หน้าแรก>สารอโศก

ธรรมะประทับใจ ๗๘


เกือบครบหนึ่งปีแล้วซินี่ ที่ข้าพเจ้าสามารถล่วงรู้วิถีชีวิต ในอนาคตได้ แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ ระยะเวลา ที่ยาวนานเท่าไหร่นัก ข้าพเจ้ามิใช่โหรเอก ผู้ชาญวิชาพยากรณ์ และมิใช่ผู้มีญาณ หยั่งรู้ฟ้าดิน ที่ดํารงอยู่นี้ ก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งแสวงหาความสุข ให้ตัวเองเท่านั้น

การพลิกผันของชีวิต ย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะข้าพเจ้า ที่ต้องโยกย้ายตัวตน มาอยู่ในดง สีกากีแกมเขียว ถึงสองปีเต็ม ไม่มีใครลิขิตชีวิต ของใครได้หรอก นอกเสียจาก ตัวของเราเอง

๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ ชีวิตต้องเปลี่ยนมาเป็น "พลทหาร" ความพร้อมมี ความรู้ไม่มี เพราะไม่ทราบเลยว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ในวินาทีข้างหน้า ฉะนั้น สิ่งที่ควรยึดถือไว้คือ "จงเตรียมพร้อม" ปัญหาและอุปสรรค
มีแน่กับกบฏสังคม อย่างข้าพเจ้า ผู้ซึ่งต่อต้านอะไร ต่อมิอะไรมาหลายอย่าง โดยเฉพาะ "ระบบทหาร" ผองเพื่อนสนิท มิตรสหายของข้าพเจ้า ย่อมรู้ซึ้งดี

"อาหารเป็นหนึ่งในโลก" กบฏสังคมผู้กินมังสวิรัติ มาแปดปีครึ่ง และจะกินตลอดไป จะทําอย่างไร ใครต่อใคร ก็คอยเป็นห่วง ว่ามันจะอยู่ จะกินอย่างไร ในค่ายทหาร ซึ่งไม่มีสิทธิ์ ที่จะเลือก ข้าพเจ้าได้วิธีการ จากแม่ คือ สู้ให้ถึงที่สุด

ค่ำคืนก่อนเข้าค่ายฯ ข้าพเจ้าต้องมานั่งเขียนจดหมาย แจ้งความประสงค์ จะรับประทานทานอาหาร มังสวิรัติ เหตุผลคือ ปฏิบัติธรรมแนวทาง ของสันติอโศก ทานมังสวิรัติมา แปดปีครึ่งแล้ว และจะทาน ตลอดชีวิต จะกรุณาหรือไม่? แล้วแต่จะพิจารณา

เมื่อถึงค่าย รายงานตัว ก็แนบจดหมายนี้ ให้ผู้ฝึกด้วยเลย เท่านี้เอง อาหารภายในค่ายทหาร ทั้งกองร้อย ๑๓๙ คน ก็จะมีมังสวิรัติ ๑ ที่ บ่อยครั้ง ที่จะมีนายทหาร มาถามว่า "กินเจหรือ? กินมานานหรือยัง? มีแรงมั้ย? ไม่ไหวบอกนะ"

การฝึกนั้นหนักพอประมาณ แต่เหนื่อยมาก เนื่องจากเวลาของตัวเอง มีน้อยเหลือเกิน ตลอด ๒ เดือน
มี รปจ. (ระเบียบปฏิบัติประจําวัน) ตื่นตีห้าครึ่ง ๑ เดือน ตีห้า ๑ เดือน ออกกําลังกาย ถึงหกโมงครึ่ง ทําความสะอาด เจ็ดโมงกินข้าว เจ็ดโมงครึ่งพัก เจ็ดโมงห้าสิบเข้าแถว เคารพธงชาติ แล้วฝึกถึง สิบเอ็ดโมงครึ่ง พักเที่ยงทานข้าว บ่ายโมงฝึก ถึงบ่ายสี่โมงครึ่ง ออกกําลังกาย ห้าโมงครึ่งกินข้าว หกโมงอาบน้ำ (ไม่เกินสิบนาที) ประชุมหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม สองทุ่มครึ่งสวดมนต์ สามทุ่มนอน เป็นอย่างนี้ สองเดือนเต็มๆ

เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) เพราะไม่มีอะไร ที่ทหารทําไม่ได้ ทําไม่ไหว ทําไม่ทัน รับคําสั่ง ทําทันที

แทบจะเป็นการพักผ่อน ก็น่าจะว่าได้ สภาพทางร่างกาย มิได้หนักหนา สาหัสเท่าไหร่ แต่สภาพจิตใจ ใครจะล่วงรู้ กบฏสังคมอย่างข้าพเจ้าได้ (ทหารมิใช่ดินเหนียว ทหารมิใช่แท่งหิน)

พระสงฆ์องคเจ้า สอนสั่ง ย้ำนักย้ำหนาว่า "โลกทุกวันนี้มันร้อนแรง โลกีย์วิสัย มันมากมายเหลือเกิน" ไม่มีใครรู้ได้ชัดจริงหรอก นอกเสียจาก จะเคยสัมผัส และใกล้ชิดกับมัน หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ข้าพเจ้า ต้องต่อสู้ ด้านจิตใจ โดยเฉพาะเรื่อง ค่านิยม และความภาคภูมิใจ ในความเป็นชายชาตรี อันคนทั่วไป คิดกัน เช่น การสูบบุหรี่ กินเหล้า ฟันผู้หญิง สําเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ซึ่งเขาเห็น เป็นเรื่องธรรมดาปกติ แทบทั้งวัน เขาคิดกันแต่เรื่องพวกนี้

มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ เป็นสิ่งที่หาได้ยาก นอกเสียจาก คุณธรรมจะซึมลึก ในจิตวิญญาณของเรา เราถึงจะอยู่ท่ามกลางเพื่อน และผู้อื่น ที่มีทัศนคติ ที่ต่างกันกับเรา คนละขั้วเลยก็ว่าได้

ท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย พึงระลึกเถิดในเรื่องนี้ และหากไม่มีความจําเป็น ก็อย่าย่างกรายเข้าไปเลย ในแดนดิน ถิ่นที่ข้าพเจ้า อาศัยอยู่นี้ เพราะเนื้อตัวของท่าน จะแปดเปื้อน มีตําหนิจากสายตา ความคิด และวจีมิโสภา เสียเปล่าๆ

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องขอฝากไว้คือ เรื่องของยาเสพติด อย่าหาว่าเชยเลยครับ เพราะเป็นเรื่องสําคัญ ในส่วนของ ทหารแล้ว การประกาศทำสงคราม กับยาเสพติดนั้น มันมิใช่เรื่องเล็กๆ มันต้องถึงขีดสุดๆ เขาจะทุ่มเท ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อการให้ได้มา ซึ่งชัยชนะ สติปัญญา แรงกายแรงใจ ลองคิดเถอะว่า รัฐบาล และ ผู้หลักผู้ใหญ่ ในบ้านเมืองของเรานั้น ร่วมกันประกาศ ทําสงคราม กับยาเสพติด แล้วสถานการณ์ อันแท้จริงของเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร

แต่ไหนแต่ไรมา ประเทศต่างๆ ก็ยอมรับกันว่า ชาวสยามนั้น เก่งกล้าสามารถ เฉลียวฉลาด การันตีได้ จากการที่เรามิเคย เป็นเมืองขึ้นของใคร ทั้งๆที่เพื่อนบ้านนั้น พ่ายแพ้กันหมด มาถึงยุคนี้ และยุคต่อไป ที่อาจจะต้อง ล่มสลาย เพราะมี... (ผู้ไม่หวังดี) ใช้ยาเสพติด เป็นอาวุธ ทำลายสมอง และร่างกาย ของพลเมือง ในชาติ อนาคตของชาติ (เยาวชน) และประเทศของเรา จะยังมีเอกราช อีกหรือไม่ ? จะเป็นอย่างไร ในวันข้างหน้า ลองตรองดูเถิด

การที่ข้าพเจ้าอยู่ได้ในภาวะการณ์เป็นพลทหารแบบนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก ความเชื่อมั่นในกรรม และ ยอมรับในกรรม จะหนักจะหนา ก็ไม่เสียใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทําให้ก่อนสร้างกรรมอันใด ก็แล้วแต่ เราต้องมี ความรอบคอบ อยู่เสมอ เพราะผลของกรรมนั้น จะมาบังเกิดกับเราแน่นอน ค้นหาความสุข เติมเต็ม ให้ชีวิต (ความสุขที่แท้จริง) คําพูดของพ่อที่ผ่านทางโทรศัพท์ มาถึงข้าพเจ้า ก่อนเข้าค่ายฯว่า "ลองไปเรียนรู้ชีวิต ของลูกผู้ชายดู" แม้ว่าไม่สามารถ จดจําได้ทุกคําความ แต่มันก็ทําให้ข้าพเจ้า นํามาระลึกถึง เป็นแรงกาย แรงใจได้ต่อไป

- ทั่วดินแดน แคว้นถิ่นไท -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕)