สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
- ทีมสมอ.
สร้างคน สร้างดิน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานจนมนุษย์ลืมไปว่าปัจจัย
๔ อันคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย เกิดจากธรรมชาติเป็นผู้สร้าง
มนุษย์ดัดแปลง เปลี่ยนแปลง เสริมแต่งธรรมชาติด้วยศักยภาพที่สูงสุดจนหลงไปว่า
"ตัวข้า" คือผู้สร้าง ทุกสิ่งในโลก
"อหังการ์มนุษย์"
ทรงพลังทำลายโลกได้ทั้งใบ เมื่อทำร้ายธรรมชาติ
ทำร้ายโลก นั่นคือมนุษย์กำลังเดิน เข้าสู่หายนภัย สู่ความตาย อาจสายเกินไป
ถ้ายังไม่หยุดทำร้ายธรรมชาติและคืนสมดุลให้ธรรมชาติ
เมื่อไรเสียงนี้จะดังก้องโลก และ
คนทั้งโลกได้ยิน!
จากบทสัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
และกสิกรรมไร้สารพิษ ว่ามีคุณ อเนกอนันต์ แก่โลกเพียงใด เพื่อสยบอหังการ์มนุษย์!
- ทำไมพ่อท่านพูดว่า "อยากให้กสิกรรมไร้สารพิษอยู่คู่กับชาวอโศก"
คะ?
* หมายความว่า กสิกรรมไร้สารพิษ เป็นอาชีพเป็นงานหลักของมนุษย์ไม่ใช่งานฉาบฉวย
ไม่ใช่งานโชว์ ไม่ใช่งาน ทำเล่นทำปลีกย่อยเท่านั้น แต่เป็นงานสร้างสรร เป็นงานคู่ชีวิตมนุษย์
ต้องกินต้องใช้ ต้องอาศัย ในชีวิต เป็นงาน สำคัญของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นงานนี้ขาดไม่ได้ในสังคมโลก
คนจะรังเกียจ หรือเห็นว่า เป็นงานต่ำก็ไม่ได้ ต้องเห็นให้แจ้งจริงว่า เป็นงานที่สูงส่ง
เป็นเนื้อหาสาระ แห่งความเป็นชีวิตมนุษย์ เป็นงานสำคัญที่สุดของสัตว์โลก
เพราะมนุษย์ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า กสิกรรม หรือพืชพันธุ์ธัญญาหาร แท้ๆยังชีพ
อาตมาจึงเน้นกำชับกำชาเพื่อให้เกิดภูมิ
ให้เกิดปัญญา ให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ที่จะยินดี ในงานอาชีพ ชนิดนี้
ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องพูดกันเล่นๆ ด้วยปัญญาฉลาดเฉลียว แต่ไม่มีจิตที่ทำจริง
ไม่มีจิต ที่จะรู้สึกยินดี รู้สึกชื่นชอบ รู้สึกต้อง ผูกพันรักษางานนี้ ให้ถาวรนิรันดร์
ซึ่งมนุษยชาติควรยินดี ส่งเสริม สนับสนุนและยกย่องเชิดชูด้วย งานนี้จึง พยายาม
เน้น ให้ชาวอโศกเห็นความสำคัญ ในความสำคัญ ชาวอโศกต้องรู้ว่า งานกสิกรรม
โดยเฉพาะที่เราใช้คำว่า "ไร้สารพิษ" ก็เพราะว่า ไม่ควรมีพิษมีภัย
ควรทำ กสิกรรมให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นกสิกรรมที่มีคุณค่าประโยชน์ และปราศจากโทษใดๆ
ทั้งหมด
ถ้าใครเห็นความจริงและเข้าใจจริงๆ ถึงจะมีใครว่าหรือดูถูกดูแคลนว่าราคาถูก
อย่าว่าแต่ ราคาถูกเลย แม้ลำบาก ลำบนหนัก หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ดูเหมือนมันต่ำต้อย
ไม่หรูหราฟู่ฟ่า แต่พวกเราต้องเข้าใจ แก่นสารสาระลึกซึ้งให้ได้ว่า
กสิกรรมไร้สารพิษเป็นงานที่สุดยอด ก็อยากให้พวกเราใช้วิจารณญาณ เท่าที่เราจะฉลาด
มีภูมิรู้จะเข้าไปรู้ เข้าไปเป็น ให้ชาวอโศก ยึดถือไว้เป็นวัฒนธรรม เป็นแก่น
แห่งอาชีพ นี้เอาไว้
ส่วนใครจะไม่เข้าใจ ใครจะไม่เอา ใครจะรังเกียจก็ตาม
ชาวอโศกต้องยืนหยัดยืนยัน รับผิดชอบดูแล และ ทะนุถนอม รักษาเนื้อแท้ ของกสิกรรมไร้สารพิษ
ไปตลอดกาลนานให้ได้
- วันนี้พ่อท่านพอใจหรือยังคะ?
* ยังไม่พอใจ เพราะพวกเรายังไม่เห็นจริงตามที่อาตมากล่าวมาแล้วทั้งหมด ว่านี่เป็นงานวิเศษสุด
ที่เราต้องทำ และต้องอาศัยอยู่กินกับมัน ไปตลอดชีวิต ถ้าเราอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร
มีสมรรถภาพ ในการที่จะ เข้าใจ เรื่องของนิเวศน์วิทยา ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อมต่างๆ และ เราก็ทำได้อย่างดี อย่างถูกต้อง มีคุณภาพ ทางสารอาหาร
มีคุณค่าทางโภชนาการ นำมาใช้กับชีวิต แม้ที่สุดสิ่งที่ชีวิตจะต้องอาศัย เช่น
เครื่องใช้ไม้สอย เครื่องนุ่งห่ม การสร้างบ้าน สร้างเรือน สถานที่อาศัย กระทั่งผลิตเป็นยารักษาโรค
ซึ่งเป็นปัจจัย ๔ ที่สำคัญ ของมนุษย์ แท้ๆ ก็มาจากพืชพันธุ์ต่างๆ เช่นกัน
จริงๆ แล้วชีวิตไม่ต้องไปเอาอะไรอื่นอีก
ไม่ต้องไปวุ่นวาย ดิ้นรน เดือดร้อน นอกจากรู้เรื่องกสิกรรม ให้สมบูรณ์ และ
มีสมรรถนะก็พอ มีความรู้อย่างลึกซึ้งชัดเจน
ที่จะรู้ว่าชีวิตมนุษย์ควรอยู่ด้วยอะไรบ้าง โดยไม่ต้อง ห่วงอะไร แม้เราไม่มี
จรวด ไม่มีวิทยาการใดๆ เราก็อยู่รอดสบายแล้ว
- คนคนหนึ่งมาทำกสิกรรมไร้สารพิษ
ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้สารเคมี เท่านี้ก็จบหรือคะ?
* ไม่จบแค่นั้น ต้องมีพหูสูต มีความรอบรู้ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ ปฏิสัมพัทธ์กับอะไรต่ออะไร
ในชีวิตพอสมควร และ ก็รู้ว่าขอบเขตใด ที่เฟ้อแล้ว เกินแล้ว เรียกว่ามันไร้ค่า
หรือคุณค่าต่ำลงไปแล้ว ก็ต้องมีภูมิปัญญา มีความเฉลียวฉลาด ที่จะรู้จักสัจจะ
ความจริง พวกนี้เสริมด้วย ไม่ใช่แค่ทำกสิกรรม ไร้สารพิษได้ก็จบ ยังไม่พอหรอก
ต้องเชี่ยวชาญ และมีความรอบรู้ ในสิ่งต่างๆ เช่น ไร้สารพิษจะเอาอะไร มาประกอบมาผสม
รวมทั้งระยะเวลา รายละเอียดต่างๆ มีคุณค่า มีธาตุอาหารอะไร ที่เป็นประโยชน์
หรือเป็นโทษ ก็ต้องศึกษา ให้รู้ลึกซึ้งเข้าไปอีก ทำเป็นสูตร เป็นทฤษฎี วิชาการออกมา
ให้มนุษยชาติไว้ศึกษา
ทุกวันนี้คนเราไปเพิ่มพูนแต่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์
ดาราศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์ มากเกินไป โดยไม่เห็น ความสำคัญ ด้านเกษตรกรรม
กสิกรรม ซึ่งแสดงว่า เรากำลังเผินแล้ว เลอะเลือนไปแล้วต่างหาก
- มองข้างหน้าอย่างไร
ถ้าภาพรวมของประเทศเป็นกสิกรรมธรรมชาติจะเกิดผลอย่างไร?
* ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่า วัสดุที่สังเคราะห์มาจากวิทยาศาสตร์ซึ่งนำมาทดแทน
นำมาใช้นั้น มีปริมาณสูงมาก เพราะ ฉะนั้น ถ้ากสิกรรมธรรมชาติ สามารถทำผลผลิต
ที่เป็นธรรมชาติของธรรมชาติขึ้นมาได้ เราก็ไม่ต้อง ไปสังเคราะห์ วัสดุพวกนั้น
เพราะการสังเคราะห์ จะก่อให้เกิดผลข้างเคียง เกิดรังสี เกิดความร้อน เกิดขยะ
เกิดสิ่งที่ เป็นกาก ที่เป็นมลพิษ ซึ่งจะก่อผลกระทบทำให้ธรรมชาติเดิมๆ ที่อยู่ในสมดุลของมันเปลี่ยนไป
เกิดอะไร ที่แปลกแยก เกิดอะไรที่แตกต่าง เกิดอะไรที่เข้ากันไม่ได้ก็กลายเป็นพิษ
เป็นปฏิปักษ์กันขึ้นมา
ทุกวันนี้จึงเกิดอะไรที่แปลกพิสดารต่างๆ
ซึ่งเราตามหาสาเหตุไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ ไม่เหมือน ความสมดุลเดิมๆ ที่เป็น
ธรรมชาติดั้งเดิม ซึ่งยั่งยืนมานาน และไร้พิษ ไร้ภัย ไร้โทษ เพราะฉะนั้น
ถ้าเราไม่จำเป็น ต้องไป สังเคราะห์ สิ่งเหล่านั้น ขึ้นมาทดแทน โดยเรามีธรรมชาติที่สมดุลเพียงพอ
พิษภัยต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้นแก่โลก ชั้นโอโซนก็ไม่ต้องทะลุ เป็นรูโหว่ ความร้อนก็ไม่สูงขึ้น
เศษขยะที่เป็นมลพิษต่างๆ ก็จะไม่มากลบทับถม อยู่ในโลก อยู่ในสังคมอย่างที่มันเป็น
มนุษย์ก็ จะอยู่กันได้ อย่างสงบ อยู่กันอย่างสะดวกคล่องตัว
- ความเห็นของพ่อท่านในเรื่องขยะ?
* ขยะเป็นภัยต่อโลก อาตมาได้พยายามชี้ พยายามพูด พยายามเตือนมนุษย์มาตั้งนานแล้ว
ซึ่งพวกเราก็รู้อยู่ ขยะเป็นเรื่อง ที่ต้องใส่ใจต้องศึกษา อาตมาเคยพูดขนาดว่า
แม้มหาวิทยาลัย ก็ควรตั้งคณะขยะวิทยาขึ้นมา อย่างจริงจัง
เพื่อที่จะศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจ ตั้งแต่ระดับของขยะ ที่นำมาใช้ซ้ำได้อยู่
(reuse) และที่จะต้อง ซ่อมแซมใช้ (repair) ต้องทำให้นำมาใช้ประโยชน์ หมุนเวียนได้อีก(recycle)
หรือขยะอะไร ที่ต้องทิ้ง ต้องทำลาย (reject) ก็ต้องทำจริงๆ ซึ่งพวกเราก็แค่กระเตื้องขึ้น
เพราะยังไม่เห็นความสำคัญจริง อย่างเป็นภูมิธรรมเป็นสัจจะ
อาตมาก็รู้ว่ามันยากนะ เพราะขยะเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ
เป็นเรื่องสกปรกเลอะเทอะ เป็นเรื่องเน่าเหม็น คนเรา โดยสามัญสำนึก ก็รู้อยู่แล้วว่า
ขยะไม่น่ารื่นรมย์ ไม่น่าสนุกสนาน เลยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้น
ถ้าไม่มีใจจริงๆ ไม่มีปัญญาขั้นญาณขั้นภูมิธรรม เห็นในความสำคัญ จนกระทั่ง
เกิดความยินดี ที่จะเห็นแก่ มนุษยชาติ เห็นแก่โลก เพื่อช่วยแก้ไขในด้านนี้
รวมทั้งถ้าไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีอุดมการณ์ และไม่มี มโนธรรมสูงสุด คนคนนั้นก็ไม่เต็มใจ
ที่จะทำหรอก แม้จะให้ราคาสูงเท่าคนใช้สมองก็ตาม แต่ใครล่ะ จะให้ราคาอาชีพนี้แพงๆ
เพราะฉะนั้น ขยะจึงต้องเป็นงานของคน ที่มีฐานะแห่งภูมิปัญญา
ภูมิธรรมที่สูง และต้องเป็นคน ที่เต็มใจ เสียสละ จริงๆ คนที่มีภูมิธรรม มีคุณธรรมสูงจริง
จึงจะมาทำด้วยยินดี และ เป็นสุข มิใช่ต้องทำ เพราะจำนน หรือ ยากจน
- สักวันอาจมีบริษัทรับซื้อขยะ
พ่อท่านมีความเห็นอย่างไรกับคำนี้ หรือใช้ว่าบริษัททำเรื่องขยะจะดีกว่าคะ?
* ควรจะเกิดในหมู่พวกเรา และชาวอโศกควรจะเป็นตัวตั้งตัวตี เอาภาระที่แท้จริง
ยังมีความรู้ในเรื่องขยะ อีกมาก ที่อาตมา ไม่ได้พูด เพราะที่พูดนี้ก็เป็นเพียงหัวข้อใหญ่ๆ
เป็นหลักการใหญ่ ซึ่งมันยังมีรายละเอียด ที่ลึกซึ้ง ที่จะต้อง ศึกษากันเป็นวิชาการอีกมากมาย
- คนชนบทควรทำเรื่องเกษตร
คนเมืองควรทำเรื่องแยกขยะ?
* นี่คือความเจริญที่แท้จริง ถ้าคนในชนบทตามจังหวัดต่างๆทำงานกสิกรรมก็ดีแล้ว
เพราะขยะมีน้อย ส่วนใหญ่ จะเป็นขยะ ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีมลพิษอะไรมากมาย
ต่างจากในเมืองซึ่งมีขยะมาก ทั้งหีบห่อ กล่องต่างๆ ที่แข่งขันกัน ผลิตออกมาประโลมโลก
ซึ่งมันสังเคราะห์อยู่ในเมืองเยอะ และการสังเคราะห์ ก็มีมลพิษมีผลข้างเคียง
เป็นขยะออกมา เราจึงต้องมาช่วยโลกในส่วนนี้ ทั้งลงมือกระทำการปรับปรุง จัดการจัดแจง
เป็นตัวอย่าง เพื่อเผยแพร่ ความรู้ และสร้างนิสัย ให้แก่มนุษยชาติด้วย
การเกษตรกับเรื่องขยะต้องพึ่งกัน
อาตมาจึงได้บอกว่า ถ้าเริ่มทำเรื่องกสิกรรมกันจริงจังแล้ว ต้องพยายามทำต่อ
ให้ครบเป็นวงจร ที่มีกสิกรรม ปุ๋ย และขยะ
ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวมองเห็นง่าย และ ทำได้จริงๆ เอาแค่นี้ก่อน แต่มันยังมีส่วนขยาย
ยังมีโครงสร้าง เป็นปฏิสัมพัทธ์ต่อไปอีก
- ขอสัก ๒-๓ ประโยคจากพ่อท่านถึงพวกเราเพื่อปลุกจิตสำนึก
* อยากจะให้เอาจริง อยากจะให้เห็นความสำคัญ และอยากให้มีปัญญาทำความเข้าใจ
ให้สำคัญ โดยเฉพาะ ในเรื่อง กสิกรรมไร้สารพิษ ว่าเป็นหัวใจสำคัญ ของมนุษยชาติ
และขยะนั้นคือ ภัยร้าย ที่จะทำลาย มนุษยชาติ
- ขอถามถึงมลพิษเกี่ยวกับเด็กนักเรียนของชาวอโศกบ้างนะคะ
เมื่อมีเด็กนักเรียนทำความผิด ในแต่ละ พุทธสถาน จนถึงขั้นไล่ออก เรารู้สึกเป็นเรื่องเสียหาย
เสียหน้า จนต้องพยายามปิดบังกันหรือไม่ ซึ่งทำให้เกิด การซุบซิบ บางที พูดเล่าต่อ
จนข้อมูลผิดเพี้ยน หรือว่าควรนำมาพูดคุยเปิดเผย อย่างยอมรับความจริง และหาทางแก้ไข
จะโดยวิธีใด ที่ไม่ทำให้เด็ก ผู้กระทำผิดเสียหาย ภาพชาวอโศก จะได้ไม่เหมือนทางโลกย์
ที่นำแต่เรื่องดีมาอวดกัน แต่จะเป็นภาพ ชาวอโศก ที่ยอมรับได้ทั้งส่วนดีและส่วนเสีย
อย่างเห็นเป็นเรื่อง ธรรมดา?
* จริงๆ แล้ว เราก็ไม่ได้ปกปิด และก็ไม่ได้หมายความว่า เราเองจะอายขายหน้าอะไร
ก็ไม่ใช่ แต่เรารู้ว่า คนส่วนใหญ่ ยังประมาณอะไร ไม่ได้เท่าที่ควร
คนที่มีวุฒิภาวะยังไม่พอ แม้แต่เป็นผู้ใหญ่หรืออายุมากแล้ว ถ้าวุฒิภาวะยังไม่พอ
คุณวุฒิก็ยังไม่พอ ก็จะประมาณความเหมาะสมไม่ได้ แต่เราต้องรู้ว่าสิ่งนี้ควรพูด
ควรเปิดเผย หรือไม่ควรเปิดเผย เท่าใด บางสิ่งบางอย่างขนาดนี้ อย่างนี้ เราก็ต้องมีหลักการว่า
อย่าเพิ่งเอา ไปเปิดเผย ไม่ควรเปิดเผย อันนี้เปิดเผยได้ เท่านี้ๆ เป็นต้น
พระพุทธเจ้าเองท่านก็มีวินัย
สิ่งอย่างนี้เปิดเผยได้ในหมู่ผู้ที่มีวุฒิภาวะ มีคุณวุฒิพอเพียง รับรู้กันได้
เราก็จัดแจง จัดการไปได้ แต่ถ้าเอาไปขยายความ เปิดเผยเกินกว่านี้ ไปสู่ผู้ที่คุณวุฒิก็ไม่พอ
วุฒิภาวะก็ไม่พอ ท่านก็จะห้าม ก็คงเหมือนที่เราเคยผ่านพบมา
เด็กไม่เดียงสา เด็กน้อย ขนาดนั้น ขนาดนี้ ให้รู้มากกว่านี้ไม่ได้ ถ้ารู้มากกว่านี้
แกรับเรื่องไม่ได้ แกไม่รู้เหมาะรู้ควร แกช่วยตัวเองไม่ได้ จะไปอยากรู้อยากลองอะไรขึ้นมาอีก
อย่างนี้ก็ไม่ได้ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จะบอกว่า ทุกอย่างต้องเปิดเผยหมดนั้น
เป็นไปไม่ได้ อันนี้เราคงมี สามัญสำนึกพอรู้ได้ มีปฏิภาณ สามัญรู้ได้
เพราะคนเรามีวุฒิภาวะไม่เท่ากัน คุณวุฒิก็ไม่เท่ากันเหมือนเด็ก
คนหนุ่มสาว หรือคนอายุมาก ที่มีภาวะ ความรับ ผิดชอบ ก็ไม่เท่ากัน และในความเป็นจริง
ขนาดของอายุก็ยังไม่ใช่เกณฑ์มาตรฐาน ตายตัวอีกด้วย และที่สำคัญ ยังมีเรื่องของภูมิปัญญา
อีกตั้งหลายรอบ ซ้อนๆกัน และจะเป็นอย่างนี้นิรันดร์
สัปปุริสธรรม
คือ หลักธรรมแห่งความงดงามสุดยอด ซึ่งนำพาพุทธศาสนา
ฝ่าคลื่นเวลายาวนานกว่า ๒๐๐๐ ปี อย่างสงบ สันติ และ...วันนี้นำพานาวาอโศกฝ่าคลื่นลมท้าทายพายุ
ท่ามกลางไฟสงครามศาสนาที่คุกรุ่น
(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๗ เมษายน ๒๕๔๕)
|