บันทึกคนวัด
เก็บความดี
ด้วยอาลัย
อ.๑๒
มี.ค. '๔๕ เช้ามืดของวันนี้ เดินทางไปร่วมงานฌาปนกิจศพสมณะกระบี่บุญ มนาโป
ที่ปฐมอโศก มีญาติธรรม เรียกว่า ทั่วประเทศ ทุกทิศเลย ไปร่วมงานมากจริงๆ สมณะกระบี่บุญ
เป็นสมณะ มหาเถระรูปที่ ๗ นับจากพ่อท่าน วันนี้สมณะมหาเถระ -สมณะมัชฌิมะ -สมณะนวกะ
ได้มาร่วม กล่าวระลึกถึง ท่านมนาโป ในช่วงทำวัตรเช้า และก่อนฉัน ต้องหาอาสนะมาเสริม
เพราะสมณะ มาหลายรูป รวมถึงพระ อาคันตุกะด้วย ทั้งสิกขมาตุ ก็มาจาก ทุกพุทธสถาน
ได้กราบนมัสการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับสิกขมาตุ
คุยกันไปคุยกันมาท่านออกตัวว่า ท่านยังเป็นคนมีอัตตา มานะมาก ยังรักตัวเอง
ทุ่มตัวลงกับหมู่ยังไม่มาก ยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่ ฟังแล้วก็รู้สึกว่า
ขนาดปฏิปทา ข้อวัตร ของท่าน เท่าที่เห็น แทบจะไม่มีบกพร่อง ท่านก็ยังถ่อมตัวขนาดนี้
ฟังท่านต่อไปว่า ท่านรู้กำลังของตัวเองดี
ช่วยงานกลุ่มแล้วเราต้องไม่ล้มไม่ป่วยด้วย จะได้ไม่เดือดร้อนผู้อื่น
รู้สึกประทับใจ ในการประมาณของท่าน ว่าช่วยได้แค่ไหน ไม่คุยโว โอ้อวดตัว
ฉันเองจึงพูดบ้างว่า สิกขมาตุพูดอย่างนี้ แล้วผู้น้อยล่ะ อัตตาไม่ยิ่งเต็มใหญ่เหรอ
ประทับใจในความจริงของท่าน มันกระแทก ความรู้สึกออกมา อย่างชัดเจน
คุยกันสักพัก ก็ไปขึ้นศาลาฟังรายการก่อนฉัน
ซึ่งวันนี้สมระมหาเถระจะกล่าวระลึกถึงท่านมนาโป ช่วงกินข้าวก็ฉาย VDO ประวัติของท่าน
ฟังไป กินข้าวไป ดูประวัติของท่านไปด้วย ดูๆไป เอ๊ะ! ทำไมภาพ มันพร่าๆมัวๆ
น้ำหล่อเลี้ยงตา ไม่น่าจะเยอะ ขนาดนี้ ก็น้ำตามันเอ่อขึ้น ที่เบ้าตา พร้อมกับความรู้สึก
จากใจจริงว่า ผู้ที่เรากำลังดู กำลังฟังอยู่นี้ ไม่มีตัวตนให้ได้เห็น ไม่มีเสียง
จากตัวจริงให้ได้ยินอีกต่อไปแล้ว ฉันรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ข้างๆ จะจริงหรือไม่จริง
ก็ไม่กล้าหันไปดู เพราะตอนนี้ นอกจาก จะต้อง กลืนข้าว ให้ลงคอให้ได้แล้ว
ยังจะต้องกล้ำกลืนน้ำตา ไม่ให้หยดแหมะ ลงมาให้ได้
เสียดายและอาลัยยิ่ง ฉายมาถึงสมัยที่ท่านเป็นสมภารปฐมอโศก
ได้ไปร่วมงานพุทธาฯ รายการ ๓ นาทีทองของเกจิฯ รีบจดคำสอน ของท่านได้คร่าวๆว่า
ที่ใดไม่อดอยาก เกษม ปลอดภัย เจ้าจงไปที่นั้นเถิด
ลูกเอ๋ย อย่าได้เศร้าโศก เสียใจเลย ฉันรู้สึกคำข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่นี้
ทำไมช่างฝืดคอซะเหลือเกิน ฉันยัง เศร้าโศกเสียใจ เพราะพ่ายแพ้กิเลส อยู่บ่อยๆ
รีบเปลี่ยน อิริยาบถ จดคำสอนของท่าน อีกอันหนึ่งได้ว่า ผู้ที่ดำรงอยู่ในศีล
จะมีความสว่างไสว ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า จดแล้วก็สอน ตัวเองว่า
แม้จะถูกขัดถูกตี ก็ต้องอดทน เพื่อจะไปสู่ชีวิตที่สว่างไสวขึ้น
ฉันยังจำได้ สมัยก่อนที่ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง
เวลาที่ท่านเทศน์ จะมีความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น เอาจริง ให้คนมาถือศีล กินมังสวิรัติ
เพราะสมัยนั้น มังสวิรัติยังอยู่ในยุคบุกเบิก ท่านสอนให้เลิกอบายมุข เลิกกินเหล้า
สอนคนให้มาเป็นพระ คือให้เป็นคนมีศีล เคยคุยสนทนากับท่าน เพื่อให้ท่านช่วยตอบ
แก้ปัญหาให้ ฉันสัมผัสได้ กับความเป็นผู้เบาบาง จากกิเลส ท่านมีความอาจหาญ
แกล้วกล้า เพราะท่าน ไม่กลัวกิเลส สมัยนั้น ฉันกลับกลัวกิเลสหาย เพราะจะ
ไม่ได้เสพย์ ฟังธรรมจากท่านแล้ว รู้สึกเบา โล่งขึ้น เพราะได้แนวปฏิบัติ ถือว่าท่านเป็น
อาจารย์คนหนึ่ง ของฉัน เหมือนกัน
ก่อนฌาปนกิจศพ พ่อท่านได้ให้โอวาทคำสอนที่เมรุ
สรุปว่า ทุกคนมีกรรมเป็นที่พึ่งของตน ช่วงเดิน
เวียนธรรม รอบเมรุ หันหลับกลับไปดู ไม่เคยเห็นญาติธรรมมาร่วมงานศพใคร มากเช่นนี้มาก่อนเลย
ออกจากปฐมอโศก ราวๆเกือบบ่าย
๓ โมง นั่งรถตรงดิ่งไปวัดลาดปลาเค้า กทม. เพื่อร่วมงานฌาปนกิจศพ คุณแม่ลัดดา
ฟังประไพ น้าของคุณแพรฝัน ซึ่งนับถือเป็น ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง มีสมณะมาร่วมงาน
๑ คันรถตู้ ญาติธรรมอีก ๑ คันรถกระบะ นับว่าเป็นบุญเพิ่มของงานศพ ที่มีผู้ทรงศีล
ปฏิบัติธรรม ได้มา ร่วมงานด้วย
ถึงกำหนดเวลา ก่อนเผาเจ้าภาพซึ่งเป็นลูกชายคนโต
ได้ขึ้นอ่านประวัติ ของคุณแม่ตนเองให้ฟัง ได้ความว่า คุณพ่อเสียชีวิต ตั้งแต่ตนเองยังเล็กๆ
คุณแม่จึงต้องต่อสู้ผจญชีวิต เลี้ยงลูก ๓ คนจนเติบใหญ่ สำเร็จ การศึกษา มีงานทำเป็นหลัก
เลี้ยงดูตนเองได้ จนมีครอบครัว เป็นหลักฐาน
เจ้าภาพอ่าน-เล่าไปพร้อมเสียงสะอื้นเป็นระยะ
มาบัดนี้ร่างกายได้ดับสลาย ดินกลับคืนสู่ดิน น้ำคืนสู่น้ำ
ลมคืนสู่ลม ไฟกลับคืน สู่ไฟ ทำเอาฉันเอง ชักจะมีน้ำล้างตา เกิดขึ้นอีกแล้ว
ชำเลืองมองดูแขก ผู้มาร่วม งานในพิธี พากันเอาผ้า ขึ้นซับน้ำตา กันหลายคน
ประทับใจ ในการต่อสู้ กับชีวิตของคุณแม่ เฮ้อ ต้องสะกด กลั้นไว้ อย่าปรุงต่อ
อย่าปล่อยอารมณ์
ความจริงหรือสัจจะก็รู้อยู่แล้ว
เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ใครก็หนีไม่พ้น ตนเองก็เช่นกัน รีบทำความดี แล้วเก็บ ความดี
เก็บกุศล ผลบุญ ใส่กระปุก ไว้เป็นทุนให้มากๆเถอะ ถึงเวลาต้องเผชิญผจญภัยอะไร
ในอนาคต จะได้มีสติ สัมปชัญญะ มีปัญญาที่ถูกตรง ในการที่จะดำรงชีวิตให้ อยู่อย่างไม่เจ็บปวด
บอกช้ำ สะเทือนใจ จนเป็นทุกข์ มากเกินไป
จากงานทั้ง ๒ ที่ไปร่วมในวันนี้
ก็เป็นประโยชน์แก่ตน ที่ทำให้ฝึกตัดจิตตัดใจ ฝึกปรับจิตวาง ใจกับตัวติดยึด
ตัดผูกพัน ในตัวตน การพลัดพราก จากสิ่งที่รัก เป็นทุกข์ สิ่งที่เรา
อาลัยอาวรณ์คือ คุณงามความดี ของผู้ที่จากไป ความตาย ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย
เป็นเพียง ปรากฏการณ์หนึ่ง ของชีวิต ที่มีการเกิดก็มีการดับ ถ้าเรารู้เท่าทัน
ก็จะไม่เศร้าโศก ในบรรยากาศ ของความเศร้าโศก เมื่อยังมีลมหายใจ ก็ควรฝึกตั้งตน
อยู่ในความไม่ประมาท คืนนี้นอนหลับ ด้วยความปล่อยวาง
สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
อ.๑๙ มี.ค.'๔๕ อะไรที่ยั่งยืนที่สุดในวัฏฏสงสาร
ความที่ยังอยู่กับทุกข์ในโลกนี้ยั่งยืนที่สุด พ่อท่านบอก
เรายังมี ทุกข์มาก เพราะมัน ไม่ได้สมใจ ความสมใจในพยาบาท สมใจในราคะ สมใจในโลภ
เป็นสุขเพราะ ผลของกิเลส ได้อย่างใจ ก่อกรรม ก่อวิบากเพิ่มขึ้น เป็นทุกข์แบบโลกๆ
แต่ทุกข์ที่ต้องต่อสู้กับกิเลส มันลำบาก มันเหนื่อย มันยากที่จะต้องฝืนใจ
หัดดัดจริต ไปสู่ดี หากจับกิเลสได้ถูก ลดสักกายะลงไปเรื่อยๆ คงจะเป็นสุขจริงๆได้
ตอนนี้ VDO ที่กำลังฉายเรื่อง
คุณค่าของมนุษยสัมพันธ์ ครอบครัวสัมพันธ์ สังคมสัมพันธ์ เป็นชื่อที่พ่อท่าน
ตั้งไว้ ฉันก็พยายาม ที่จะทำความสัมพันธ์ ในลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน แต่หากว่า
คงจะสัมพันธ์ ไม่ถูก บางกาละ ไม่ถูกใจ ไม่ถูก... หรือคำพูดของเรา ที่คิดว่าดีแล้ว
ก็ถูกกระแทกกลับ ได้เช็กวิมุติจริงๆ เรายังมีอัตตา ตัวตนก็แสดงออก ดูใจว่า
จะมีวิริยะ ที่จะไปสัมพันธ์ต่อหรือไม่ หรือขอแค่นี้พอ
การไม่ต้องไปสัมพันธ์กับคนอื่น
ไม่เห็นยากเลย คนในเมืองเขาก็อยู่กันแบบนี้แหละ ตัวใครตัวมัน สบายมาก แต่ต้องไป
สัมพันธ์ กับคนอื่นนี่สิยาก มันต้องฝืนใจ การประมาณให้พอเหมาะ ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
พ่อท่านสอน ให้หัดสนใจ กับความรู้สึก ของคนอื่นบ้าง ในVDO เรื่องนี้ก็สอนว่า
ถ้าเราพูดตรงเกินไป บางครั้งก็ทำให้คนอื่นเสียใจ
การโต้แย้งไม่ยาก แต่การอดเพื่อจะชนะใจตนเองยากกว่า
ก่อนพูดอะไรออกไป ได้คิดหรือยัง ว่า คำพูดนี้ จะไป เบียดเบียนคนอื่น หรือเปล่า
ไปทำร้ายคนอื่น เพื่อความสมใจหรือเปล่า ไม่ว่าผู้ใหญ่ หรือผู้น้อย สิ่งที่ได้เห็น
ได้รู้ ได้ประสบ ก็เป็นตัวอย่าง ว่าต่อไป ข้างหน้า เราจะไม่ แสดงกิริยาอย่างนี้
จริตอย่างนี้ นิสัยอย่างนี้ เป็นความตั้งใจ จะได้มากได้น้อยก็ยังดี สิ่งต่างๆ
ที่ทำไว้ไม่ไป จากโลกแน่นอน
สุดท้ายก็ต้องปรับใจตัวเอง
ให้ยินดีในการที่ได้มาอยู่ในหมู่คนดี ทุกคนก็ตั้งใจจะมาทำดี เราก็ต้องปรับจิต
ให้ดีๆ ยึดติดมากก็ทุกข์ อยู่คนเดียว เมื่อแต่ละคนยังไม่นิ่ง ไม่เนียน กระทบกันไป
กระทบกันมา ขัดกันไป ขัดกันมา ผู้มีปัญญา ย่อมตักตวง เอามาเป็น ประโยชน์ที่
จะแก้ไขตนเอง ให้รู้จักประมาณกาล บุคคล เวลา โอกาส ประโยชน์ตนย่อมมี ค่าเหนือสิ่งอื่นใด
ประโยชน์ท่าน ก็ต้องให้มากขึ้นด้วย เพราะเราต้องเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ออกไป
โดยเนื้อในก็ต้อง แน่นด้วย
จิตนี้แลฝึกได้ยาก เป็นสัจจะชัดเจน
ต้องประคับประคอง ดัดให้อ่อนด้วยความอดทน ข่มใจ ฝืนใจ ต้องแก้และทำ ในทิศทาง
ที่เห็นว่าดี ไม่เช่นนั้นก็จะฝึกตน ฝึกใจของเราไม่ได้เลย
ชมคนด้วยวาจา
มีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจา สาหัสยิ่งกว่า ทิ่มแทง
ด้วยหอกดาบ
-ซุนวู-
ศ.๒๒ มี.ค.๔๕ เมตตาต่อตัวเราได้
ก็คือเราได้ให้ความเคารพ ให้ความรักศรัทธากับตัวเอง จงถอดถอน อคติที่มีอยู่ในใจ
เพราะการเพ่งโทษ และอคติ เป็นสิ่งทำให้ไม่มีความสุข ต้องเรียนรู้ เพื่อให้เกิดปัญญา
เมื่อกระทบกับทวารทั้ง ๖ ต้องใช้ประตูทั้ง ๖ นี้ให้เป็น
ในการที่จะไม่ทำ ให้ใจของตนเองกระเทือน ถ้ากระทบ แล้วไม่กระเทือน เราก็จะ
เข้าใจคนอื่น จะเมตตา และเห็นใจคนอื่น
เขามีกิเลส เราก็มีกิเลส ถ้าควบคุมได้
เราก็จะไม่กระแทกออกไป ก็คือจะไม่ทำให้เขา เจ็บปวด เพราะคำพูด ของเรา และเราก็จะ
ไม่เจ็บปวด ถ้าเป็นฝ่ายถูกกระทำ เราเมตตาต่อตัวเราเอง เราก็จะไม่ทุกข์ เพราะ
พฤติกรรม ของคนอื่น ถ้าเราทำไม่ได้ เราก็จะเจอโจทย์ อย่างนี้ไปเรื่อยๆมาทดสอบ
อย่างเช่นเรื่องการมีชีวิตคู่
ถ้าเรายังชอบ ยังยินดีชื่นมื่นกับพระเอกนางเอกใน VDO ยังพอใจกับอดีต ที่เคยหวานชื่น
หรือว่าริษยาที่รู้ว่า ใครเขาชอบพอกับใคร เป็นต้องเข้าไปสอบถาม เราจะเจอคนมาคุย
มาเล่าเรื่องครอบครัว ตอนนี้แหละ ต้องดูจิตตัวเอง จะหลงใหลแอบเสพ หรือ ละหน่ายคลาย
เห็นทุกข์ และช่วยแก้ปัญหา โดยที่ไม่ต้อง ไปเป็นเอง หลงทางก็ไม่พัฒนา
ทุกข์เพราะ พฤติกรรม ของคนอื่น ก็ทำร้ายตัวเอง รู้อย่างนี้แล้ว ต้องรีบทำที่ตัวเอง
ดีกว่าเก็บ ความไม่ดีมาใส่ตัว เราเชื่อใน กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ทำอะไรได้อย่างนั้น
อสงไขไม่เนิ่นนาน
สำหรับผู้บำเพ็ญบารมี
ร้อยดอกศีล
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๔๖ มีนาคม ๒๕๔๕) |