หอมดอกพุทธา
"เห็นคุณค่าในชีวิตที่เราเป็นอยู่ ยอมนำพาให้เราผาสุก"


ทำชีวิตให้มีค่าสมกับที่ได้เกิดมาชาติหนึ่ง..
เราไม่เห็นคุณค่าของตนเอง อาจเพราะเรามิได้ใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญ หรือเราอาจไม่เข้าใจว่า ค่าของชีวิต ตามสัจจะนั้นเป็นเช่นไร

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่า ค่าชีวิตอยู่ที่ความมั่งคั่งร่ำรวย มีเงินพันล้าน มีบ้านราวกับวัง มีรถเก๋งสวยหรู ใช้ชีวิตเสพสุขสำราญเยี่ยงราชา

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าค่าชีวิตอยู่ที่ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นเจ้าคนนายคน มีอำนาจบาตรใหญ่ คนทั่วไป ต้องศิโรราบคาบแก้วแทบเท้า

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าค่าชีวิตอยู่ที่ชื่อเสียงสรรเสริญ เป็นคนมีหน้ามีตา เด่นดังในสังคม จนเป็นที่รู้จัก ของคนหมู่มาก เป็นคนสำคัญของผู้อื่น ไปที่ไหนใครก็ทัก แสดงความยินดีที่ได้พบเห็น

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าค่าชีวิตอยู่ที่ได้เสพสุขโลกีย์ เป็นสุขสมใจอยาก สุขที่เกิดจากอวิชชา กิเลสตัณหา เป็นตัวขับดัน

แต่โดยสัจจะแล้ว...การได้มาซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นเสมือน "เงาแห่งชีวิต" ทว่า "ค่าของชีวิต" อันเป็นเนื้อแท้ อยู่ที่การเสียสละ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่างหากเล่า

เสียสละได้มากเท่าใด ชีวิตเราก็มีค่าต่อโลกมากเท่านั้น

พระพุทธเจ้าทรงสละทุกสิ่งทุกอย่างออกบวช ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันมั่งคั่งมหาศาล ทรงทิ้งไว้เบื้องหลัง อย่างไม่ใยดี แม้แต่บุตร-ภริยา และเครือญาติ..ก็ทรงตัดใจจาก เพื่อออกแสวงหา โมกขธรรม และได้ค้นพบ ในที่สุด

ชาวพุทธทุกคน ยอมรับใช่ไหม? ยอดมหาบุรุษ ที่แม้ยังเท่าเปล่าเปลือย เป็นศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ ของโลกคนหนึ่ง ที่ค่าชีวิตของพระองค์ มากมาย สุดที่จะเปรียบปาน

ค่าชีวิตเราจะปรากฏทันที เมื่อเราเริ่มเสียสละเพื่อคนอื่น... ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก และมีคุณค่า ในสายตาผู้รับ

ความสุข จะเกิดขึ้นได้ หากดำรงตนอย่างคนมีค่า เสียสละได้แม้สมบัติ แม้โลกธรรมทั้งปวง และที่สุด ของการเสียสละ คือ สละซึ่งอัตตา

ผู้สละแล้ว ซึ่งกิเลสอัตตา นับเป็นชีวิตที่มีค่าอย่างที่สุด และสุขสันต์ เหลือจะกล่าว

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕)