จากวันนั้นมา ผมก็ไม่สบายใจเลย ในใจคิดว่าตนเองได้ทำบาปกรรมลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทำให้ศีลข้อหนึ่ง ของผมขาดไป ผมเสียใจจริงๆ ทุกๆเช้าที่ผมตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้า
เหมือนดั่งชาวอโศกที่เคยพาทำมา ผมสวดมนต์ ไหว้พระเสร็จ ก็จะตั้งจิตอธิษฐานขอขมาโทษต่อดวงวิญญาณของเจ้านกพิราบตัวนั้น
ที่เป็นเจ้ากรรม นายเวรของผมอยู่เสมอ
ผมได้ศึกษาธรรมะกับพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์และสมณะชาวอโศก
ท่านก็พร่ำสอนอยู่เสมอๆว่า กรรม คือ การกระทำ ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ
ไม่ว่าจะกระทำกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตาม ไม่ว่าเจตนา หรือไม่เจตนาก็ตาม ไม่ว่าในที่ลับหรือในที่แจ้ง
ย่อมจะได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน
๒๘ ต.ค.๔๓ นับเวลาได้เดือนกว่าๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว
ผมมีธุระจะต้องไปเขียนเรื่อง "กรรมตามสนอง" จากพระ วัดทรายมูล
บ้านแดงใหญ่ เพื่อเอามาถ่ายทอดลงในสารอโศกให้ท่านผู้อ่าน
เช้าวันนี้ หลังจากที่ผมรับประทานอาหารเสร็จ
ผมก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ ใส่หมวกกันน็อค ขับมุ่งตรงสู่วัด ทรายมูล ซึ่งอยู่ห่างออกไป
จากบ้านของผมประมาณ ๗ กม. ไม่นานผมก็ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ มาถึงหมู่บ้าน แดงใหญ่
อันเป็นหมู่บ้าน ที่ผมจะมาทำธุระในครั้งนี้
ในขณะที่ผมขับรถไปตามถนนสายกลางหมู่บ้าน
เพื่อมุ่งตรงไปสู่วัดนั้นเอง ผมได้ขับรถมาช้าๆ แล้วก็จะ เข้าถึง ประตูวัดอยู่แล้ว
พอดีตรงประตูวัดจะเป็นถนนสี่แยกอยู่ตรงหน้าวัดพอดี
ทันใดนั้น ได้มีคนขี่รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง
วิ่งมาด้วยความเร็วสูง มาจากเส้นทางด้านทิศเหนือ ลงมาทาง ทิศใต้ ส่วนผมวิ่งรถ
จากทิศตะวันตก มาทิศตะวันออก พอดีตรงมุมสี่แยกนั้น จะมีต้นไม้บังตาของผมอยู่
หูผมก็ไม่ได้ยินเสียง ของรถเขาด้วย
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าให้ผมฟัง หลังจากที่ผมหายป่วยแล้วว่า
วันนั้นในหมู่บ้านนั้นมีงานศพคนตาย เจ้าคนขับรถ คันที่มาชนผม เขากินเหล้ามา
เขาเมาเหล้าจึงขับรถประมาท ขาดสติ พอผมขับรถโผล่ออกไป สี่แยกหน้าวัดนั้น
รถมอเตอร์ไซค์คันนั้น (ผมเรียกมันว่า รถเจ้ากรรมนายเวร) เขาได้ขับมาพุ่งชน
เข้าล้อหน้า รถของผมพอดี
ด้วยความเร็วของรถ ด้วยความแรงของการปะทะ
จึงทำให้ทั้งสองคนที่ขับขี่มานั้น ต้องกระเด็นกระดอน กันไปคนละทิศ ละทาง
เขาก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน พวกญาติๆของเขาพอรู้ว่าเขาได้รับอุบัติเหตุ
ก็พากัน นำร่าง ของเขาส่ง สถานีอนามัย แถวใกล้ๆนั้น
ส่วนตัวผมเองหลังจากกระเด็นตกจากรถลงไปแล้ว
หมวกกันน็อคที่สวมใส่อยู่ ได้หลุด ออกจากหัวของผมไป หัวและร่าง ของผม ฟาดกับพื้นถนนคอนกรีตเต็มแรง
ถึงกับทำให้ผมสลบไปเลย ผู้คนต่างก็พากันมามุงดูผม พวกเขาก็พากันคิดว่า ผมได้ตายไปแล้ว
ปล่อยให้ผมนอนสลบตากแดดอยู่อย่างนั้นนานพอสมควรทีเดียว
กระทั่งมีเพื่อนผมคนหนึ่งได้มาพบเข้า เขารีบปฐมพยาบาลผม
สักครู่ผมจึงรู้สึกตัวได้สติขึ้นมา ผมเห็นผู้คน มุงดูผมมากมาย จึงแปลกใจถามเขาไปว่า
"มาดูผมทำไม"
เพื่อนผมตอบผมว่า "มึงน่ะโดนรถชน
ไม่ตายก็บุญโขแล้ว" หากกูไม่มาเห็น มึงอาจตายแล้วก็ได้ จากนั้น เขาก็ได้
โทรศัพท์ เข้าบ้านของผม เพื่อให้ลูกเมียได้รู้ข่าว การประสบอุบัติเหตุของผม
ไม่นานนัก น้องสาว น้องเขย และ ลูกเมียของผม ก็มารับผมไปส่งโรงพยาบาลขอนแก่น
ผมต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถึง ๓ คืน กับ ๔ วัน คุณหมอเห็นว่า ผมปลอดภัยดีแล้ว
จึงให้กลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ต้องมาพักฟื้น อยู่ที่บ้านอีก เป็นเวลาถึง
๒ เดือนกว่าๆ ร่างกายจึงแข็งแรง เข้าสู่ภาวะปกติดี
ผมมาคิดได้ในภายหลังว่า ที่ผมเจออุบัติเหตุในคราวนี้นั้น
มันคงเกี่ยวเนื่องมาจากวิบากกรรม ที่ผมเคยขับรถ ทับนกพิราบตาย ในวัดคราวนั้น
แน่นอน ต้องมาถูกรถชนอยู่ใกล้ๆวัดเหมือนกัน อุบัติเหตุที่เกิดกับ ชีวิตของผม
ในคราวนี้ ผม ตั้งชื่อว่า "อุบัติเหตุ แห่งกรรม" นั้นเอง
ผมรู้สึกดีใจมาก ที่ได้ชดใช้กรรมเขาเร็ว
ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นหนี้กรรมหนี้เวรเขาอีกนานทีเดียว และดีใจมาก ที่เขาไม่เอา
ผมถึงตาย
สำหรับคนที่ขับรถมาชนรถผมนั้น ผมคิดว่า
มันเกิดจากแรงกรรมของผมเอง จึงไม่เอาเรื่องกับเขา เมื่อเจ้าทุกข์ ไม่เอาเรื่อง
เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงให้ทั้งสองฝ่าย ลงบันทึกเอาไว้ แล้ว ก็ปล่อยให้เขาเป็นอิสระไป
พระท่านว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
- ก่อแก่น -
๑๕ ก.พ.๔๕
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๔๗ เมษายน ๒๕๔๕)
|