สัจจะแห่งกรรม
สัจจะก็คือความจริง ความจริงก็คือสัจจะ
ใครหรือผู้มีอำนาจใดๆในโลกนี้ ก็ไม่สามารถบิดเบือนสัจจะไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สัจจะแห่งกรรม กรรมเป็นสมบัติที่ติดตัวสรรพสัตว์บนโลกใบนี้
กรรมพาเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ใครไม่เชื่อในเรื่องของกรรม จึงประมาทในชีวิต
ข้าพเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งที่แสวงหาสัจจะ
แสวงหาความสงบสุขที่แท้จริง ตั้งแต่วัยเยาว์ ข้าพเจ้าเกิดในตระกูล ของคนเชื้อสายจีน
และข้างๆบ้านข้าพเจ้าก็มีโรงเจ ญาติๆข้าพเจ้าก็ทานเจกัน ทำให้ข้าพเจ้า ซึมซับบุญกุศล
ตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ทานเนื้อวัว เพราะวัวควาย เป็นสัตว์มีบุญคุณต่อคนมาก
และได้อ่านเจอ หนังสือลัง กาวตาลสูตร ข้าพเจ้าจึงตั้งใจ จะไม่ทานอาหาร ที่มีเนื้อสัตว์ทุกชนิด
เวลาจะรับประทาน อาหาร ก็ทำทานเอง หรือไปสั่งอาหารข้างนอก ก็บอกเขา ทำแต่ผัก
อาจจะเป็นบุญเก่าของข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะทราบได้
เพราะข้าพเจ้าไม่ชอบกินเหล้า สูบบุหรี่ ดูหนัง หรือ เที่ยวเตร่ ตอนกลางค่ำ
กลางคืนเลย คือไม่ติดอบายมุข สิ่งเสพย์ติด แต่เป็นคนมุ่งมั่นศึกษา หาความรู้
พอได้มาเจอ ชาวอโศก จึงเป็นเรื่องง่าย สำหรับข้าพเจ้า ที่ไม่ต้องไปละ ไปเลิก
เรียกว่ามีศีลอยู่แล้ว โดยปฏิบัติมาเอง
ข้าพเจ้ารู้จักชาวอโศกในปี
พ.ศ.๒๕๑๙ ตอนนั้นชาวอโศกก็ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
และข้าพเจ้า ก็เป็น นักศึกษาอยู่ปี ๒ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ข้าพเจ้าประทับใจ
สมณะที่นี่ เพราะท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตรงตามหลักธรรมคำสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าศรัทธา ในแนวทางปฏิบัติ ของที่นี่ ไม่ได้ศรัทธาใครเป็นส่วนบุคคล
ช่วงแรกๆสิ่งที่ข้าพเจ้าสงสัยก็คือ
เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทศนาปาฏิหาริย์ ข้าพเจ้าสงสัย
ข้องใจว่า มันเป็นอย่างไร และจะเป็นจริงหรือเปล่า แล้วข้าพเจ้าก็ได้อ่านหนังสือ
"สุดยอดปาฏิหาริย์" ของ พ่อท่าน
สมณะโพธิรักษ์ ที่เขียนไว้ จึงได้เข้าใจแจ่มชัดว่า เรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์
มันไม่ใช่ หลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า แต่ให้เน้นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือสอนให้ละชั่ว
ประพฤติดี ลด ละ เลิก ในสิ่งที่เป็นบาป อกุศลต่างๆ ซึ่งนี่คือเป้าหมายสำคัญ
ในการปฏิบัติ ตามแนวทางของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือฝึกลด ละกิเลสตัณหา
อุปาทาน มานะอัตตา ในตัวของเรา ให้หมดให้เกลี้ยงนี้ ต่างหาก
ข้าพเจ้าไปๆมาๆที่สันติอโศกหลายครั้ง
นำเท็ปไปฟังบ้าง และนำหนังสือ ความรัก ๑๐ มิติ
ค่าอย่างไรที่สังคมนิยม สุดยอดปาฏิหาริย์ ชีวิตในผ้าสีหม่น ไปอ่าน
อ่านแล้วยิ่งประทับใจ มากยิ่งขึ้น และ ศรัทธามาก ยิ่งขึ้นว่า ที่นี่ปฏิบัติจริง
ไม่มีการหลอกลวง และไม่มาทำลาย ศาสนาแน่นอน ข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ ได้มีโอกาส
สนทนายิ่งได้รู้ว่า คนที่มาบวชที่นี่ ตั้งใจมาบวช
ตลอดชีวิต อุทิศเพื่อศาสนาทั้งชีวิต
ยิ่งได้ฟังธรรม ข้าพเจ้ายิ่งศรัทธา
ได้เห็นความพิเศษของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ในการแสดงธรรม แจกแจงกิเลสต่างๆ
ที่มีอยู่ในคน ซึ่งฝังมานานจนเป็นเจ้าเรือนร่าง คือกิเลส มันเป็นเจ้าเรือน
ของเรานั่นเอง กิเลสโลภ โกรธ หลง กาม พยาบาท อาฆาต เคียดแค้น ท่านแจกแจงแสดงธรรม
ได้แบบลุ่มลึก กว้างขวาง พิสดาร อธิบายให้เราได้เข้าใจ ได้เห็นบทบาท ลีลาของกิเลส
และต้องกำจัดหรือ ดับกิเลสเหล่านั้น แบบใดบ้าง ซึ่งการแสดงธรรมแบบนี้ ต้องมาจากสภาวะที่มี
ถึงจะแจกแจง ได้อย่างพิสดาร
ปี พ.ศ.๒๕๒๐ ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจจะมาบวช
เลิกเรียนมหาวิทยาลัย มาสมัครเป็นปะ (ผู้ปฏิบัติ) ที่นี่ แต่ก็โดนทางครอบครัว
คือพ่อแม่มาตามกลับไป ไม่ให้บวชที่นี่กับชาวอโศก เพราะพ่อแม่ไม่ชอบ ถ้าจะบวช
ให้ไปบวชที่อื่น และพ่อแม่ อยากให้เราเรียนให้จบ เพื่อจะไปทำงาน ทางโลกมากกว่า
พอกลับไปบ้าน เขาก็ให้เรียนต่อ ข้าพเจ้าก็นึกว่าแบบนี้ มันเสียความตั้งใจของตน
ข้าพเจ้าจึงเรียนปรึกษาพ่อท่าน
สมณะโพธิรักษ์ว่า ถ้าไปบวชที่อื่น แล้วมาปฏิบัติที่นี่
จะได้ไหม พ่อท่าน ก็ตอบว่า ได้ ข้าพเจ้าจึงไปบวชที่นครสวรรค์ ซึ่งมีญาติคุณสันติยา
พาไปบวชแถวบ้านของแก พอบวชแล้ว ก็มาที่ไพศาลี แล้วลงมาสันติอโศก แล้วไปอยู่ที่ศีรษะอโศก
ซึ่งพอดีเป็นงาน ปลุกเสก พระแท้ๆของพุทธ ครั้งแรก
ซึ่งสมัยนั้นสมณะชาวอโศกเดินทางด้วยรถสาย
๙๙ อาหารก็นำไปฉันกันบนรถ พ่อท่านก็เดินทาง ไปด้วย สมัยโน้นลำบาก คนก็มีไปไม่มากที่งานปลุกเสกฯ
เพราะเป็นครั้งแรก จึงมีแต่คนแถวๆ บ้านกระแชง กันทรลักษ์ และก็ อุบลราชธานีนิดๆหน่อยๆ
ไฟฟ้าก็ไม่มี ใช้วิธีจุดตะเกียง น้ำมันก๊าด ตะเกียงเจ้าพายุ
หลังจากลงทะเบียนดูตัว
๑ ปี จึงได้บวชเป็นสมณะชาวอโศก เมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๑ และได้ไปจำพรรษา
ในแต่ละพุทธสถาน เพื่อฝึกฝนเรียนรู้ การทำงาน การประสานงานกับบุคคลอื่นๆ
เรียนรู้ทั้งงาน ทั้งอารมณ์ (กิเลส) ที่เกิดขึ้น เมื่อเจอผัสสะที่มากระทบ
ก็อดทนล้างจิตล้างใจ ด้วยอหิงสาอโหสิ
เมื่อเกิดเหตุการณ์กรณีสันติอโศก
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้หวั่นไหวใดๆ เพราะเชื่อมั่นศรัทธา ในทิศทาง ที่พ่อท่าน พาทำ
พาเป็น พาไป ไม่กลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงแต่กังวลก็คือ กลัวใจตัวเราเอง
จะก้าวร้าว รุนแรง ที่จะไปตอบโต้ กับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะนิสัยข้าพเจ้า
ไม่ชอบความอยุติธรรม แต่ก็สามารถ ข่มใจตนเองไว้ได้ พอสมควร
พ่อท่านโดนจับ ข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาร่วง
ตื้นตันคิดเป็นห่วงพ่อท่าน และสงสารท่านมาก พอประกันตัว ออกมาได้ ข้าพเจ้าก้มกราบพ่อท่านด้วยน้ำตา
เพราะหาบุคคลที่ยอมเสียสละ และอุทิศตนเอง โดยไม่พร่ำบ่น
หรือ ร้องขอใดๆ ข้าพเจ้าซึ้งใจประทับใจ จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ และเมื่อข้าพเจ้า
ถูกเชิญไปสอบสวน ก็ตื้นตันใจ ไม่ห่วงตัวเอง แต่สงสารบรรดาโยมทั้งหลาย โยมพ่อไปเยี่ยม
ที่โรงเรียนตำรวจบางเขน โยมพ่อ แสดงความห่วงใย ทำให้ข้าพเจ้าตื้นตันใจ จนน้ำตาคลอเบ้า
แต่จิตใจไม่ได้กลัว หรือหวั่นไหวใดๆเลย
สงสารโยมพ่อ
กลัวท่านจะทุกข์ใจ กังวลใจ เสียใจ ผิดหวังในตัวข้าพเจ้า เกรงว่าโยมพ่อ หรือทางบ้าน
จะยังไม่เข้าใจ และจะเป็นทุกข์เป็นร้อน เมื่อข้าพเจ้าอธิบายให้ฟังว่า มันเป็นเรื่อง
ของการต้องต่อสู้ เพื่อความถูกต้อง โยมพ่อก็เริ่มเข้าใจ ทุกวันนี้โยมพ่อเข้าใจมากขึ้นว่า
การมาบวชมาปฏิบัติ อย่างนี้ดีแล้ว
การบุกเบิกสร้างชุมชน
ย่อมมีปัญหา มีอุปสรรค เพราะยุคแรกๆ
ยังไม่มีอะไรพร้อม ยังไม่มีอะไรบริบูรณ์ นี่เป็นปัญหาหลัก ที่ต้องเร่งรีบแก้ไข
ซึ่งก็ต้องพยายามให้ทุกคน มีส่วนร่วมระดมความคิด เพื่อแก้ปัญหา อาศัยการประชุม
เพื่อให้รับรู้ปัญหาร่วมกัน รู้ทิศทางในการพัฒนา แก้ปัญหาร่วมกัน อาศัยการประชุม
เพื่อปรับ ความเข้าใจกัน ในทุกๆครั้งที่มีปัญหา เพราะอาจตามไม่ทัน หรือไม่เข้าใจกัน
ทุกอย่างมีคำตอบ ในตัวมันเอง จะรอให้ทุกคนเข้าใจ แล้วลงมือทำ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ก็ต้องทำ แม้คนบางส่วน ยังไม่เข้าใจ มันก็ต้องทำ ก็ย่อมเป็นธรรมดา ที่อาจเกิดปัญหา
ในความรู้สึก ของใครบางคน
ถ้าเกิดความขัดแย้งกันทางด้านความคิด
ต้องพูดคุยกัน ประชุมกัน และอาศัยเวลา ในการเรียนรู้เข้าใจ
เพราะจะให้ทุกคน เรียนรู้เท่าๆกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เหมือนการทำโจทย์คณิตศาสตร์
บางคนก็ใช้เวลา ไม่กี่นาที บางคนก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง บางคนหลายๆวัน บางคนเป็นเดือนเป็นปี
เมื่อเกิดความขัดแย้ง
ข้าพเจ้าก็ปล่อย เพราะข้าพเจ้าไม่ชอบบังคับจิตใจใคร ใครเห็นต่างเห็นแย้ง
สำหรับ ข้าพเจ้าเอง ไม่มีปัญหาใดๆ แต่ทำงานร่วมกันได้ ความเห็นต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา
สำคัญอย่านำ เรื่องส่วนตัว มาปนกับเรื่องงาน เพียงแต่ขอให้มีหลักการ ร่วมกันในการทำงาน
ทุกวันนี้งานพวกเราขยายมากขึ้น
กว้างขึ้น เป็นการพิสูจน์ศักยภาพของพวกเราแต่ละคน ควรต้องปรับเปลี่ยน ความรู้สึก
สำนึกขึ้น อย่าทำตัวเหมือนลูกจ้างบริษัท
ควรทำตัวเป็นเจ้าของบริษัท คือทุ่มเท เพื่อพัฒนา ปรับปรุง กิจการ ให้มันรุดหน้า
เต็มศักยภาพของเรา ข้าพเจ้าเป็นคนค่อนข้าง ปรับตัวเข้ากับยุคสมัย ที่เปลี่ยนแปลง
เพราะทุกๆอย่าง มันไม่จีรังยั่งยืน จะยึดเป็นแนว อนุรักษ์นิยม ไม่ได้แล้ว
พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ทุกวันนี้
พาทำงานโดยไม่ยึดรูปแบบคือ ปรับไปตามสภาพ สถานการณ์ แต่สิ่งที่มั่นคง ก็คือ
จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล
เพียงแต่รูปแบบการทำงานเท่านั้น ที่ปรับเปลี่ยน เพื่อความเหมาะสม ข้าพเจ้าดูพ่อท่านเป็นตัวอย่าง
ท่านเป็นผู้นำ ในหมู่กลุ่ม ข้าพเจ้าเชื่อมั่น ในวิสัยทัศน์ ของพ่อท่าน ถ้าท่านอนุโลมแล้ว
ก็จงเชื่อมั่น
การปฏิบัติศีล ลดละอบายมุขต่างๆ
ลดละสิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย มักน้อยสันโดษ เป็นผู้ยินดี ในความสงบ สงัด ไม่หลงเป็นทาส
วัตถุนิยม สูตรนี้สำหรับชาวพุทธ ที่จะต้องเรียนรู้ปฏิบัติ ให้เป็นแก่นสาระสำคัญ
ถ้าติด สิ่งใดมาก ก็ฝึกลดละเลิกในสิ่งนั้น แล้วก็จะพบกับความสุข ที่แท้จริงได้
ฝึกวิเคราะห์พิจารณาว่า
สิ่งใดเป็นสาระ สิ่งใดไม่เป็นสาระกับชีวิต
เมื่อแยกแยะ หรือ วิเคราะห์ได้ ก็จะทำให้เรา ปฏิบัติได้ผล ก็จะไม่หลงทิศหลงทางไปกับเรื่องไร้สาระ
เพราะฉะนั้น ถ้าใครวิเคราะห์ เรื่องที่เป็นสาระ นั้นก็เป็นสัมมาทิฐิเบื้องต้น
ของพุทธศาสนิกชน ต้องรู้จักเลือกสรรหาสาระ ให้ตัวเอง ไม่ปล่อยเวลา ของตัวเอง
ให้เปล่าประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า "เวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์
และตัวมันเอง" อย่าปล่อยเวลาให้มันกลืนกินชีวิตของเรา โดยเปล่าประโยชน์เลย
ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ท้าทาย ให้มาพิสูจน์
ทันยุคทันเหตุการณ์เสมอ ยิ่งปฏิบัติยิ่งเชื่อมั่นศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เรื่องของกรรม วิบากกรรม ผลของกรรม กรรมเป็นของของตน ข้าพเจ้าเชื่อในกฎแห่งกรรม
ทำดี-ดี ทำชั่ว-ชั่ว
กราบคารวะพ่อ
ส.ถ่องแท้ วินยธโร
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๔๙ มิถุนายน ๒๕๔๕)
|