หน้าแรก>สารอโศก

เดินตามรอยพ่อ
อนิจจังชีวิต
ยุคสมัยเปลี่ยนไป ข้าพเจ้าเองก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยเช่นกัน

ย้อนไปเมื่อสมัยที่ข้าพเจ้าจะมาบวช เป็นสมณะชาวอโศก ข้าพเจ้า ชอบท้าทาย และหาประสบการณ์ให้กับชีวิต ประสบการณ์ แบบที่หา สาระแก่นสารไม่ได้เลย


แม้ชีวิตวัยทำงาน ข้าพเจ้าก็ชอบที่จะเปลี่ยนงาน เพื่อหางานที่ให้ความมั่นคงในชีวิต ย้ายที่ทำงาน เปลี่ยนบริษัทโน้น บริษัทนี้ จนสุดท้าย ข้าพเจ้าเข้าทำงานในธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อความมั่นคงของชีวิต มันเป็นธรรมดา ของคนหนุ่ม ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องของศาสนา เรื่องการปฏิบัติตนให้เป็นชาวพุทธ โดยสมบูรณ์ จึงทำตามปฏิบัติตาม สังคมส่วนใหญ่ ที่พาเป็นพาไป คือ การกิน สูบ ดื่ม เสพย์ สุราเมรัย ด้วยเข้าใจว่า นี่แหละคือ ความสุขของชีวิต นี่คือ การสังสรรค์ เพื่อจะได้ เพื่อนแท้มิตรดี แต่มันไม่ใช่ มันผิดทาง

ข้าพเจ้าได้รู้จัก เพื่อนคนหนึ่ง ที่เขาปฏิบัติตามแนวทางของชาวอโศก เพื่อนจึงแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จัก และพาข้าพเจ้า ไปศึกษา ณ แดนอโศกสมัยโน้น ข้าพเจ้าจึงได้อ่านและติดตามหนังสือชาวอโศก ข้าพเจ้า ก็เริ่มลอง ปฏิบัติตาม แต่ก็ยังไม่ได้ ตั้งใจจริงจังหรอก เพราะสมัยก่อนนั้น อาหารมังสวิรัติ หารับประทาน ยากมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ สามารถสั่ง อาหารมังสวิรัติ ได้เกือบทุกสถานที่ ต่อมาช่วงหลังๆ

ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติเคร่งครัดขึ้น ซื้อผักไปรับประทานเองที่บ้าน คุณแม่ก็ทำให้รับประทานบ้าง เมื่อทาง ครอบครัว เห็นพฤติกรรมของข้าพเจ้า ครอบครัวก็ไม่ได้ต่อต้าน แต่ก็ไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ ทางครอบครัว คงคิดว่า ข้าพเจ้าเบื่องานธนาคาร ข้าพเจ้าจึงได้เปรยว่า "จะไปบวช" เพราะ ที่ทำงานก็มีการเอารัด เอาเปรียบ กันมาก แม้จะเป็นงานที่ใครๆ เขาอยากจะเข้าไป ทำงานธนาคารก็ตาม ช่องทางการเอาเปรียบผู้ฝาก ผู้กู้ มันมีอยู่แล้ว

สมัยโน้น หนังสือชาวอโศกจัดพิมพ์กันที่ห้องภาพสุวรรณ ทำหนังสืออยู่ ๓ เล่ม คือ สุดยอดปาฏิหาริย์ ค่าอย่างไร ที่สังคมควรนิยม และความรัก ๑๐ มิติ ข้าพเจ้าได้เห็นพ่อท่าน ไปทำหนังสือ ๓ เล่มนี้ โดยบิณฑบาตตอนเช้า แล้วไปที่ห้องภาพสุวรรณ ได้เห็นพ่อท่าน ทุ่มเททำงาน ด้วยความตั้งใจ ขยัน (ตอนนั้นพ่อท่านผอมๆ) เพื่อนข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่า พ่อท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์ ไม่ใช้เงินใช้ทอง ข้าพเจ้าได้ฟัง ก็ยิ่งเกิดความศรัทธายิ่งขึ้น จิตใจยิ่งอยากจะลาออก จากการทำงาน ที่ธนาคาร เพราะเห็นทุกข์กับการทำงาน และอีกอย่าง ข้าพเจ้าจะบาปมากขึ้น เพราะธนาคาร ก็คือแหล่งดูดเงิน จากคนอื่นดีๆนี่เอง หรือถ้าจะเปรียบ ก็คือตัวเหลือบ ปลิงนั่นเอง พวกทำงานธนาคาร คือพวกเอาเปรียบสังคม พวกเสือนอนกิน พวกเสือกินเปล่า เมื่อปฏิบัติมาระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าก็มั่นใจ ในทิศทาง ของชาวอโศกมากขึ้น เพราะทำงานฟรีก็ได้ ไม่ใช้เงิน ใช้ทองก็ได้ ทำงานรับใช้ศาสนา ไม่สะสมเงินทอง ก็สามารถ ดำรงชีวิตอยู่ได้ ในสังคม ด้วยความมั่นใจ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานธนาคาร โดยยังไม่ได้แจ้ง ให้ครอบครัวทราบ

ข้าพเจ้าไปฝึกกินมื้อเดียวที่ปราการอโศก ซึ่งสิกขมาตุ ผุสดีประจำอยู่ที่นั่น ท่านก็บอกว่า ฝึกกินมื้อเดียว ให้อยู่ตัวเสียก่อน จึงสมัครบวช เรียกว่า หักดิบข้าพเจ้าเลยแหละ เพราะไม่ได้ฝึก เรื่องกินมื้อเดียว มาก่อนเลย ข้าพเจ้าฝึกกินมื้อเดียวหนึ่งอาทิตย์ จึงเดินทางเข้าสันติอโศก

ข้าพเจ้าเข้ามาอยู่สันติอโศก จำได้ว่า ปี พ.ศ.๒๕๒๐ สมัยนั้นยังเป็นบ้านทรงไทย ข้าพเจ้าแจ้งความจำนง ขอบวช กับพ่อท่าน ซึ่งการขอบวชสมัยนั้น ยังไม่มีขั้นตอนการดูตัวมาก เหมือนปัจจุบัน เมื่อขอบวช ก็จะได้ เป็นปะ แต่ก็ต้องได้รับ การเซ็นยินยอม จากครอบครัวก่อน เมื่อข้าพเจ้าไป ขอการเซ็นยินยอม จากครอบครัว คุณแม่จึงทราบว่า ข้าพเจ้าได้ลาออก จากงาน และมาปฏิบัติตัว ในเส้นทางนี้ ท่านก็ไม่ได้คัดค้าน แต่อย่างใด ข้าพเจ้าได้เป็นปะ เป็นนาค เป็นสามเณร ตามลำดับ ใช้เวลา ประมาณ ๑ ปี และได้ผ่านโหวต บวชเป็นสมณะ ในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๒๑

ความศรัทธาย่อมนำพาให้ข้ามอุปสรรคได้โดยสวัสดิภาพ แต่ถ้าหากขาดศรัทธา แรงที่จะฟันฝ่าสิ่งใดๆ ที่เป็นอุปสรรค ขวางกั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือส่วนรวม ย่อมลำบากยากเข็ญยิ่งนัก ซึ่งสมัยนั้น หมู่สมณะชาวอโศก ยังมีมวลไม่มาก ประมาณ ๒๐ กว่ารูปเท่านั้นเอง

เมื่อบวชแล้ว ก็ต้องเดินตามทางโพชฌงค์ ๗ มรรคองค์ ๘ นั่นคือการทำงาน ที่จะต้องพบ เจอผัสสะ ที่มากระทบ ได้อ่านจิต อ่านใจ อ่านอารมณ์ เท่าทันมากน้อยเพียงใด ข้าพเจ้าได้ทำงานด้านหนังสือ "สารอโศก" ทำงานไป อ่านจิตตัวเองไป สิ่งที่ยากและข้าพเจ้าต่อสู้มา ตลอดนั่นคือ "ความง่วง"

เมื่อถึงคราวที่ชาวอโศกต้องเจอเหตุการณ์ที่ถูกรังแก หรือกลั่นแกล้ง ทำให้โดนจับกุมไปนอน ที่โรงเรียน พลตำรวจ ข้าพเจ้าเอง ก็ไม่ได้หวั่นไหวอะไร กลับมีความรู้สึกดี ได้เรียนรู้ ประสบการณ์อีกแบบ คงเป็นเพราะ ข้าพเจ้า มีความศรัทธา พ่อท่าน มั่นใจพ่อท่าน ณ ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ กรณีสันติอโศก ทำให้สมณะ ไม่ไปไหนแบบออกจาริก อยู่ประจำพุทธสถาน ช่วยกันทำงาน ปรึกษาหารือกัน ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้เห็น ความอบอุ่น เป็นพี่เป็นน้องกันมากขึ้น แต่ละเหตุการณ์ ย่อมมีสิ่งที่ได้มา จากการสูญเสียไป

การปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่ามองนอกตัวเองมาก จะทำให้เกิดความเครียด จากนั้นความเครียด ก็ลงมาที่ กระเพาะอาหาร ฉะนั้น อารมณ์จึงสำคัญอย่างยิ่ง และเรื่องอาหาร ก็ควรควบคุมด้วย เมื่ออารมณ์ และอาหารดี ก็ทำให้ทั้งร่างกาย และจิตใจแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย การปฏิบัติธรรม ตามมรรคองค์ ๘ จะได้ทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ยิ่งยุคนี้สมัยนี้ การงานชาวอโศกมีมากขึ้น ขยายงานวงกว้างมากขึ้น นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ชาวอโศกจะต้องทำประโยชน์ท่าน ให้มากยิ่งขึ้น แล้วก็จะได้ประโยชน์ตนตามมา

ข้าพเจ้าคิดว่า สังคมทุกวันนี้ยอมรับฟังข่าวคราว ของชาวอโศกมากขึ้น จากเดิมถูกปิดข่าว ถูกโจมตีมาตลอด เมื่อเขามาสัมผัส เห็นชุมชนของชาวอโศกเข้มแข็ง เพราะมีศีลธรรมเป็นพื้นฐาน มีพ่อท่าน นำพาปฏิบัติ ด้วยหลักโพชฌงค์ ๗ มรรคองค์ ๘ คนเข้าใจมากขึ้น และยอมรับ ในความเสียสละจริง ของชาวอโศก

ฉะนั้นชาวเรา จะต้องเคี่ยวตัวเองให้มากขึ้น ให้สมกับโศลกธรรมที่ว่า "เคี่ยวเราเพื่อเอามิตร ผลิตผล เผื่อคนอีกหลาย ขวนขวายงาน แบบสานหมู่" พวกเรามีธรรมะ อาศัยธรรมะจึงอยู่รอดได้ พวกเราเป็นชุมชน ที่เข้มแข็งได้ เพราะมีโรงเรียน มีชุมชนที่ปฏิบัติธรรม มีศีลได้จริงศีล ๕ ศีล ๘ ย่อมทำให้คนที่เข้ามาสัมผัส รับรู้สิ่งจริง ที่พวกเรา ปฏิบัติได้จริง ตามรอยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์

สมณะเด็ดขาด จิตตสันโต


แม้ห่างไกลในเส้นทางที่ก้าวเดิน
จงอย่าเผินเผลอใจไปกับผี
อย่าหันกลับเกลือกกลั้วมั่วโลกีย
ชีวิตนี้สั้นนักพึงระอา
เพียรเคี่ยวตนเพื่อพ้นอนุสัย
เป็นเนื้อในสานต่อพระศาสนา
เป็นที่พึ่งที่หวังปวงประชา
เป็นแผ่นฟาแผ่นดินที่ชุมเย็น

- ฟากฝั่งฝัน -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๗ เมษายน ๒๕๔๕)