แต่กลับบ้านคราวนี้ ฉันต้องเกรงใจและเคารพหลักสัจธรรม
ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตนเอง จะทำอะไร ก็มีข้อบังคับ ตนเองเสมอ แต่ก็แปลก
เหมือนกับฉันไม่มีข้อบังคับอะไร จิตใจมีความสุขร่าเริงเหมือนทุกครั้ง
และสุขยิ่งกว่าเก่า เสียอีก
โอหนอ! ธรรมะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีความสุขใจไปหมด
บางวันฉันอยู่บ้านดูหนังสือ บางวันฉันก็จะไปสวน ถางหญ้า พรวนดิน ด้วยความสบายใจ
แม้แดดจะร้อนสักปานใด แต่จิตใจฉันก็ไม่ร้อนไปกับมันด้วย
เพราะ...ธรรมะแท้ๆ ฉันทำไป นั่งคิดไป
เปรียบเทียบสภาพจิตใจด้วย พยายามถามตัวเองตลอดเวลา ทำไมนะ พืชผัก เมื่อปลูกแล้ว
ต้องมาบำรุงรักษา พรวนดิน ถางหญ้า กำจัดวัชพืชให้มันด้วย ไม่ได้สิ
ขืนปล่อยให้มันขึ้น เต็มไปหมด ผักที่ปลูกไว้ก็ไม่ได้ผล เพราะวัชพืชมาแย่งอาหารไปกินหมด
ผักของฉัน จะไม่งามนะซี ดูแต่ตัวฉันเอง ยังต้องหมั่น ตรวจสอบดูสภาพจิตใจในแต่ละวัน
มีกิเลสอะไรบ้าง ฆ่ากิเลส อะไรได้ ยังเหลือกิเลสอะไรอยู่ จะได้หาวิธี
ป้องกัน และกำจัดมันเสีย เพราะถ้าปล่อยให้กิเลส ครอบงำ อยู่เรื่อยๆ
จนหนาเหมือน ดินพอกหางหมู ก็ยิ่งจะแคะ ออกยาก กว่าจะชะล้างให้สะอาด
ก็ละเหี่ยใจ ต้องใช้เวลานาน ผักก็เหมือนกัน ถ้าฉันไม่สนใจมันเลย ปลูกแล้ว
ก็ปล่อย ไม่ยอมบำรุงรักษา ผลผลิตออกมา ก็ไม่ได้เท่าที่ควร ถ้าไม่หมั่นพรวนดิน
กำจัดวัชพืชออกไป กิเลสก็ยิ่งขึ้นหนา ยากแก่การบำรุงรักษา ต้องใช้เวลาทำนาน
สู้หมั่นพรวนดินบ่อยๆ และคอยบำรุงรักษา ตลอดเวลา วัชพืชก็จะไม่มี ผักก็เจริญ
เติบโตให้ผลิตผลตามที่ต้องการ
จิตใจของฉัน ก็คงเหมือนกัน ถ้าไม่หมั่นตรวจสอบ
และฆ่ากิเลสเสียเมื่อเกิดขึ้น แม้เพียงนิดหน่อยก็ตาม เจ้าตัวกิเลส
นี้แหละเป็นวัชพืช ที่สำคัญ ที่ฉันจะต้องขุดมันทิ้ง ทั้งรากเลย ฉันทำงานวันนั้นเสร็จไม่รู้ตัว
โดยใช้เวลา ไม่ถึงวัน ฉันก็กลับบ้าน อ่านหนังสือต่อ
วันต่อมา ฉันก็ไปช่วยทางวัดเทปูนที่ศาลา
๓ วัน ทุกคนต่างช่วยกันอย่างไม่เห็นแก่ ความเหน็ดเหนื่อย ช่วยกัน คนละไม้ละมือ
ด้วยหน้าตา ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะเป็นพระ เณร และคนเฒ่าคนแก่ เด็กหนุ่มสาว
ต่างก็ขมีขมัน แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่ฉันก็มีความสุขใจ ไม่รู้กำลังมาจากไหน
ทั้งที่ทุกคน ต่างก็เป็นห่วงฉัน เพราะรู้ว่าฉัน ทานอาหารมื้อเดียว
ไม่อยากให้ฉัน ทำมากนัก กลัวจะเป็นลม แต่ฉันก็ได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไร
เพราะทุกคนคิดว่า การกินอาหาร มื้อเดียว จะไม่มีแรงทำงาน ทำงานหนักก็ไม่ได้
แต่ฉันก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ฉันไม่เป็นอะไร ไม่เป็นลม อย่างที่พวกเขาคิด
เพราะทั้งวันฉัน ตักน้ำ คอยผสมปูน และยังช่วยเขายก ถังปูนมาเทด้วย
ฉันก็ยังเป็นปรกติ ถึงแม้จะเหนื่อย ก็เพียงเหนื่อยกาย นั่งพักสักครู่ก็หาย
แต่จิตใจ ของฉันนี้สิยังสดชื่น ภูมิใจที่ฉันได้มาช่วยงาน ที่มีประโยชน์
และได้ออก กำลังกายด้วยเพราะไม่ว่า จะกินอาหารกี่มื้อ ถ้าจิตใจไม่สู้
งานนั้นก็ไม่สำเร็จ ถึงแม้งานจะเบา เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้าจิตใจ
สู้เต็มที่ แม้งานนั้น จะหนักสักเพียงไหน ก็จะดูมันช่างเล็กน้อย
เมื่อก่อนฉันก็เหมือนพวกเขา กินข้าว
๓ มื้อ แถมขนมพิเศษ ทำไปกินไปก็ยังเคย บางครั้งงานยังไม่ทัน ได้ทำเลย
แต่จิตใจไม่สู้ ออกปากเหนื่อยไว้ก่อนแล้ว พอทำก็เลยเหนื่อยจริงๆ เพราะฉันยึด
อุปาทานนั่นเอง
แต่เดี๋ยวนี้ ฉันจะไม่พูดเช่นนั้นอีกแล้ว
เมื่อรู้จักการทำงานด้วยใจสู้
ฉันรู้ว่า...เพราะธรรมะต่างหากล่ะ
ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนเป็นคนละคน
โอ! ธรรมะ...ช่างให้ความอิ่มใจ
ยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลก
จ.พ.
-
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๔๗ เมษายน ๒๕๔๕)
|