หน้าแรก>สารอโศก

ติดตามผล.... สัจธรรมชีวิต
สัมภาษณ์พิเศษ เกษตรกรผู้เข้ารับการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โครงการพัฒนาศักยภาพ และคุณภาพชีวิตเกษตรกร หลักสูตรสัจธรรมชีวิต

การอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โครงการพัฒนาศักยภาพ และ คุณภาพชีวิต เกษตรกร หลักสูตร สัจธรรมชีวิต ระยะเวลา ๓ ปี โดยการสนับสนุนของ ธนาคารเพื่อการเกษตร และ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), สถาบันเพื่อ พัฒนาเกษตร และชนบท จำเนียร สารนาค (สจส.) และเครือข่าย กสิกรรมไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย (คกร.) ตามเครือข่ายของชาวอโศก ทั่วประเทศจำนวน ๑๔ แห่ง

เริ่มการอบรมรุ่นที่ ๑ ที่บ้านราชฯเมืองเรือ เมื่อวันที่ ๒๒-๒๖ พ.ค. ๔๔ เป็นต้นมา มีลูกค้าเกษตรกร ที่ได้รับ การพักชำระหนี้ของธ.ก.ส. และเกษตรกรผู้สนใจ เข้ารับการอบรมมากมาย

ที่ศูนย์ศรีสงครามอโศก จ.นครพนม มีเกษตรกรผู้สนใจท่านหนึ่ง เข้ารับการอบรม แล้วได้นำความรู้ กลับไป ปฏิบัติ จนประสบความสำเร็จ เป็นแบบอย่างของเศรษฐกิจพอเพียง "ปลูกทุกอย่างที่เรากิน กินทุกอย่าง ที่เราปลูก" เมื่อเหลือ จึงนำไปจำหน่าย ทีมข่าวสัญจรได้ไปพบเกษตรท่านนี้ ในงานพุทธาภิเษกฯ ที่อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ จึงได้ขอ สัมภาษณ์ มาฝากสมาชิกทุกท่านค่ะ

แนะนำตัว
ผมชื่อ สี ธนะบุญ อยู่บ้านหนองปลาดุก อ.เมือง จ.นครพนม เข้ารับการอบรมในโครงการ พัฒนาศักยภาพ และ คุณภาพชีวิตเกษตรกร หลักสูตรสัจธรรมชีวิต รุ่นที่ ๑ ที่ศูนย์ศรีสงคราม ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ ต.ค. ๒๕๔๔

ตอนไปอบรมฯเป็นช่วงเกี่ยวข้าวดอ (ข้าวเบา) ถึงเวลานอน พวกที่กางมุ้งติดกันบอกว่า จะหนีกลับบ้าน พอตื่นเช้า เปิดมุ้งดูคน ไม่มี หนีไปแล้ว เหมือนหนีทหาร ผมรู้สึกเสียดายว่า เขามาอบรมแล้ว ไม่ได้อะไร กลับไป ส่วนผมได้ มากมาย โดยไม่นึกไม่ฝันเลย

เสร็จจากอบรม ผมก็กลับไปเกี่ยวข้าว ผมยังสูน(เคือง, ฉุน) ว่า เกี่ยวข้าวนานเกินไป เพราะผมอยาก จะทดลอง วิชาความรู้ ที่ผมไปอบรม มาปฏิบัติให้เป็นความจริง ผมอยากจะรู้ว่า ที่ผมไปอบรมฯมา ความจริง เป็นอย่างไร

ผมซื้อที่ดินผืนหนึ่งไว้ ๓ ปีแล้ว อยู่ใกล้สระน้ำ ที่ทางราชการขุดไว้ ตั้งแต่ซื้อมา ยังไม่เคยทำอะไร ผมไม่มี ความรู้ ด้านเกษตร ในชีวิตไม่เคยปลูกผักเลย ปลูกแต่ข้าว เพิ่งจะมีความรู้ปีนี้เอง หลังจากไปอบรมฯมา

ลงมือปฏิบัติ
เกี่ยวข้าวเสร็จ ผมก็เพาะกล้าเมล็ดผัก ทำปุ๋ย เตรียมแปลงที่จะปลูกลงในที่ ๑ ไร่ ตามที่ได้อบรมมาว่า ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ใช้แต่ปุ๋ยคอกมูลสัตว์ ปุ๋ยหมัก ยาฉีดสมุนไพรไล่แมลง ตอนแรก คิดว่า จะปลูกไว้ กินเอง ไม่ต้องไปซื้อตลาด เพราะไปอบรมฯ เขาสอนว่า ปลูกสิ่งที่เรากิน กินสิ่งที่เราปลูก เมื่อเหลือ จึงค่อยเอาไปขาย ผมก็ลองปลูกเล่นๆ ในพื้นที่ ๑ ไร่ ปลูกสัก ๑๐ อย่าง ปรากฏว่า ปลูกแล้วได้ ๑๗ อย่าง มี ผักกาดขาว ผักสลัด (ผักกาดหอม) ต้นหอม(ชีหอม) ผักชี คะน้า ขึ้นฉ่าย ฟักทอง แตงกวา มะเขือเปราะ พริก มะเขือเทศ สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง (หอมเป) หอม - กระเทียม กุยช่าย (ผักแป้น) แตงโม ข้าวโพด

การนำผักไปขาย ผมก็งงเหมือนกันว่า จะทำอย่างไร คิดว่าเราทำแล้ว เราต้องแก้ไขให้ได้ ผมไปถามแม่ค้าว่า ผักมัดนี่เท่าไหร่ ๕ บาท หรือ ๑๐ บาท แม่ค้าก็หาถุงมาใส่ให้ ตั้งแต่ผมเริ่มถาม ผมก็บอกว่า ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้มาซื้อ ผมจะเอามาขายเหมือนกัน สมมุติว่ามัดหนึ่ง ๕ บาทหรือ ๑๐ บาท ผมก็ทำให้ใหญ่กว่า ของเขาสักหน่อย ไปขาย ครั้งแรก ก็บอกว่า เป็นผักไร้สารพิษ ใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ พวกที่ไปอบรมด้วยกัน ก็บอกกัน ต่อๆไปว่า ผักผมไร้สารพิษจริง ก็ขายดีมีคนมาซื้อ แม่ค้าคนกลาง ก็มารับจากผมไปขาย ตอนเช้า ก็ส่ง ตลาดหนึ่ง ตอนเที่ยง ก็ส่งอีกตลาดหนึ่ง มีรายได้วันละ ๓๐๐ กว่าบาท

ยาฉีดผมก็ใช้สมุนไพร ปุ๋ยก็เอามูลสัตว์มาทำ ที่ดินหนึ่งไร่ เสียค่าใช้จ่าย แค่น้ำมันวันละ ๑ ลิตรเท่านั้น ที่ผมปลูกไว้ ๑๗ อย่าง ตอนนี้เก็บไปขายได้แค่ ๖ อย่าง ยังได้วันละ ๓๐๐ กว่าบาท ถ้าเก็บได้ครบ ๑๗ อย่าง คงจะได้มากกว่า ๓๐๐ บาท

กลับจากงานพุทธาฯ ก็จะได้เก็บพริก มะเขือ และอีกหลายๆอย่าง เพราะกำลังทยอยกันออก เมื่อเก็บไป ขายแล้ว ผมก็ไม่ปล่อยให้ที่ว่าง สิ่งไหนที่ออกขายตลาดได้เร็ว ก็ต้องรีบปลูกใส่แปลงเก่า ให้เร็วที่สุด ไม่ให้ขาดช่วง และ ชนิดไหน ที่ตลาดต้องการ ผมก็จะปลูกเพิ่มขึ้น ปลูกหมุนเวียน สามารถมีเก็บ ไปขาย ตลาดได้ทุกวัน ผมทำกับ แม่บ้าน และ ลูกอีกคนหนึ่ง

ที่ผมทำ เพราะอยากหาทางออก แนวใดแนวหนึ่ง ทำนาแล้วไม่รวย จนผมอายุ ๕๓ แล้ว นา ๒๐ ไร่ ได้ข้าวแค่ ๔-๕ ตัน ปีนี้แฮง (ยิ่ง)ไม่ขาย เพราะข้าวราคาตก คิดแล้วก็ขาดทุน เสียค่าปุ๋ยเคมี ตกปีละ ๔,๐๐๐ บาท ค่าจ้าง คนดำนา เกี่ยวข้าวอีก พอไปอบรมฯ ผมคิดว่าทำอย่างไร ถึงจะลดต้นทุนลง ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ยาฉีด ฆ่าแมลง จะเสียแค่ พันเดียว หากใช้สมุนไพร ที่เราได้อบรมมา ผมก็หาพืชสมุนไพรมาหมัก ปุ๋ยผมก็ทำเอาไว้ วัวผมมีแค่ ๖-๗ ตัว ผูกเลี้ยงไว้ข้าง โรงสี มูลวัวก็ไม่พอใช้ ในแปลงผัก ๑ ไร่ เลยใช้นโยบาย เอาผักที่ปลูก ไปแลกกับเขา ถ้าคิดเป็นเงินก็ตกบ้านละ ๒๐-๓๐ บาท ไปแลกได้ ประมาณ ๑๐ บ้าน พวกเขาไม่รู้จัก มูลค่าของมูลสัตว์ เขาก็บอกว่า มาเอาไปเลย เอาไปเยอะๆเลย ผมก็เอาถุงปุ๋ยไปใส่ ได้คอกละประมาณ ๒๐ ถุง เอากองไว้ที่สวนผม กองใหญ่เอ่เร่เลย (เยอะ)

ผมโทรศัพท์กลับไปหาแม่บ้าน แม่บ้านบอกว่า ตอนที่ผมมางานพุทธาฯ ไม่ได้ไปส่งผัก แม่ค้าเขามาซื้อเอง ถึงที่บ้านเลย เพราะมีหลายอย่าง คนมาก่อนก็จะเอาหมดเลย คนมาทีหลังไม่ได้ เลยทะเลาะกัน ผมคิดว่า ไม่ยากหรอก กลับไปต้องแก้ไข จะเฉลี่ยให้ เวลานอน ผมก็คิดภูมิใจอยู่ว่า ใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว

ส่งผลถึงครอบครัว
เมื่อก่อนอยู่บ้านกินข้าวแล้วไม่ได้ล้างจาน เพราะมีแม่บ้านล้างให้ แต่พอมาอบรมฯ กินข้าวปุ๊บ เราต้อง ล้างจานเอง ทำอยู่ที่อบรม ๔ คืน ๕ วัน เมื่อก่อนแม่บ้านเขาล้างให้ เขาก็ชิน เดี๋ยวนี้กินข้าวแล้ว ผมก็ล้าง จานเอง เพราะไปอบรม ต้องล้างจานเอง แม่บ้านกับลูกเขาก็สังเกตผมว่า พ่อเป็นคนใหม่แล้วคราวนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอด ครอบครัวคง จะดีมาก แล้วบ้านผมก็จัดให้สะอาด อยู่ตลอดเวลา เพราะเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.เขาจะมาประเมิน มาดูเดือนละครั้ง จะมาวันไหนก็ไม่บอก กลุ่ม ๕ ส. มาทีไรก็ขึ้นบ้านเลย ไปอบรมฯ มา เราก็ต้องทำให้สะอาด เพราะว่า เราเป็นตัวอย่าง ไปอบรมฯมา มีผมที่กลับมาแล้วเปลี่ยนแปลง จนพึ่งตนเองได้ชัดเจน

ลูกสาวผม เรียนหนังสืออยู่ในเมือง ชั้น ม.๖ อีกคนหนึ่งเป็นพยาบาล และ เป็นตำรวจอยู่ที่กรุงเทพฯ ลูกสาวที่เรียนชั้น ม.๖ แต่ละอาทิตย์ กลับมาบ้าน ก็เอาเงิน ไปครั้งละ ๑ พันบาท ไปซื้อเครื่องใช้สอย ผงซักฟอกห่อละ ๑๓๐ ก็มี ผมมาคิดๆดูว่า เราไปอบรม ทำแชมพูสระผม ทำน้ำยาซักผ้า ตอนนี้ที่บ้านผม ไม่ได้ซื้อสิ่งเหล่านี้แล้ว เพราะกลับ จากอบรมฯ ผมก็ทำใช้เอง จากความรู้ ที่ได้ไป อบรมมา เดี๋ยวนี้ ลูกไม่ต้องถือเงินไปซื้อ แต่ถือผลิตภัณฑ์ ที่ทำเอง ไปใช้แทน เขาอยู่ ม.๖ ผมจบ ป.๔ แต่ลูก เขากลับมาเรียน วิธีทำแชมพูจากผม

เมื่อก่อนผมต้องไปหาเงิน แต่ตอนนี้เงินมาหาผม และตอนนี้ไม่รู้จะใช้เงินทำอะไร เพราะทำได้เองหมด ผักก็ไม่ต้องซื้อ แชมพู น้ำยาซักผ้า-ล้างจานก็ไม่ต้องซื้อ ที่ต้องใช้เงินคือ ซื้อน้ำมันมาสูบน้ำรดผัก วันละลิตร เท่านั้น

แต่ก่อนผมกินเหล้าเก่ง โกหกเมียก็เก่ง พอมาอบรมก็รู้ว่า โกหกเมียบาปอย่างไร เพื่อนมากนะครับ คนกินเหล้า เมื่อก่อน โกหกเมีย เช่นว่าสีข้าวได้ ๓๐๐ บาท เอาให้แม่บ้าน ๒๐๐ บาท อีก ๑๐๐บาท ผมก็เก็บใส่ กระเป๋า กางเกงไว้ ลูกผม ชอบซักผ้าให้ผมมาก เพราะว่าได้เงินบ่อย ผมซ่อนเงินไว้แล้ว ลืมเอาออกบ้าง

เงินที่ผมแอบ ซ่อนเอาไว้ เวลา เพื่อนๆ มาชวนไปกินเหล้า ผมก็บอกกับเพื่อนๆว่า เดี๋ยวๆผมขอเงิน แม่บ้าน ก่อนสัก ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท แม่บ้าน ก็จะให้ ๕๐ บาท และบอกว่าอย่ากินมากเลย เลิกซะ ผมก็บอกว่า ๕๐ ก็เอา เพราะผม ซ่อนไว้แล้ว ๑๐๐ บาท ตอนสีข้าว

เมื่อผมมาปฏิบัติธรรม มาอบรมฯ ผมก็แปลกใจ ผมล้างถ้วยล้างชาม ทำความสะอาดบ้าน แล้วไม่โกหกเมีย ผมก็คิดน้ำตาตกในใจว่า เมียเขาซื่อต่อเรา ตอนนี้ผมเลิกเหล้ายา คิดๆแล้ว ตอนนี้แม้แต่สลึงเดียว ผมก็ไม่รู้ จะใช้ทำอะไร ได้เงินมาเท่าไร ก็ให้แม่บ้านหมด แม่บ้านก็บอกว่า ดีนะ พ่อไปอบรมมา ได้ความรู้หลายอย่าง ผมก็ไม่โกหกแม่บ้าน ไม่ทำให้แม่บ้านหวาดระแวง การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี ก็เกิดความละอาย ผมก็ทำความดี เงินก็ไม่ไปไหน แม่บ้านเขามาปลูกพืชผักด้วยกัน ก็เป็นเงินขึ้นมา ผมมาปฏิบัติธรรมแล้วมีความดี ความซื่อสัตย์ เงินทองก็กลับคืนมาเหมือนเก่า ไม่ต้องสูญเสียไปกับเหล้าบุหรี่ ไม่ต้องแอบยักยอกเงินเก็บไว้ ผมกลับมีความสุข

ไปอบรมมา เขาบอกว่าน้ำโอ่งหนึ่งมีรูรั่วหลายรู เหมือนกับผมกินเหล้าเมายา โกหกเมียก็เก่ง ผมก็พยายาม ปิดรูรั่ว รายจ่ายทุกวันนี้ก็คือน้ำมันวันละ ๑ ลิตร ผมคิดว่าหากผมเป็นอย่างนี้ไปตลอด เมียก็คงรักผม ไปตลอด ผมก็คง รักเมียไปตลอด ครอบครัวก็จะอบอุ่น ไม่มีรูรั่วเหมือนสมัยก่อน

มาอยู่ที่นี่ (งานพุทธาฯ) ๒ คืน ผมไปเยี่ยมลูกสาว ๒ คนที่อยู่กรุงเทพฯ เป็นพยาบาล และเป็นตำรวจ ฝ่ายสืบสวน ผมนัดลูกไว้ที่ป้ายรถเมล์หน้าพุทธสถานสันติอโศก ก็ไปนั่งรอ เห็นการแต่งตัวของครูข้างนอก ไม่เหมือนครู ของชาวอโศก ครูของชาวอโศกแต่งตัว แทบจะไม่เห็นตาตุ่มเลย แต่ครูข้างนอกใส่สั้นๆ นักเรียน ก็ใส่สั้นๆ ไม่รู้ใคร เป็นครู ใครเป็นนักเรียนกันแน่ เพราะใส่สั้นๆเหมือนกันหมด ผมก็นั่งดูเพลินๆคิดว่า สมัยนี้ผ้ามัน ราคาแพงหรือ เขาจึงประหยัดใส่กันสั้นๆ ผมคิดอะไรเพลินๆอยู่ ตาก็คอยดูคนลงรถเมล์ว่า ลูกจะมารถเมล์ คันไหนหนอ? แต่ปรากฏว่าลูกนั่งแท็กซี่มา คนที่เป็นตำรวจ เข้ามากอดข้างหลังผม พวกที่ยืน รอรถเมล์ที่ป้าย ก็แตกฮือออก คิดว่าผมเป็นผู้ร้าย มีตำรวจมาจับผม ก็จะวิ่งหนี ลูกสาวคนที่เป็นพยาบาล ก็บอกว่า อย่าไปกอดพ่อ พ่อปฏิบัติธรรมถือศีล ๘ กินข้าวมื้อเดียว อย่าไปกอดพ่อ เขาก็เลยปล่อยมือออก

ลูกสาวก็บอกว่า ให้ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จะพาไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า เพราะชุดที่ผมใส่มันมอซอ ที่เขามา กอดผม เพราะว่าเขาดีใจว่า ผมปฏิบัติแบบนี้ ไม่กินเหล้าเมายา เขาดีใจ เพราะผมกับลูกติดต่อกันอยู่ตลอด ผมเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงอะไร เขารู้หมด เขาบอกว่า พ่อปฏิบัติเลิกเหล้าเลิกยาได้แบบนี้ พวกหนูจะให้ สิ่งตอบแทน พ่อจะเอาอะไร บอกมา ผมก็บอกว่าพ่อไม่รู้จะเอาอะไร เดือนเมษาให้คำตอบพวกหนูนะ แต่ผมมาคิดในใจทีหลังว่า อยากได้ ๔ ประตู (รถปิ๊คอัพ) นั่นแหละ เพื่อจะได้ติดต่อกับหมู่กลุ่ม ชาวอโศก ได้ง่ายขึ้น

ตกลงผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวห้างฯ แต่ผมพาลูกเข้าไปชมที่สันติอโศกแทน เขาก็บอกว่าน่าอยู่ ชื่นชมว่าเคร่งครัด ผมก็บอกลูกว่า ที่นี่ไม่เหมือนวัดทั่วๆไป ที่นี่เคร่งครัด หากกินเหล้าเมายา ก็เข้าวัดนี้ไม่ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ผมเลิก หมดแล้ว ลูกก็ภูมิใจ

งานพุทธาภิเษกฯแม่บ้านเขาอยากให้มา เพราะตอนที่ไปอบรมที่ศรีสงคราม ความจริงก็คือความจริงมาแล้ว คือไปอบรมครั้งแรก ก็ดีอย่างนี้ ถ้าไปอีกก็ต้องดีกว่านี้อีก อยากให้ผมไปปฏิบัติธรรม ให้เคร่งกว่านี้อีก การเกษตร ก็ได้ความรู้ไปหลายๆอย่าง ก็เลยอยากให้มาต่อ

อานิสงส์
ปฏิบัติธรรมแล้วคนเขาก็เชื่อถือไว้ใจ ให้เกียรติ ปฏิบัติธรรมแล้วความจริงก็เป็นความจริง สวรรค์มีตา พอเรารู้ความจริง เอาไปทำจริง ก็จะได้ผลจริง เมื่อมีความจริงก็ยิ่งน่าเชื่อถือ คนจะเอาอะไรมาให้ ก็ไม่ตะขิดตะขวงใจว่าเราจะโกง เวลา ธ.ก.ส.ไปเยี่ยม ทีมชุมชนก็จะมาดู มีการสาธิต การทำปุ๋ย น้ำยาอเนกประสงค์ ก็เป็นกระแสในหมู่บ้านว่า คนนี้ทำเรื่อง ไร้สารพิษ

ขออนุโมทนากับทุกๆท่าน ที่มีส่วนร่วมช่วยงานอบรมตามเครือข่ายฯต่างๆ หยาดเหงื่อและแรงงาน ที่ทุกท่าน ทุ่มโถมลงไป กำลังเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้ว จากหนึ่งเป็นสอง และสาม...สี่จะตามมาเรื่อยๆ อย่าลืมว่า "ชาวอโศก เพื่อมวลมนุษยชาติ" ใครที่ยังไม่มีโอกาสมาช่วยงานอบรมฯ ลองหาโอกาสมาช่วยสักครั้งซิคะ อาจจะรู้สึกเสียดาย ก็ได้ว่า เราน่าจะมาช่วย ตั้งแต่รุ่นแรกแล้ว

ก่อนจบ ฝากย้ำโศลกจากพ่อท่านที่เตือนพวกเราทุกคนว่า "เคี่ยวเราเพื่อเอามิตร ผลิตผลเผื่อคนอีกหลาย ขวนขวายงาน แบบสานหมู่" ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นค่ะ

- - - ทีมข่าวสัญจร - - -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๗ เมษายน ๒๕๔๕)