หน้าแรก>สารอโศก

เดินตามรอยพ่อ - โดย...ฟากฝั่งฝัน อโศกตระกูล -
กำเนิดชีวิต


ทุกชีวิตเกิดมาบนโลกนี้ โดยเฉพาะขึ้นชื่อว่าคน ย่อมมีพ่อและแม่เป็นผู้ให้กำเนิด แม้เด็กทดลอง ในหลอดแก้ว ก็ยังต้องนำน้ำเชื้อ จากผู้เป็นพ่อมาใช้ เพราะฉะนั้น คำว่าพ่อ จึงมีความหมาย ที่ยิ่งใหญ่ กับลูกๆทุกคน ใครที่ไม่รักพ่อ ไม่กตัญญูพ่อ คนนั้นย่อม เป็นคนไม่ดี เป็นคนไม่เจริญ ในการปฏิบัติ หน้าที่การงาน เป็นบุญแล้ว ที่มีพ่อเป็นผู้ให้ชีวิตร่างกาย

ดิฉันเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง การศึกษาเพียงอ่านออกเขียนได้ ด้วยความรู้น้อย บวกกับต้องการหารายได้ ให้กับครอบครัว ดิฉันจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และได้งานทำ ที่สมุทรปราการ จากเด็กสาวบ้านนอกอายุ ๑๘ ปี ทำงานได้ ๘ ปี ช่วงนี้เองที่ทำให้ดิฉันมีการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลง

เมื่อถึงจุดอิ่มตัว ก็ย่อมแสวงหา ดิฉันจึงชวนเพื่อนๆ ที่ทำงาน ร่วมกันไปตามวัดต่างๆ เพื่อปฏิบัติธรรม ชวนกันรับประทาน อาหารมังสวิรัติ ทุกวันพระ และงดเว้นอาหารเย็น ทุกวันพระ ถือปฏิบัติ มาเรื่อยๆ จนกระทั่ง วันหนึ่ง เพื่อนก็ชวนมาพักค้าง ที่ปฐมอโศก จำได้ว่าปี ๒๕๒๘ ซึ่งยังเป็น โครงการ ปฐมอโศกอยู่เลย และ บ้านก็ยังมีเพียง ไม่กี่หลังคาเรือน

เป็นครั้งแรก ที่ดิฉันมีโอกาสได้ฟังเทศน์ ฟังธรรมจากพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ฟังแต่ไม่ค่อยเข้าใจ อาจเป็นเพราะ ดิฉันปัญญาน้อย จึงไม่สามารถเข้าใจได้ ในวันนั้น เพื่อนที่ชวนดิฉันไป ได้ให้หนังสือ ดิฉันมาเล่มหนึ่ง เพื่อเอาไปอ่าน ที่บ้านพัก เพราะเพื่อนเขารู้ว่า ดิฉันรับประทาน อาหารมังสวิรัติ เฉพาะวันพระ หนังสือเล่มนั้นคือ "ฝันร้ายเมื่อเที่ยงคืน"

เมื่ออ่านแล้ว ดิฉันบอกกับเพื่อนว่า ดิฉันจะรับประทานอาหาร มังสวิรัติตลอดชีวิต เพราะการนำชีวิตคนอื่น มาเลี้ยงชีวิตเรา เป็นการไม่ถูกต้อง เพราะทุกชีวิต ย่อมรักชีวิตของตนเอง และอีกอย่าง ดิฉันสงสารสัตว์ ที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ โอ้หนอ...เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต อย่าเบียดเบียนกันเลย

เมื่อเพื่อนทราบ ความตั้งใจของดิฉัน เพื่อนดีใจมาก บอกว่ามีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง อยากให้อ่านดู และ เพื่อนก็ได้นำ หนังสือเล่มนี้ มาให้ดิฉัน นั่นคือ "สัจจะชีวิตของพระโพธิรักษ์" หนังสือเล่มนี้เอง ทำให้ดิฉัน ได้พบ สิ่งที่แสวงหามาช้านาน เมื่อยิ่งอ่าน ดิฉันยิ่งดีใจ น้ำตาไหลอาบแก้ม ฉันค้นพบแล้วหนอ ผู้เป็นพ่อ ของฉันทางจิตวิญญาณ

เพื่อนที่แสนดีของฉัน คนนี้คือ คุณสำราญ ภิรมย์สด และเพื่อนของดิฉัน ก็ยังให้หนังสืออีกเล่มมาให้อ่าน นั่นคือ "ชีวิตในผ้าสีหม่น" โดย ขรัวตาคง ยิ่งอ่าน ยิ่งได้เรียนรู้ จุลศีล-มัชฌิมศีล -มหาศีล พระพุทธเจ้า ท่านช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ดิฉันจึงปฏิบัติตาม แนวทางของชาวอโศก มังสวิรัติบริสุทธิ์ ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา และเริ่มรักษาศีล ๕ งดสิ่งมอมเมา เสพติดทุกๆอย่าง

ดิฉันพร่ำบอกกับตัวเองว่า ได้พบได้เจอธรรมะที่แท้จริงแล้ว พบแล้ว เพราะดิฉันไปแสวงหามา ก็หลายวัดแล้ว ดิฉันและเพื่อน เริ่มมาฟังเทศน์ฟังธรรม ที่สันติอโศกเป็นประจำ ยิ่งได้ฟังพ่อท่าน สมณะ และ สิกขมาตุเทศน์ ได้เห็นข้อวัตร ปฏิบัติของท่าน ก็ยิ่งประทับใจมาก

พ่อท่านสอนอย่างไร ดิฉันก็นำไปปฏิบัติตาม ลด-ละ-เลิก ในแบบอย่างที่ดิฉันพอทำได้ และก็ได้มีโอกาส เข้ากลุ่มญาติธรรม คือ กลุ่มปราการอโศก ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน การมีหมู่กลุ่มทำให้ดิฉันเจริญขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ในการปฏิบัติตน

จนกระทั่งปี ๒๕๓๘ ดิฉันตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วเข้ามาอยู่ ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ของทางพุทธสถาน สันติอโศก แม้ว่ามันจะยาก และฝืนใจ แต่มันเป็นความตั้งใจ ของดิฉัน เพราะพ่อที่ให้ความรู้ ทางจิต วิญญาณแบบนี้ ไม่มีอีกแล้ว

ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ในการที่จะเข้ามาปฏิบัติตนเองในหมู่กลุ่ม ซึ่งเป็นการขัดเกลาจิตใจ ที่เคยยึด เคยติด เคยเสพย์ ให้มันลดน้อยถอยลง ดิฉันจึงไปช่วยงาน ที่ร้านอาหารมังสวิรัติ หรือที่ เรียกกันว่า ชมร. ชื่อเต็มก็คือ ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาโคราช ช่วยงานตั้งแต่ล้างจาน ล้างผัก หั่นผัก เตรียมอาหาร ขายสินค้าหน้าร้าน

การทำงาน คือการปฏิบัติธรรม วันคืนก็ล่วงไปๆ ดิฉันช่วยงานที่ชมร.โคราชอยู่ได้ ๔ ปี จึงได้ย้ายตัวเอง กลับมาอยู่ประจำ ที่สันติอโศก ดิฉันก็ทำงาน ตามที่ตัวเองถนัด นั่นคือช่วยจัดผัก จัดร้านขายพืชผัก ผลไม้ไร้สารพิษ ซึ่งสมัยนั้น ยังคงเป็นร้านศาลา ๑ (ปัจจุบันคือร้านกู้ดินฟ้า ๑)

ทุกที่ย่อมมีปัญหา ทุกที่ย่อมมีอุปสรรค แต่สิ่งที่ฉันแก้ไขอุปสรรค หรือปัญหาทุกๆครั้ง ก็คือ แก้ไขที่ตัวเอง ให้มากที่สุด เพราะตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน อัตตาหิอัตโนนาโถ เมื่อคิดอย่างนี้ จะทำให้ตัวดิฉันเอง สบาย และ สุขภาพแข็งแรง และสิ่งที่ดิฉันปฏิบัติเป็นประจำ นั่นก็คือ เคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนผู้อื่น

กราบเท้าพ่อด้วยจิตบูชายิ่ง

กลีบบัว

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕)