ไม่ได้เรื่องหรอก ได้พุทธสถานมา ก็ไม่ได้เรื่องอะไร ถ้าใจเราดี พยายามทำดีดี
สมณะ ทั้งหลายแหล่ ท่านก็จะเห็น จะรู้ข่าวคราว แล้วท่านก็จะจรไป จรมามาค้าง
ต่อกันเรื่อยๆ ถึงไม่มีสังฆสถาน เดี๋ยวก็มีสมณะมาค้าง ทีละ ๕ รูป ๑๐ รูป
สองรูปนี้มา สี่รูปนี้ไป ห้ารูปนี้มา โอ๊ย ปานสิว่า จะมาสังฆสถานนั่นแล้ว"
งานอบรมยังกว้างกว่านี้ได้
: อบรมเขา เราก็ได้ ดุจแม่โคเลี้ยงลูกโค
๑๖ ม.ค.๔๕ ออกเดินทางจากดินหนองแดนเหนือ อุดรธานี ๕.๐๐ น.ถึงหินผาฟ้าน้ำ
ชัยภูมิ ๘.๑๐ น. มีญาติโยมจากหลายที่ มาร่วมอนุโมทนา ฉลองบุญ ที่ได้เป็นสังฆสถาน
มองผ่านๆ เห็นมาจากอุดรธานี ขอนแก่น เลย สีมาอโศก ศีรษะอโศก ปฐมอโศก มีเด็กนักเรียนวัยรุ่น
ระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย ที่ไม่คุ้นตาร่วม ๓๐-๔๐ คน ทราบภายหลังว่า เป็นนักเรียนจาก
แก้งคร้อ เคยไปงานปีใหม่หลายคน หากเปรียบเทียบกับ ที่ดินหนองแดนเหนือ ที่หินผาฟ้าน้ำนี้
ดูจะคึกคักกว่า มีคนรุ่นหนุ่มสาวมากกว่า
พ่อท่านได้รับนิมนต์ ให้กดปุ่มเปิดป้าย
"หินผาฟ้าน้ำ" ต่อด้วยนิมนต์รับบิณฑบาต แม้ยังเป็น
ชุมชนเล็กๆ แต่ดูมีแกนศรัทธาที่แน่น
ก่อนฉัน พ่อท่านแสดงธรรม
ย้ำเรื่องความจนเป็นความประเสริฐ และพูดผ่านๆ ถึงโศลกธรรมที่ว่า เน้นเนื้อ
ให้เหนือกว่ามาก
ขณะฉัน มีนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์
ขอนแก่น มากราบ แล้วแนะนำตัวเองว่า ศรัทธาพ่อท่านมานาน
แล้ว วันนี้เพิ่งได้มีโอกาสมาฟังธรรม รู้สึกอยากมาอยู่ด้วย
หลังฉัน พ่อท่านไปนั่งอ่านข่าวต่างๆ
ที่ริมน้ำ มีเด็กๆมาขอให้พ่อท่านตั้งชื่อใหม่ ขณะเดียวกัน ธ.ก.ส. และ เกษตรกร
ที่พักชำระหนี้ มาเข้ารับ การอบรม จำนวน ๘๐ คน รวมกับเจ้าหน้าที่ สาธารณสุข
อีก ๒๐ คน ทยอยกันมา
๑๔.๐๐ น. คุณธำรงค์
แสงสุริยจันทร์ ในนาม เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ
(คกร.)กล่าวนำ ต่อด้วยตัวแทน ธ.ก.ส. ที่ร่วมโครงการอบรม พัฒนาคุณภาพชีวิต
และศักยภาพ ของเกษตรกร กับชุมชนอโศก สุดท้าย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ
กล่าวเปิดงาน เนื่องด้วย เป็นการอบรมรุ่นที่ ๑ ของโครงการนี้
พ่อท่านให้ของชำร่วย กับท่านผู้ว่าฯ
และคณะติดตาม ทักทายพูดคุยกันเล็กน้อย หลังจากคณะ ท่านผู้ว่าฯ กลับไปแล้ว
พ่อท่านพักนอน ประมาณชั่วโมงเศษ ตื่นขึ้นมา เดินดูบริเวณที่จะปลูกสร้างโบสถ์
แล้วต่อเลยไป บริเวณชุมชน ที่ปลูกกล้วย ฝรั่ง กะทกรก จากนั้น ญาติโยมนิมนต์
ไปดูที่นา ซื้อใหม่หลายแปลง น้ำดี อุดมสมบูรณ์ ญาติโยมชี้ให้ดูพืชผล มะม่วง
สับปะรด ไผ่ ที่ได้นำผู้เข้าอบรม ตามโครงการ ของกองทุน เพื่อสังคม (SIF)
รุ่นก่อนๆ มาทำไว้
๑๗.๒๐ น. กลับมาถึงที่พัก
สรงน้ำต้มสมุนไพร แล้วอ่านข่าวสารบ้านเมือง จนถึงเวลา "เอื้อไออุ่น" พูดคุย
กับญาติโยม ชาวหินผาฟ้าน้ำ ๑๘.๐๐ น. โดยแยกสถานที่ จากที่กำลังอบรมเกษตรกร
จากบางส่วน ของรายการ "เอื้อไออุ่น" ดังนี้
ถาม เมื่อเช้าพ่อท่านเทศน์
เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้
ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง แต่ภาวะ ปัจจุบันนี้ ความเป็นจริง
เราต้องกว้างมาก โดยเฉพาะงาน ธ.ก.ส. นี้นะครับ แทบจะไม่มีเวลาได้พัก ไม่ทราบว่าพ่อท่าน
เห็นประโยชน์อันใด และว่ามันจำเป็นอย่างไร และ มันมีผลอย่างไร
พ่อท่าน :
ยังๆ ยังไม่ได้กว้างหรอก ขนาดนี้ยังพอทำได้ ที่เราขยายออกมานี่ ก็ค่อยๆเอื้อ
เขาขึ้นมาได้ขนาดนี้ ที่รับธ.ก.ส. นี่เราพิจารณา กันแล้วว่า เราไหวไหม ธ.ก.ส.
เขาจะเอามากกว่านี้ เราก็ต่อรองเขา มากกว่านี้ ไม่ได้หรอก เราได้แค่นี้ แล้วมันก็ทำให้เราขมีขมัน
และ ต้องบีบคั้น ให้พวกเราทำด้วย
เป็นโจทย์ ที่เราต้องทำ เอาไปเอามา เดี๋ยวนี้นี่นะ บ้านราชฯ ถ้าไม่มีอบรมแล้วเหงา
เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ ย่อยั่นเลยนะ มันเหมือนกับ ชีวิตธรรมดาแล้ว ในอีกไม่กี่ปี
บ้านราชฯ นี้เฉยมากเลย เป็นงานสามัญเลย แล้วเราก็ได้แรงงาน จากคน เหล่านี้ด้วย
ยิ่งมาต่อเนื่อง เราก็จัดผังไว้เลย กลุ่มนั้นกลุ่มนี้มา จะให้ไปช่วยตรงไหน
มันเป็นผล เกื้อกูลกัน เป็นผลดีต่อกันจริงๆ เราอบรม ธ.ก.ส.ให้งบมาช่วย ครั้งละแสนไม่พอหรอก
เพราะว่าเราเองใจใหญ่ ทั้งกินทั้งอยู่ เราแจกแหลก แต่เราก็ถือว่า เราก็ได้
จากส่วนที่เขาให้ ไม่พอนี่ก็ไม่เป็นไร มันก็ถัวกันนะอย่างนี้ เป็นต้น เพราะฉะนั้น
งานที่เราเปิด เรารับอันนี้ ไม่ใช่มันกว้างเกินไป คุณไปมองอยู่ในที่แคบๆ
แล้วก็อยู่ อย่างเก่า ไม่มีอะไร ขยายไป
ถาม
: มันมีผลต่อสังคม ต่อประเทศ ต่อโลกขนาดไหน
พ่อท่าน
: ต่อสังคม ต่อศาสนาด้วย พวกที่เราอบรมไปแล้วนี่นะ
เขารู้จักศาสนาขึ้นแล้วนะ เขาไปปฏิบัติ หลายคนเขาละลดอบายมุข เขามีศีล เขาถือศีล
ขึ้นมาแล้ว แต่ก่อนนี้ เราไปเผยแพร่ ต้องหอบสังขารกัน โอ้โฮ ใส่รถ
เช่ารถ เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว แก้งคร้อนี้ก็มา ไปเผยแพร่ จังหวัดนั้น อำเภอนี้ไป
เขาไปเกณฑ์ กันมา อบรม เดี๋ยวนี้เขาวิ่งเข้ามาหา ให้เราอบรมเอง มันก็ก้าวหน้าแล้วนี่
ไม่ใช่ว่า เราจะผลีผลาม ไปรับมากรับมาย คิดว่าขนาดนี้ พอรับได้ไหม ได้ก็พยายาม
ตอนแรกก็คิดว่า ไปเอามาทำไม คนเราก็อย่างนี้แหละ มันเห็นแก่ตัว มันขี้เกียจ
มันหนักมาก คนที่ชอบอยู่ในรู พวกอนุรักษ์ พวกอยู่ในรู จะนึกอย่างนั้น แต่จริงๆ
มันไม่มากเกินหรอก พลังพิเศษ หรือพลังที่เราจะทำ มันยังมีอีกเยอะ ชาวบ้านราชฯ
ทุกวันนี้ ไม่ใช่ รับธ.ก.ส.เท่านั้น เขารับนักเรียนพิเศษอีก เอา ๒ ศาลาเลย
อบรม เขาก็ไม่ย่านเลยจริงๆ เข้าใจระบบแล้ว มันก็ลงตัวเป็นธรรมดา
อาตมาบอกนโยบาย วิธีจะอบรม
อบรมอะไร อบรมให้เป็นเหมือนกับเรา เป็นเราอยู่นั่นแหละ ให้มันเข้าล็อค อันนี้เลย
ตื่นเช้า ทำวัตร พอทำวัตรเสร็จ พาเขาออกกำลังกาย แล้วก็ไป ลงงาน พาเขาไปทำงาน
เราก็ลงงาน อ้าวเดี๋ยวเราก็กินข้าว กินข้าวเสร็จ ภาคบ่าย พาไปลงงาน ดูงาน
อ้าวเขาจะฝึกอะไร เรียนอะไร ถึงเวลา เอ้าเย็น มาสนุกสนานนิดหน่อย นอน ก็เหมือนกับชีวิตของเรา
ธรรมดานี่แหละ แล้วเราก็มีแรงงาน เข้ามาร่วม เพิ่มขึ้นอีก แล้วเราก็จัดสรร
เอาซี่ แล้วสบายน่ะ มันก็ไม่ได้ไปแปลกแยก จากหลักสูตร หรือ วิธีอบรมของเรา
ก็คืออันเดียวกัน เนี่ยบ้านช่องเรือนชาน ปัดกวาดทุกวัน มาบ่อยเดี๋ยวรุ่นนี้มาปัด
เราก็ บอกว่า เดี๋ยวๆนะเนี่ย เดี๋ยวก็มาตรวจ ให้คะแนน นะเนี่ย พี่เลี้ยงก็มาปรับ
บ้านช่องไม่สะอาด เขาก็มาปัดกวาด รุ่นหน้าก็มาปัดต่อ กวาดต่อ อยู่อย่างนี้แหละ
ซักผ้าห่มให้ อะไรต่ออะไร มันเป็นเรื่องปกติสามัญ แล้วเรา ก็อบรม ให้เขารู้จัก
ระเบียบระบบ ให้เขารู้จักให้ รู้จักวิธีปรับตัวเอง ให้รู้จักอะไร เดี๋ยวนี้โอ้โฮ
หลายหมู่บ้านมา เทียวไปเทียวมากัน เราก็ไม่ได้ หวงได้แหน เขาจะมาเอาวิชากัน
เขาจะมาเอาโน่นเอานี่ เชื้อทำแชมพู เขาไม่รู้จะซื้อที่ไหน ก็มาฝาก ให้เราซื้อให้
เขาก็มาเอา ไปทำของเขาใช้ไป เอ้อ! เป็นสุข สนุก จะทำน้ำหมัก จะทำแชมพู จะทำยาล้างจาน
จะทำปุ๋ย ก็ทำกันไป ตามที่พวกเรา พากันทำ นี่แหละ
มันก็เป็นการขยาย เผยแพร่ การปฏิบัติธรรมกับชีวิต การงานสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
มันอยู่ในธรรมะ ทั้งหมดล่ะ นี่มันก็จะเจริญ พัฒนาขึ้นไป มีธรรมะ พระพุทธเจ้าแซม
และก็ มีการปฏิบัติ และมีการปฏิบัติธรรมไปในตัว ปฏิบัติเหมือนแม่โค เลี้ยงลูกโค
ตัวเองก็กินหญ้าด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย มันก็เป็นธรรมดา ทำงานไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย
ไม่ใช่ไปแบ่งแยก ปฏิบัติธรรมก็อย่างหนึ่ง แหมต้องเข้ากรรมฐาน นี่ก็เพี้ยนไป
ออกจาก กรรมฐาน แล้วไม่ได้ปฏิบัติธรรมหรอก เป็นบ้าเป็นบอ เป็นอะไรไปก็ไม่รู้
มันก็ไม่เข้าเรื่อง ใช่ไหม จริงๆแล้ว มันอยู่ด้วยกัน มันไม่แยกกันเลย ศีล
สมาธิ ปัญญา วิมุติ อะไรมันอยู่ด้วยกันหมด
ถาม
พวกเราอยู่ที่บ้าน นานๆมาวัดบ้าง ก็ปกติไม่มีปัญหากับใคร แต่พอมาทำงานด้วยกัน
หรือว่างาน ธ.ก.ส.นี่นะ งานมันหลากหลาย ไปๆมาๆ ก็มาทะเลาะกัน เหมือนกับมาขัดแย้ง
อะไรกันนี่ ในภาพที่เราเคย ต่างคนต่างอยู่นะ แล้วไม่ทะเลาะกัน เจริญธรรมกันดีนี่
แต่อีกภาพหนึ่ง เราขัดแย้งกัน ทะเลาะกันนี่ พ่อท่าน0ว่าอันไหน มันเจริญกว่ากันครับ
พ่อท่าน
ทะเลาะกันนี่เจริญ ต่างคนต่างอยู่นั้น มีแต่จมกับจมไปเรื่อยๆ มันไม่ยาก อยู่แบบฤาษีอย่างนั้นนะ
มีมานานแล้ว ทะเลาะกันนี่ เป็นการเจริญ เราเรียกภาษา อย่างหยาบๆ ว่าทะเลาะกัน
ที่จริงก็อภิปราย ขัดเกลากัน แย้งกัน วิเคราะห์วิจัยกัน แล้วก็มีเรื่องอะไร
ก็มาใช้ปัญญา จะทะเลาะกันไปทำไม เหตุผล อะไรต่ออะไร สุดท้าย ก็มีวิธีการ
หนักหนาสาหัส ก็เยภุยยสิกา ลงมติ คะแนนเสียงส่วนใหญ่ ก็ชนะ หรือ คะแนนเสียงส่วนใหญ่
ก็เอาอันนั้น ทุกคนก็หัดวางใจ เสร็จแล้ว ก็ปฏิบัติตามมติ ส่วนตัวก็หัด ละตัวตน
แม้เราจะแพ้โหวต ก็ต้องเลิกความเห็นของตน ก็ได้ปฏิบัติธรรมจริงๆ
เปิดอาคารฟ้าอภัยใหม่:
เจริญทั้งวัตถุและนามธรรม
๑๙ ม.ค.๔๕ ที่สันติอโศก มีพิธีเปิดอาคารบริษัทฟ้าอภัย จำกัด
แห่งใหม่ พ่อท่าน ได้แสดงธรรมก่อนฉัน ถือเป็นมงคล ของการเปิดใช้ อาคารใหม่
จากบางส่วน ที่พ่อท่าน บอกเล่าถึง พัฒนาการ ของโรงพิมพ์ ชาวอโศก ดังนี้ "ทำกันมาด้วยมือ
มีเครื่อง ฉับแกละ (เป็นการเรียก ตามจังหวะ เสียงดังของเครื่อง เวลา ทำงานพิมพ์)
ตัวแรก สีก็ยังผสมไม่เป็น พิมพ์แล้วสีก็ยังไม่แห้ง ต้องมาผึ่งกันเต็มศาลา...
เดี๋ยวนี้โรงพิมพ์ฟ้าอภัย
ก็จดทะเบียนเงินทุน จาก ๕ ล้านบาท มาเป็น ๑๐ ล้านบาท แล้วเป็น ๒๐ ล้านบาท
มาถึงวันนี้ ตึกฟ้าอภัย สวยงาม พวกอนุรักษ์ก็ว่า ทำไมสวยนัก ก็ช่วยไม่ได้
เมื่อมันเป็นสาว ก็ต้องสวย เป็นธรรมดา ตอนเป็นเด็กๆ ก็ขี้มูกเกรอะกรัง..."
นอกจากนี้ พ่อท่านยังได้พูด
ถึงความเจริญ ทั้งวัตถุ และนามธรรม ในวาระเดียวกัน ดังนี้
"ตอนนี้บริษัทฟ้าอภัยตึกสวย
พนักงานก็มีห้องอยู่เฉพาะอย่างดี ได้ทางวัตถุเพิ่มขึ้น วัตถุเจริญ จิตใจเรา
ก็เจริญตาม เมื่อประชุมกันแล้ว ก็ตกลง ลดเงินเดือนกัน นี่คือการเจริญ ทั้งวัตถุ
และ นามธรรม ผู้จัดการ ลดลงมาเหลือ ๒,๐๐๐ บาท ส่วนคนอื่น ก็คุยกัน ลดลงกัน
ลดมากลดน้อย ตามความจำเป็น เงินเดือนเขา ๓,๐๐๐ บาท ลดลงมาเหลือ ๒,๕๐๐ บาท
๒,๐๐๐ บาท ถ้า ใครไม่พอใช้ พี่ๆหรือคนที่พอใช้ ก็เฉลี่ยกัน แบ่งกันให้กัน
เป็นการช่วยเหลือ เฟือฟายกัน ตึกยิ่งใหญ่ ตนเองยิ่งมักน้อย สันโดษ
อาตมาแหย่ว่า เมื่อวัตถุเจริญแล้ว
จิตใจคนพัฒนา เจริญบ้างหรือเปล่า ทำให้มีคนคิด ลดเงินเดือน ตัวเองลงมา แต่ใครที่ยังลดไม่ได้
ก็ไม่ว่ากัน อย่าไปบังคับกัน บางคนก็ยังมีภาระ ต้องแบ่งเงินให้ทางบ้าน ต้องดูแลพ่อแม่
ก็ลองดู หากคนที่ได้เงินเดือน ๒,๐๐๐ บาท สามารถมักน้อย สันโดษลงได้อีก จะแบ่งเงิน
ไปช่วย คนที่มีเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท ก็ได้
ถ้าเรามักน้อยได้ เราภูมิใจ
คนสูงแล้ว จะไม่เอาอะไรมาก จะให้มาก คนเราจะง่าย เมื่อสูงแล้ว แต่สมรรถนะ
เราจะมาก กินอยู่จะง่ายๆ ลดน้อยลงด้วยซ้ำ นี่คือ คนพันธุ์ใหม่ คนบุญนิยม
ทวนกระแส กับทุนนิยม เขาจริงๆ สุขและภาคภูมิกัน คนละขั้วคนละทาง"
การต่อสู้กับทุนนิยม
๒๔ ม.ค.๔๕ ที่สนามบินดอนเมือง ขณะนั่งรอขึ้นเครื่องบิน เดินทางไปเชียงราย
พ่อท่านอ่าน บทสรุป ของนักคิด นักเขียน ที่เขียนเกี่ยวกับ จุดล่มสลาย ของทุนนิยม
โดยรวบรวมความคิด ความเห็น ของผู้รู้ ทั่วโลก ที่มองความล่มสลาย ของทุนนิยม
และข้อแนะนำ ในการต่อสู้กับทุนนิยม ก่อนที่จะถึง จุดล่มสลาย เพื่อเตรียมพร้อม
จะได้ไม่ล่มสลาย พังพินาศ ไปตามทุนนิยม แล้วพ่อท่านก็วิจารณ์ เหมือนการบอกเล่า
ให้ฟัง ในช่วงเวลา เล็กๆน้อยๆนั้นว่า
"เขาคิด เขาพูดกันมาก แต่เขาก็ไม่มีทางออก
ที่ชัดเจนว่า ควรจะเป็นอย่างไร สังคมจึงจะ ไม่ล่มสลายตาม อย่างเช่น เขามองว่า
จะต้องมีรูปแบบ และวิธีการ ที่หลากหลาย ในการต่อสู่ กับทุนนิยม ซึ่งถ้าหลากหลาย
มันจะไม่เกิด ความเป็นเอกภาพ ไม่เกิดการผนึกรวม ไม่เกิดพลัง ที่จะเปลี่ยนแปลง
ไม่เกิดความแน่น แม่น คม ชัด ลึก ในการเป็นตัวอย่างนำ อย่างที่ พวกเราทำเลย
เขาพูดเขาคิดอย่างนี้ มันได้แต่คิดหลวมๆ หรืออย่างที่ เขามองว่า จะต้องมีคนมารวมกัน
เป็นล้านๆ ที่จะต่อสู้ แล้วมีวิถีชีวิต เขาก็ไม่ได้บอกเลยว่า แล้วจะทำอย่างไร
จะเป็นอยู่อย่างไร วิถีชีวิตที่ว่า เป็นอย่างไร
เขาไม่รู้เลยว่า ถ้าไม่มักน้อย
สันโดษ ไม่สอนให้คนมักน้อย สันโดษ โดยจิตต้องปฏิบัติได้จริง ขั้นลดกิเลส
กันสำเร็จ มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเกิดสันติภาพได้ อย่างที่เขาคิด เขาฝัน
ต่อให้ใช้วิธี กดข่มด้วยสมาธิ สะกดจิต หรือออกกฎหมายบังคับ แบบคอมมูนิสต์
มันก็ได้ชั่วคราว ตราบใดที่คน ยังไม่ลดกิเลสได้จริง ก็ยังคิดจะแย่ง มาเพื่อเสพ
บำเรอตนเองอยู่ อย่างที่พวกเรา ได้ปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า เราจะเห็นทางรอด
ของสังคมได้เลยว่า เมื่อเราไม่แย่ง ชิง เรามีปัญญา รู้เท่าทัน จิตเราต่างรู้จักพอ
เราต่าง มักน้อย สันโดษกันมาได้ มันก็จะเกิดสุข สงบ เกิดสันติภาพ อย่างที่พวกเรา
เป็นกันอยู่นี้ ถ้ามนุษย์ ยังเสพ บำเรอตนเอง ยังคิดอยู่ว่า
ความสุขคือ การได้เสพ มนุษย์ก็ไม่มีวัน เห็นทุกข์ได้เลย นักคิด เหล่านั้น
เขาจะรู้บ้างไหมว่า นี่คือปัญหา ที่ทำให้สังคม เกิดการแย่งชิง ไม่มีสันติภาพจริง
อย่างที่ทุนนิยม เขากำลัง เป็นอยู่..."
เมื่อเจ้าหน้าที่ เปิดประตูเพื่อทำการตรวจฉีกบัตรผู้โดยสาร
ก่อนเดินทางขึ้นเครื่องบิน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ กำลังต่อแถว เพื่อให้เจ้าหน้าที่
ตรวจฉีกบัตร พ่อท่านและข้าพเจ้า ยังคงนั่งรออยู่ เที่ยวนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่
มานิมนต์ ให้ขึ้นเครื่องบินก่อนฆราวาส เช่นครั้งก่อนๆ พ่อท่านมอง ไปที่ ชาวต่างชาติ
ที่กำลัง เข้าแถว ขึ้นเครื่องบิน ไปเชียงรายด้วย แล้วกล่าวว่า "คนในโลก เขาก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้
เขาคิดว่า การได้ไปเที่ยว ไปเห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เป็นความสุข เขาจึงนิยมเที่ยว
ต้องเดินทางกัน เขาไม่เคยเห็นว่า ชีวิตจะมี ความสุขได้ โดยไม่เสพ บำเรอ ไม่ต้องเที่ยว
ซึ่งนั่นมันเป็นอารมณ์หลอก ไม่จริงเลย แล้วก็ไม่เที่ยง ด้วยอารมณ์สุขๆ เหล่านี้
มันไม่เที่ยง การได้ไปเห็นอะไร ที่มันแปลกหู แปลกตา แท้จริงมันก็คือ ดิน
น้ำ ลม ไฟ อากาศเหมือนกัน เพียงแต่ มันสังขาร มันเปลี่ยนไป เท่านั้น มันเป็นเพียง
การหมุนเวียนของ สิ่งมีชีวิต ของสัตว์ ของพืช ของดิน น้ำ ลม ฟ้า อากาศ ก็แค่นั้นเอง"
เมื่อผ่านช่องตรวจบัตร ระหว่างขึ้นรถของสนามบิน
เพื่อเดินทางไปขึ้นเครื่องบิน พ่อท่านยังคงพูดถึง ความล่มสลาย ของทุนนิยม
"สังคมไม่มีทางออกจริงๆ ผมยังคิดว่า อีกไม่ถึง ๕๐๐ ปี สังคมต้องหันมา ในทิศบุญนิยม
อย่างที่พวกเรา กำลังทำอยู่ แน่ๆเลย"
เชียงรายอโศก
: กับถวัลย์ ดัชนี
๒๔ ม.ค.๔๕ ที่ชุมชนเชียงรายอโศก
มีศาลาหลังใหม่ ที่สร้างขึ้น เพื่องานอบรมเกษตรกรที่ พักชำระหนี้กับ ธ.ก.ส.
แต่เนื่องจาก ศาลา ยังไม่ทันเสร็จดีนัก พอดีเป็นช่วงที่พ่อท่าน จะเดินทางมาภาคเหนือ
เพื่อร่วมงาน ฉลองหนาว ของภูผาฟ้าน้ำ (๒๖-๒๗ ม.ค.) ญาติธรรม เชียงราย จึงถือโอกาส
นิมนต์พ่อท่าน ขึ้นมา เชียงรายอโศกก่อน และ จะได้นัดญาติธรรมกัน มาเริ่มใช้
ศาลาใหม่ไปด้วย
หลังฉัน พ่อท่านเดินดูบริเวณ
ชุมชนเชียงรายอโศก ผ่านร้านค้า ผ่านหมู่บ้าน ผ่านโรงเห็ด โรงสี แปลงผัก ทั้งหมดดูยังเล็กๆน้อยๆ
แต่ก็ใช้เป็นสถานที่อบรม ชาวบ้าน อย่างได้ผล มาแล้ว
เสร็จจากดูชุมชน ขึ้นรถไปดู
วัดร่องขุ่น ที่คุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ สร้างผลงานศิลปะเอาไว้ โดยใช้ ปูนขาวหล่อ
แบบลวดลายไทย แล้วใช้กระจกชิ้นเล็กๆ ติดในส่วนปลาย ของลายไทยนั้น ทำให้รูปโบสถ์
มองในระยะไกล ดูสว่างตา เป็นสีขาว มีแสงระยิบระยับ จากกระจก เวลาถูกแสงแดด
แปลกตาไปกว่า โบสถ์ทั่วๆไป
ออกจากวัดร่องขุ่น เดินทางต่อไป
ที่บ้าน ดร.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ที่สร้างผลงานศิลป จัดแต่งเป็น ดุจพิพิธภัณฑ์
มีชิ้นส่วนของสัตว์ เขาควาย หนังสัตว์ หอย หัวสัตว์ อุปกรณ์ เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์
ที่ทำจากมือ ถูกจัดวางผสมภาพวาด ตามความคิด ของคุณถวัลย์ การจัดวางสิ่งของ
ตามจุดต่างๆ ล้วนมี ความหมาย ที่คุณถวัลย์ อธิบายถึง ความคิดของตน ผสมภาษาธรรมะ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯลฯ
คุณถวัลย์ ยกมือ นมัสการพ่อท่าน
แล้วเอ่ยคำทักทาย "แหม วันนี้มาถึงเชียงรายนะครับ"
พ่อท่านยิ้มตอบรับ "ทางเชียงราย
จะนัดญาติธรรม มาใช้ศาลาใหม่กัน"
คุณไม้ร่มเสริม "ขออภัย ไม่ได้บอกมาล่วงหน้า
ว่าจะมา ธรรมดาคุณถวัลย์ไม่อยู่"
"ไม่เป็นไร ตอนนี้ผีบ้าทำอะไร"
คุณถวัลย์มาทักทายคุณไม้ร่ม อย่างกันเอง
คำพูดคำจา ของคุณถวัลย์ ดูมีอารมณ์ขัน
และแฝงแง่คิด อยู่ในตัวเช่น "ผมกำลังวาดรูป รูปหนึ่ง ถ้ารูปไม่เสร็จ จะไม่โกนหนวด
ตอนนี้ได้แต่ เอาหนวดถูๆไปก่อน" "ไอ้เหลิม (เฉลิมชัย) มัน เขียนที่วัดมันว่า
เฉลิมสวรรค์ ถวัลย์นรก ผมเลยเอามีดไปตั้งไว้นั่น (มีดโค้งใหญ่ๆ ที่สนามหญ้า)"
หรือ "ใต้โรงเรือนของผม มีเรือทุกหลัง เป็นความไม่ประมาทของผม เผื่อว่า วันหน้า
ผมขายภาพไม่ได้ ผมจะได้ขาย ก๋วยเตี๋ยวเรือ"
พ่อท่านและพวกเรา นั่งฟังคุณถวัลย์
พูดเป็นส่วนมาก ได้แต่ยิ้ม และหัวเราะ พ่อท่านเอง ก็แทบ ไม่ได้พูดอะไร เป็นการสอนอีกแบบหนึ่ง
ในการใช้สัปปุริสธรรม การวางตัวอย่างนี้ กับ บุคคลอย่างนี้
คุณถวัลย์เอง ก็ดูจะถ่อมตน
และให้เกียรติ ยกย่องพ่อท่านอยู่มาก "วันนี้มีพระสุปฏิปัณโณมา เป็นเกษร แก่แผ่นดิน
ถือเป็นเกียรติมาก" ที่บอกเล่าถึงอดีต ที่รู้จักอย่างคุ้นเคยว่า "แหม
พอเห็นหลวงพี่ ยังนึกถึงวันวาน เล่นละคร ที่หลวงพี่ แต่งเรื่องขึ้นมา แล้วผมกับเพื่อนๆ
ได้เล่นเป็นลูกหาบ" นอกจากนี้ คุณถวัลย์ ยังบอกเล่า ถึงความสนใจ ติดตามงาน
ของพ่อท่านว่า "แม้ผมจะไม่ได้ ติดต่อหลวงพี่เลย แต่ผมก็ได้อ่าน สารอโศก อยู่ประจำ"
อีกสำนวนหนึ่งก็ว่า "ผมได้เห็นหลวงพี่ พูดในทีวีแล้ว ก็ได้ประโยชน์ หลวงพี่พูดเรื่อง
ความพอเพียง การใช้น้อย ที่เหลือ จุนเจือสังคม พูดแล้วหลวงพี่ก็ทำได้แล้ว
แต่ไอ้พวกนั้น พูดธรรมะ แต่มันยังไม่ทำอะไรเลย" และสุดท้าย "ผมไปเสมอนะ หน้าวัด
บางทีก็ไปกินข้าว หน้าวัด (สันติอโศก)
คุณถวัลย์ มอบหนังสือผลงานของตน
เป็นเล่มใหญ่ๆมีสีดำขาว เดินมาถวาย ให้พ่อท่านกับมือ "ผมขอมอบ หนังสือ งานศพของผม
มันจึงเป็นสีดำ แต่ผมยังอยู่ แบบตายแล้ว"
เมื่อทั้งหมดลุกขึ้น เพื่อเดินชมผลงาน
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ช่วยดูแลสถานที่ ถามคุณถวัลย์ว่า ที่คุณถวัลย์ พูดคุยด้วยนี้เป็นใคร
คุณถวัลย์ชี้มือ ไปที่คุณไม้ร่ม "นี่คือรุ่นน้องเพาะช่าง ผมเรียกว่าผีบ้า"
แล้วคุณถวัลย์ ผายมือมา ที่พ่อท่าน "นี่คือรุ่นพี่ผม ผมถือว่าท่านเป็น อัจ...อัจ...อัจฉริยะ"
พ่อท่าน เดินเข้าไปสะกิดแขน
คุณถวัลย์ "พอๆ"
จากนั้นคุณถวัลย์ พาเดินดูผลงาน
ตามเรือนต่างๆ พร้อมกับคำอธิบาย อย่างมีรสชาติ "นี่เป็นห้องโทรศัพท์ ผมไว้คุยกับพระเจ้า"
ภายในห้องที่ดูจากภายนอก มีรูปคล้ายเจดีย์ ที่ไม่มียอด หรือคล้าย ระฆังคว่ำหัวตัด
ให้มีช่อง แสงส่องลงมา ตรงกลางห้อง มีเขาควาย และหนังสัตว์ ประกอบกันเป็นเก้าอี้
รอบๆห้อง เป็นหอยใหญ่ วางเรียงราย เป็นจำนวนร้อย จำนวนพัน เข้าใจว่า "โทรศัพท์คุยกับพระเจ้า"
หมายถึง การนั่งสมาธิ ดูจิตใจตนเอง อย่างสงบ กระมัง
ที่ห้องโต๊ะชุดรับแขก ทั้งเก้าอี้และโต๊ะ
มีมุกฝังใน ลวดลายต่างๆ คุณถวัลย์รำลึกถึงอดีต สมัยอยู่เพาะช่าง "คนอื่นเขาแพ้รัก
(ชื่อต้นไม้ ที่ยางมีสีดำใช้ทาสิ่งของ) แต่ผมไม่แพ้" คุณถวัลย์หยุดนิดหนึ่ง
แล้วใช้หางตา เหลือบมอง มาที่พ่อท่าน ขณะที่พ่อท่าน กำลังมองดูลวดลาย โต๊ะชุดรับแขกฝังมุกนั้น
"แต่มี รัก รักหนึ่งที่ ผมแพ้ และแพ้ตลอดกาลด้วย...รักนั้น คือ รัก รักพงษ์"
สุดท้ายก่อนจาก คุณถวัลย์โชว์การตีกลอง
ทั้งที่ทำจากหนังวัว (โกเบ) และที่ทำจากหนังควาย โดยตัวกลอง ทำจากไม้มะค่าโมง
และ ไม้ชิงชัน ส่วนกลอง ที่ทำจาก ไม้มะม่วง เสียงไม่ทุ้มกังวานเท่า ความตั้งใจตีกลอง
ในจังหวะเร้าใจ รวมถึงความกระตือรือร้น ขวนขวาย ต้อนรับ บอกอธิบายส่วนต่างๆ
ของผลงานศิลปะ ของคุณถวัลย์ ทำให้พวกเรา ที่อยู่ในบรรยากาศ ขณะนั้น รู้สึกชื่นชม
และประทับใจ ยิ่งคุณถวัลย์ตกปาก รับคำว่า จะจัดหากลองใหญ่ๆ อย่างนี้มาให้
โดยยินดี จะออกค่าใช้จ่าย ทั้งหมดให้ครึ่งหนึ่ง ก็ยิ่งทำให้ การจากลา มีความรู้สึกที่ดีๆ
ดูประหนึ่งว่า คุ้นเคย และ สนิทสนมอย่างยิ่ง ทั้งหมด ที่ได้พบเห็น ดูยิ่งใหญ่
อลังการ ยากที่จะหาคน กล้าคิด กล้าทำ และ มีความสามารถที่จะทำ เช่นที่คุณถวัลย์ทำ
เชียงใหม่
ฉลองหนาว : กฎแห่งธรรมชาติ เมื่อสิ้นพ่อ
๒๖-๒๗ ม.ค.๔๕ งานฤดูหนาวของภูผาฟ้าน้ำปีนี้ ไม่ได้จัดใหญ่
เช่นปีที่แล้ว ที่ใช้ชื่อว่า งานปอยหลวง ปีนี้จึงมีผู้มาร่วมงาน
น้อยกว่า กำหนดการต่างๆ ไม่ต่างจากปีที่แล้ว มีฟังธรรม ช่วงก่อนฉัน มีกีฬาอาริยะ
ในช่วงบ่าย มีการแข่งขันทำน้ำพริกบ้าง ช่วงเช้า
แต่ดูไม่คึกคัก
คนส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่า เป็นแขก ไปเที่ยว ไปพักผ่อน มีสันทนาการนิดหน่อย
ในช่วงค่ำ
พ่อท่านเอง ก็เหมือนได้มาพักจริงๆ
ท่ามกลางอากาศสด จากธรรมชาติ อาจารย์หนึ่ง สมณะ บินบน ถิรจิตโต ก็ได้วางแนว
การจัดงาน ฤดูหนาวนี้ ให้ง่ายๆ พยายาม ไม่รบกวนพ่อท่าน ให้ต้องใช้เสียง แสดงธรรมมาก
ให้ต่างจากงานอื่นๆ ของชาวอโศก ซึ่งก็ดูดี ทุกคนดู จะพอใจกับ ช่วงจัวหวะเวลา
ที่อากาศโปร่ง สดชื่นมาก แม้จะเดินทางไกล แต่ก็เหมือนได้มาพักจริงๆ จึงมีผู้เสนอ
ให้ย้ายวันธรรมชาติอโศก จากหลังงานปีใหม่ ที่บ้านราชฯ มาอยู่ในช่วง งานฤดูหนาวนี้
เพราะที่ผ่านๆมา ๒-๓ ปี วันธรรมชาติอโศก ที่บ้านราชฯ ดูไม่มี ความหมาย ที่สอดคล้องกับ
ความเป็นจริง เท่าย้ายมาที่ ภูผาฟ้าน้ำนี้ พ่อท่านก็เห็นดีด้วย จึงได้ประกาศ
ให้พวกเรารู้ ร่วมกันว่า งานฤดูหนาว ในปีต่อไป จะใช้ชื่อว่า งานฉลองหนาว
และ วันธรรมชาติอโศก เพื่อจะได้มีเวลา หลายวันมากขึ้น จะได้คุ้ม กับการเดินทาง
มาจากที่ไกลๆ
สถานเลี้ยงเด็กอนุบาล "หลานปู่โพธิรักษ์"
มีเด็ก ๔ คน เพิ่งเปิดได้ไม่นาน พ่อท่านได้รับนิมนต์ ให้ไปเยี่ยมชม ถือเป็นศิริมงคล
และ เป็นการเปิด อย่างเป็นกิจลักษณะ มีผู้ใหญ่หลายคน ไปร่วมให้กำลังใจ ผู้ดูแลเด็ก
คนหนึ่ง ขอให้พ่อท่าน ตั้งโศลกธรรมให้เด็กๆ พ่อท่าน ปฏิเสธว่า เด็กๆยังไม่รู้เรื่องอะไร
ครู่ต่อมา พ่อท่าน ก็พูด อย่างติดตลกว่า โศลกธรรมก็คือ
ทำต่อไปเรื่อยๆ
จากการแสดงธรรมในหัวข้อ "กฎหมาย-กฎแห่งกรรม"
พ่อท่านได้พูดถึงกฎแห่งธรรมชาติ ในแง่มุมที่คนนอก มองว่า เมื่อสิ้นพ่อท่านแล้ว
ชาวอโศก และชุมชนอโศก คงจะฝ่อ และ สูญสลายไปในที่สุด เช่นเดียวกับ พระอาจารย์อื่นๆ
ที่จริงพ่อท่านพูดอธิบาย แง่มุมนี้มามากแล้ว แต่ในครั้งนี้ พ่อท่าน อธิบายไปถึง
กฎแห่ง ธรรมชาติ อย่างสอดคล้อง เห็นตามได้ เป็นมุมมองที่ แปลกไปกว่าทุกตรั้ง
อีกทั้งระยะนี้ ได้อ่าน ผ่านๆ เกี่ยวกับงานวิจัย ของนักวิชาการ ท่านหนึ่ง
ก็มีประเด็นนี้ ติดอยู่เล็กๆ ในผลงานชิ้นนั้น จึงขอถือโอกาส ถ่ายทอด ความเห็น
ของพ่อท่าน ในประเด็นนี้ สู่สาธารณชน เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ร่วมกัน ดังนี้
"...อาตมามั่นใจว่า สิ่งที่จริงแล้วน่ะ
จริงก็คือ สิ่งที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญารู้ว่า สิ่งนั้นจริง จริงและดี ประเสริฐ
ไม่มีอะไรแย้งได้ เป็นของจริง ที่ไม่มีอะไร มาหักล้างได้จริง ที่ไม่เปลี่ยน
แปลงนี่ เป็นของดีดีจริงๆ ดีต่อตน ดีต่อมนุษยชาติอื่นอย่างไร เข้าใจหมด แม้เรา
ยังทำไม่ได้ เข้าใจก่อน ยิ่งเราทำได้นี่ ยิ่งจริง มันยิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน
มั่นคงเที่ยงแท้ถาวร นิจจัง ธุวัง สัสสตัง
อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อกุปปัง ไม่มีอะไร มาล้มล้างได้
อาตมามั่นใจอย่างนั้น เป็นตถตา
เป็นอวิตถตา อนัญญถตา แล้วก็มีแต่จะเป็น อิทัปปัจจยตา
เป็นสิ่งนี้แล้ว จึงเป็นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ ได้แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง
ก็เป็นหัวเชื้อ ที่จะไปเป็นสิ่งนี้ เพราะไม่มีสิ่งนี้ จึงไม่มีสิ่งนี้ แต่เพราะมีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้
สิ่งที่มีนี้เป็นของจริง แล้วก็มีของจริง
ต่อไปเรื่อยๆ อาตมามั่นใจ ในของจริงที่ได้ จึงจะมีสิ่งที่เป็นของจริง ที่ได้ต่อไปเป็นเชื้อเป็นเผ่าพันธุ์
พันธุ์แท้ไปเรื่อยๆ แม้ว่าอาตมาตายแล้ว พันธุ์แท้ก็ไม่ตาย ตามอาตมาหมด เพราะพันธุ์แท้
คือ เชื้อแท้ มันจะเกิดต่อๆ จนมีปริมาณมากขึ้น จริง คุณภาพ อาจจะไม่ถึง อาตมาทีเดียว
พระพุทธเจ้า
ปรินิพพานไปแล้ว คนเก่งเท่าพระพุทธเจ้าไม่มีอีก แต่ทำไมศาสนามันมาได้ ก็เพราะเชื้อแท้
มีจริง และที่สำคัญคือ
คนที่มีธรรม ต่างมีเป็นกลุ่มหมู่ เกิดขบวนการหมู่ เป็นชุมชน มีพฤติกรรมสังคม
มีวัฒธรรม มีการขยายพันธุ์แท้มาอยู่อีกเรื่อย มาจนถึงวันนี้ คนที่จะสืบเชื้อแท้มีบ้าง
เชื้อเทียม เชื้อปลอม มันก็มีแน่นอน แต่เชื้อแท้ แพร่เชื้อต่อแน่ๆ
อาตมาไม่เกิดมายุคนี้เท่านั้น
อาตมาเกิดมาไม่รู้กี่ยุค ยุคพระพุทธเจ้า อาตมาก็ต่อเชื้อพระพุทธเจ้า แล้วเกิดมา
ก็ตายไปวนเวียน เพราะอาตมา ยังไม่ปรินิพพานนี่ อาตมาก็เอา เชื้อมาต่อๆๆ มาถึงยุคนี้มาต่อ
คนอื่นที่รับเชื้อ จากอาตมาไป ก็ต่อไปอีก ต่อไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้แหละ
เราเรียกว่า กฎแห่งธรรมชาติ"
ตรวจสภาพตา
๒๘ ม.ค.๔๕ ที่เชียงใหม่ การมาร่วมงานฤดูหนาว ครั้งนี้คุณต้นกล้า
มากสุข อดีตพยาบาล แผนกตา ร.พ.สวนดอก ได้ติดต่อล่วงหน้า ก่อนพ่อท่านจะเดินทาง
ขึ้นมาเชียงใหม่ ว่าอยาก ให้จักษุแพทย์ ที่คุณต้นกล้ารู้จัก ได้ตรวจดูสภาพตา
ของพ่อท่านบ้าง เนื่องจากพ่อท่าน ไม่ได้ไปพบ หมอสุขุมา นานแล้ว ด้วยเกรงว่า
หากไปพบแล้ว หมอสุขุมา จะให้ใช้เลเซอร์อีก พ่อท่านจะเกรงใจ จำนนเห็นแก่น้ำใจ
ที่หมอสุขุมา มีมาตลอด การดูแลรักษา ตั้งแต่ต้น ซึ่งถ้าจะต้อง ใช้เลเซอร์
ที่พ่อท่านเห็นว่า ตั้งแต่การใช้ เลเซอร์ครั้งแรก จนมาถึงครั้งหลังนี้ สภาพการมองเห็น
ไม่ได้ดีขึ้น แถมมีอาการ ปวดตากับแสงจ้า อย่างมาก ในการใช้เลเซอร์ครั้งหลังๆ
อีกทั้งการแพทย์กระแสหลัก เห็นว่า สภาพตาของพ่อท่าน ไม่มีโอกาส ที่จะกลับ
มาเห็น ได้อย่างปกติอีก ด้วยเกิดความเสื่อม ที่จอประสาทตา macula อย่างเก่งก็แค่เฝ้าระวัง
ป้องกันมิให้ เส้นเลือดฝอย แตกลุกลามมากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อความเสื่อม ที่จอภาพ
ขยายตัวมากขึ้นตาม ขณะที่ การแพทย์ทางเลือก เชื่อว่าจะสามารถ ทำให้ดวงตา
ของพ่อท่าน กลับมาเห็นภาพได้ อย่างปกติดังเดิม ซึ่งหลังจากได้ทดลอง ให้การแพทย์ทางเลือก
ทำการรักษาแล้ว พ่อท่านรู้สึกว่า การมองเห็นภาพ ได้ดีขึ้น กว้างขึ้น จุดมืดดำตรงกลาง
ภาพเล็กลง ยิ่งทำให้พ่อท่าน ไม่ประสงค์ จะรักษาตา กับการแพทย์ กระแสหลักอีก
แต่พวกเรา ที่ยังไม่เชื่อถือ หรือวางใจกับ วิธีการรักษา ของการแพทย์ทางเลือก
นั้นทีเดียว เกรงว่า หากเส้นเลือดฝอย แตกเพิ่มอีกเล็กๆน้อยๆ แล้วพ่อท่าน
ไม่รู้ตัว การไม่ไปพบจักษุแพทย์ เพื่อติดตาม ผลการรักษา จะเกิดผลเสีย ลุกลามมากขึ้น
เช่นที่แล้วมาได้ จึงได้นิมนต์พ่อท่าน ให้จักษุแพทย์ตรวจดู อย่างเดียว โดยไม่ต้องรักษาอะไร
ทั้งนั้น แค่ให้ดูว่า สภาพตาเป็นอย่างไร เพื่อเปรียบเทียบ กับครั้งสุดท้าย
ที่พ่อท่านได้พบ พญ.สุขุมา วรศักดิ์ โดยให้คุณต้นกล้า เป็นธุระติดต่อกับ
น.พ.นิมิตร อิทธิพันธุ์กุล และ คุณเพ็ญเพียรธรรม สิ้นป่าโลกีย์ ติดต่อกับ
พ.ญ.สุขุมา ให้ช่วยเขียนรายงาน ประวัติสภาพตา และการรักษา ส่งต่อให้ น.พ.นิมิตร
ทราบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบ ในการตรวจดูต่อไป พ.ญ.สุขุมาก็กรุณา เขียนให้อย่างดี
มีความยาว หนึ่งหน้ากระดาษ น.พ.นิมิตรก็ได้กรุณา เขียนบันทึกรายงานผล การตรวจกลับไปให้พ.ญ.สุขุมา
จากบางส่วน ของบันทึกการตรวจนั้น คือ การมองเห็นภาพ
เห็นได้ในระยะเกือบ ๑ ฟุต เห็นแต่บริเวณขอบๆ แต่ตรงกลางยังมืดอยู่ กลางจอประสาทตา
เป็นแผลเป็น และมีถุงน้ำ รอบๆ กลางจอประสาทตาแห้ง มีสารเหลวๆ ซึมๆออกมารอบๆ
ซึ่งน่าจะเป็นร่องรอย ที่ไม่ได้เกิดการรั่วซึม ที่รุนแรงอะไร ไม่เห็นอาการ
เลือดออก เกิดขึ้นอีกแล้ว และแนะนำ ให้ผู้ป่วย ติดตามดูอาการ เฝ้าระวังความผิดปกติ
ที่จะเกิดขึ้นกับตา อีกข้างหนึ่ง ด้วยแผ่นการตรวจ (ที่มีตาราง) เป็นระยะๆ
วันนั้น หลังจากที่พ่อท่าน
ตอบคำถามของหมอนิมิตร ถึงอาการมองเห็นภาพ ได้กว้างขึ้นกว่าเดิม
คุณหมอนิมิตร บอกว่าเป็นไปได้
ที่การทำเลเซอร์ได้ผล เลือดแห้งละลายออก ช่วยให้จอประสาทตา เห็นได้กว้างขึ้น
ข้าพเจ้าซักถามคุณหมอนิมิตรต่อว่า
การทำเลเซอร์แล้ว จะเห็นผลดีขึ้นในวันสองวัน หรือ อาทิตย์ สองอาทิตย์ เลยหรือเปล่า
คุณหมอนิมิตรตอบว่า ไม่ได้ดีขึ้นทันที
อาจจะเป็นเดือน หรือหลายเดือน ทั้งหมดนี้ พวกเราไม่ได้บอกเล่า ให้คุณหมอนิมิตรทราบ
ว่าพ่อท่าน ไปทำการรักษา กับการแพทย์ทางเลือกมาด้วย ซึ่งจากคำตอบของ หมอนิมิตรนี้
ทำให้พวกเรา สรุปทันทีไม่ได้ว่า การมองเห็นภาพ ได้กว้างขึ้นดีขึ้น ของพ่อท่านนั้น
เป็นผล มาจาก การแพทย์ทางเลือก หรือ การแพทย์กระแสหลัก แต่ระยะเวลา ที่ยาวนานขึ้น
จะเป็น คำตอบได้ ด้วยการแพทย์ทางเลือก บอกว่า ตาของพ่อท่าน จะกลับมาเห็นได้ดังเดิม
นั่นก็คือนับจากนี้ไป การมอง เห็นภาพ ของพ่อท่าน จะดีขึ้นเรื่อยๆ กว้างขึ้นเรื่อยๆ
จนเห็นเต็มดวงตาได้ดังเดิม ขณะที่การแพทย์ กระแสหลัก เห็นว่า ตาของพ่อท่าน
จะเห็นได้เท่านี้ ตรงกลางจะดำมืด เพราะกลางจอ ประสาทตา เป็น แผลเป็น
แต่สำหรับเรื่องคอ อาการไอของพ่อท่านในช่วงเวลา
๐๓.๐๐-๐๖.๐๐ น. ที่เคยเป็น ก่อนการรักษา การแพทย์ทางเลือก ปัจจุบัน ลดน้อยหายไป
ก็คงต้องยกประโยชน์ให้ว่า เป็นผลมาจาก การแพทย์ทางเลือก
ปัญหาแปลกๆ
เกี่ยวกับรับบิณฑบาต
๓๑ ม.ค.๔๕ ที่สันติอโศก เช้านี้สิกขมาตุรูปหนึ่งเรียนถามปัญหาแปลกๆว่า
ถ้าคนสอนช้างให้ ใส่บาตร เราจะรับได้หรือเปล่า
พ่อท่านตอบ "ช้างมันไม่รู้เรื่อง
อะไรหรอก เจตนาคนเลี้ยงช้าง เขาจะแสดงให้ดูว่า สัตว์มันสอนได้ ว่าง่าย จะให้ทำอะไรก็ได้ก็ดูน่าเอ็นดู
ที่จริงก็คือคนใส่บาตรนั่นแหละ จะว่าไปแล้ว แต่อาศัยช้างแสดง เหมือนกันกับ
ทัพพี ตักบาตรทุกวัน ตัวทัพพีเองไม่รู้เรื่อง แต่คนตัก อาศัยทัพพีตักบาตร"
สิกขมาตุ บอกเล่าเหตุที่ทำให้สงสัย
"คือพระพุทธเจ้าบอก บิณฑบาตโดยเคารพ ก็เลยสงสัยว่า ถ้ารับบาตร จากสัตว์ จะเป็นการ
เคารพหรือเปล่า"
พ่อท่านย้ำ "อย่างที่บอก ที่จริงผู้ตักบาตร
ก็คือคนนั่นแหละ เพียงแต่ผ่านให้สัตว์แสดง ถ้าเราจะปฏิเสธ เราต้องมีเหตุผล
อธิบาย กับเขาได้นะ ไม่เช่นนั้น เราจะเสีย เพราะเป็นกรรมกิริยาที่ดี ไม่เสียหายอะไร
ก็รับไปเถอะ"
เมื่อเจอคำถามแปลกๆ พ่อท่านก็คิดแปลกๆ
ลึกลงไปอีก "ยิ่งถ้ามีสัตว์ ที่ไม่ได้ถูกใครสอน แต่มีใจ
อยากจะมา ใส่บาตรเองเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องรีบรับเลยนะ ไม่รับไม่ได้"
ข้าพเจ้าถามแทรกว่า "อย่างนี้แสดงว่า
เด็กเล็กมากๆ ยังไม่รู้เรื่องอะไร ยังไร้เดียงสาอยู่ แล้วพ่อแม่นำพา มาใส่บาตรพระ
ก็คงไม่ต่าง จากช้าง ใส่บาตรพระหรือเปล่าครับ"
พ่อท่านแนะให้คิด "มันต่างกันนะ
เด็กจะซึมซับ ได้มากกว่าช้าง เปรียบเหมือน เครื่องชั้นดีกับ เครื่องชั้นต่ำ
เครื่องชั้นดี ย่อมซึมซับ เก็บข้อมูล ได้มากกว่า เครื่องชั้นต่ำ เด็กเหมือนเครื่องชั้นดีกว่าช้าง"
สิกขมาตุ ยังคงตั้งคำถาม กรณีแปลกๆ
"แล้วอย่างกรณี คนอยู่บนรถเมล์ อยากจะใส่บาตร แต่
พอดีรถเมล์ ก็กำลังจะออก อย่างนี้ เราจะรับบาตร ได้หรือเปล่า"
พ่อท่าน "ถ้าไม่เสียหายอะไร
ก็รับได้ ดูที่จิตของเขา เป็นกุศล ในภาวะที่เร่งรีบอย่างนั้น ยังมีกะใจ จะทำบุญ
ใส่บาตร ก็ควรรับไปเถอะ"
ขณะขยับตัวเข้าห้องน้ำ พ่อท่านเปรยท้วงเล็กๆว่า
เอากรณี วิสามัญเล็กๆอย่างนี้ มาถามได้ สิกขมาตุ แจงเหตุว่า จะได้มีหลักมีแบบ
ที่เป็นบรรทัดฐานค่ะ
ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ จากบางส่วนที่พ่อท่านให้โอวาทปิดประชุม
๕ พาณิชย์ ๑๔ ม.ค.๔๕ ที่ สันติอโศก
"ทุกวันนี้คนเข้าใจเราได้มากขึ้น
แม้งานจะหนักขึ้น เรื่องมากขึ้น เมื่อมั่นใจชัดเจน ลดละ และ มีมรรคผลแล้ว
อีกกี่ชาติ ก็จะมาทำแบบนี้
พลังงานจิตวิญญาณของมนุษย์
เป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเราพัฒนา จิตวิญญาณ ขึ้นมาได้
ตนเองก็จะ ได้พึ่ง และโลกก็จะได้พึ่งด้วย พวกเราคงจะเข้าใจดี คงจะมั่นใจ
และควรจะสุขใจด้วยนะ ให้ปรับปรุง พัฒนาตนเอง อย่างน้อย ต้องมีตบะ
พยายามสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ นี่คือ สิ่งที่ไม่เสื่อม
ปฏิบัติอยู่ในหลักธรรม เพื่อพัฒนาตนเอง ให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป และ พึ่งตนให้ได้"
อนุจร
๑๓ มี.ค.๔๕
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๔๖ มีนาคม ๒๕๔๕) |