>สารอโศก

เดินตามรอยพ่อ

ชีวิตคือ..สมถะ


จากฉายานักเดินตีนเปล่า ผู้มีความมั่นคง แน่วแน่ ในการย้อนชีวิต สู่สมัยพุทธกาล ไม่นิยม และ ไม่สนับสนุน เทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยี สมัยใหม่ คือการทำลาย สิ่งแวดล้อม และชีวิตคน

ข้าพเจ้า สมณะหม่อน มุทุกันโต เมื่อสมัยที่ยังไม่ได้มาบวช ข้าพเจ้า ใช้ชีวิตแบบโง่ๆ กว่า ๓๐ ปี คือ ไม่รู้เรื่องของ บุญบาปว่า เป็นอย่างไร ชีวิตจึงมัวเมา ลุ่มหลง จนเกิดภาวะ อาการของความเครียด จึงไปบวช ตามประเพณี และไปทำ เจโตสมถะ แบบตามประสา ที่ตนเองเข้าใจ เพียงเพื่อ ต้องการพักผ่อนเท่านั้น

เมื่อไปนั่งเจโต ทำให้ได้ความสงบของจิตใจ จึงได้ฉุกคิดว่า เออหนอชีวิต ต้องการความสุข ควางสงบง่ายๆ นี่เองหนอ ความสุข ความสงบก็คือ ความสมถะ ในจิตใจนี่เอง ข้าพเจ้าจึงออกตามหาผู้รู้ หรืออาจารย์ เผื่อว่าจะมี ผู้ที่สามารถนำพา พาเป็น ในสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคือ ความสุข สงบ มักน้อย สันโดษ ชีวิตเพียงเท่านี้ ก็พอแล้ว

ข้าพเจ้าสึกแล้วก็ตามหาอาจารย์ไปเรื่อยๆ และแล้วก็ได้มาพบชาวอโศกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ได้คำตอบ กับตัวเอง ทันทีว่า "ที่นี่เอง ที่นี่แหละ คือคำตอบของชีวิต" ความสุขสงบที่แท้จริง ไม่ใช่ให้ไปนั่ง หลับตาเอา มันต้องมา เรียนรู้ว่า อะไรที่มันหุ้มห่อ อะไรที่มันอำพราง อะไรที่มันปิดบังจิตใจเรา ให้มืดมัวมืดบอด ต่างหาก

ที่นี่สอนว่า เดินมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้านั่นแหละ สิ่งที่ไม่ดีในชีวิตให้ละออกเลิกออก สิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่เป็นสาระ เอาออกไป อบายมุขเอาออกไป เพราะมันไม่จำเป็นเลยในชีวิต เมื่อเอาออกจาก จิตใจเราแล้ว เราก็ไม่ฟุ้งซ่าน กับสิ่งเหล่านี้ นี่คือ ความสงบสุขที่แท้จริง

จากนั้น ก็ปฏิบัติศีล ๕ ของศาสนาพุทธ เว้นจากการฆ่า การเบียดเบียน การลักขโมย เหล่านี้เว้นออก เลิกออก จากตัวเราให้หมด เราก็จะไม่กังวล ก็ทำให้ข้าพเจ้าได้คำตอบที่แท้จริง ซึ่งตอนนั้น ข้าพเจ้ามีอาชีพ เป็นพ่อพิมพ์ของชาติ แต่มีหนี้สิน เมื่อพบแนวทาง ในการปฏิบัติ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม และใช้หนี้สินที่มีอยู่ จนไม่เป็นหนี้ เป็นสิน นี่เพราะแนวทาง ของชาวอโศกแท้ๆ

ข้าพเจ้าปฏิบัติศีล ๕ ศีล ๘ ผสมผสานกันไป ที่ทำเช่นนี้ เพราะข้าพเจ้ามีความติดหลายๆ อย่าง จึงพยายาม ที่จะลดละเลิก เลิกกินเนื้อสัตว์ ๔ เท้า เพราะมันเป็นสัตว์ใหญ่มีคุณมีค่า ต่อมาก็เลิกกิน เนื้อสัตว์ ๒ เท้า สัตว์มีปีก ข้าพเจ้าใช้เวลาในการต่อสู้ ข่มฝืนกับจิตใจพอสมควร มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก มันท้าทายให้ปฏิบัติ เพราะมันเป็นทางที่ดี ที่จะพาให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์

จากสัตว์ ๔ เท้า สัตว์ ๒ เท้า สัตว์มีปีก ก็มาพรากลดเลิกปลาทูเค็ม และไข่ทั้งหลาย ต้องใช้ ความพยายาม อย่างมาก ต้องใช้พลังใจอย่างยิ่ง ต้องตอกย้ำกับตัวเองบ่อยๆว่า จะมาเอาดี จะเอาความสุขสงบ ต้องเลิกให้ได้ ให้เด็ด ให้ขาด เพราะไข่ก็คือเลือดเนื้อเชื้อของสัตว์

พอวันเสาร์-อาทิตย์ ข้าพเจ้าก็มาเติมพลังที่สันติอโศก ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้า อยู่ที่จังหวัดเลย ข้าพเจ้าก็จะนั่งรถ มาทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และช่วงปีที่ ข้าพเจ้าเดินทางมา ทางสันติก็มีงาน กองทัพธรรม ที่สวนลุมพินี มีการไปปักกลด ตอบปัญหา อยู่ที่สวนลุมพินีวัน ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ข้าพเจ้าก็ได้ไปช่วย เก็บกวาด เท่าที่ทำได้ และ ข้าพเจ้าติดตาม ชาวอโศกตลอด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือเท็ปธรรมะ ข้าพเจ้าหอบ กลับไปที่บ้าน ไม่กังวล ไม่สนใจกับเพื่อนฝูง หรือใครทั้งสิ้น เพราะชัดเจน ในทิศทาง และเป้าหมาย ของชีวิตแล้ว

เมื่อข้าพเจ้ามั่นใจ มั่นคง ไม่ต้องการอีกแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ เรื่องโลกีย์ทางโลก เพราะมันไม่ใช่ สาระ ของชีวิต ข้าพเจ้าจึงมุ่งที่จะมาบวช ปฏิบัติศีลให้เคร่งครัดมากยิ่งขึ้น และเมื่อสิ้นปีพ.ศ.๒๕๒๖ ข้าพเจ้า ก็ลาออก จากอาชีพราชการครู (ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งครูใหญ่ ร.ร.บ้านพองหนีบ อ.ภูกระดึง จ.เลย)

เหตุที่เคร่งครัดตนเอง เพราะถ้ามาอยู่ที่สันติอโศก แล้วทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ ก็จะอายเขา เพราะที่นี่ เขาเอาจริง

เปรียบเสมือนนักมวย ต้องซ้อมต้องฟิตตัวเอง และต้องมั่นใจในการที่จะขึ้นชิงแชมป์ หรือ ป้องกันแชมป์ ข้าพเจ้า มั่นใจในการปฏิบัติศีล อย่างมั่นคง เขาตั้งตบะอะไร ที่สันติอโศก ข้าพเจ้าก็ตั้งบ้าง ตบะของข้าพเจ้า ๒ วัน กินข้าว ๑ มื้อ สนุกสนาน กับการตั้งตบะ ข้าพเจ้าเคร่งครัด เว้นขาด จากสิ่งที่ไม่จำเป็น ตามหลักธรรม ของพระพุทธเจ้า เป็นคน มักน้อย สันโดษ และต้นปีพ.ศ. ๒๕๒๗ ข้าพเจ้ามาปฏิบัติที่ สันติอโศก มาเป็น คนวัด เพื่อเตรียมตัว ที่จะบวช ได้บวชเป็นสมณะ เมื่อปี ๒๕๒๘ ปีนี้ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ก็เป็นพรรษาที่ ๑๗ ของข้าพเจ้า

บวชแล้วข้าพเจ้ายิ่งศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ซึ่งพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ บอกว่า ท่านนี่แหละ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ท่านเดินตาม ปฏิบัติตามคำสอน ขององค์สมณะโคดม พระพุทธเจ้า ดีอย่างไร สมณะโพธิรักษ์ ก็มาสั่งมาสอน อธิบายว่า ต้องทำอย่างนี้ ต้องคิดอย่างนี้ มีพฤติกรรมอย่างนี้ คำสอนของพระพุทธเจ้าละเอียดลออในความเป็นมนุษย์ ที่ประเสริฐสุดยอดของมนุษย์

ข้าพเจ้าก็เห็นตามนะ แต่ก็พยายามอยู่ ปัจจุบันนี้ก็พยายามอยู่ พยายามเดินตามอยู่ แม้ไม่มาก เพิ่งจะก้าว ตามไปกว่า ๑๗ ปี ประเมินตัวเอง ก็เพิ่งจะก้าวไปไม่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับกิเลส ที่เราเห็น ข้าพเจ้าก็คิดว่า มันง่ายๆ นั่งสมาธิแล้วก็จบ มันไม่ใช่ เพราะต้องมาคุ้ยกิเลส เห็นกิเลสแล้ว โอ้โห....วัฏสงสาร อีกยาวไกลหนอ แต่ละเรื่อง ที่เราติด จะละเลิกพราก ออกมาไม่ใช่ง่ายๆ จิตยิ่งชัดเจน ยิ่งตั้งตบะ เพื่อลุย เพื่อคุ้ยเขี่ยกิเลส โอ้โห..มันชักกลับซับซ้อนยั้วเยี้ย ยุบยับ ไม่รู้กิเลสตัวไหน เป็นตัวไหน แต่มันก็ตัวเดียว นั่นแหละคือ ความโง่ของเราเอง แต่มันมีลีลา แพรวพราว แม้กระนั้น ข้าพเจ้าก็จะไม่ท้อถอย ยังยินดี พากเพียร สร้างศรัทธา คำสอนของพระพุทธเจ้ามีเท่าไร จะปฏิบัติตาม เพิ่มศรัทธา แต่กิเลส มันก็หลอกล่อ ให้เราชะล่าใจเสมอ

ข้าพเจ้ารู้และเห็นหน้าเห็นตากิเลสมัน แต่ก็ยังไม่มีฤทธิ์มีแรงที่จะเผด็จศึกมันเห็นชัดเจนว่าอะไร เป็นตัวร้าย ตัวไหน ที่ทำให้เราทุกข์ จะว่าเข้าข้างตัวเอง ก็ไม่ใช่หรอก เพราะยุคนี้ คนอ่อนแอ พละอินทรีย์อ่อน สิ่งยั่วย้อม มอมเมาเยอะ มันไม่มีพลังพอ แต่ก็ไม่คิดท้อถอย พยายามอยู่ ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พยายามอยู่ แม้สังขาร และอายุจะล่วงเข้า ๕๘ ปี ก็ตาม แต่ความพยายาม ของข้าพเจ้าเต็มแน่น อยู่ในหัวใจ คิดว่า ตัวเองยังหนุ่ม ไม่เกี่ยงสังขาร ไม่มีข้ออ้างว่าแก่ ไม่ย่อหย่อน เต็มที่ในการละกิเลส

ข้าพเจ้าไม่ใช่พระธุดงค์ ข้าพเจ้าเป็นพระ เป็นสมณะธรรมดาๆ ธรรมดาจริงๆ เพราะทุกวันนี้ คนอ่อนแย่แล้ว แค่มาปฏิบัติตามธรรมวินัย คนก็ว่าธุดงค์แล้ว จริงๆธรรมดามาก เหมือนพวกเราชาวอโศกมาปฏิบัติศีล ๕ ศีล ๘ คนก็ว่า มันเกินไป จริงๆมันธรรมดา ยังไม่เว่อร์ไม่เกิน การเดินด้วยเท้าเปล่า ก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่ทุกวันนี้ คนอ่อนแอแย่ลง จะไปไหนก็ต้องใส่รองเท้า ขึ้นรถ มันเป็นเพียงกลไกลของโลก ที่บังคับ ให้ต้องไปเร็ว เท่านั้นเอง เดินด้วยเท้า แถมเท้าเปล่า มันเป็นของธรรมดา ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว

การเดินด้วยเท้าเปล่าไปยังที่ต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ที่ต้องไปสัมผัสสัมพันธ์กับผู้คน ได้มีการทักทาย ปราศรัย เรียกทานข้าว ดื่มน้ำ สมัยก่อนพระทั้งหลายท่านก็ดำเนินแบบนี้ เป็นวัฒนธรรม ไม่มีช่องว่าง ระหว่างชนชั้น เพราะได้สัมพันธ์ กับคนพื้นฐาน แวะตรงไหน ได้พูดได้คุย ไม่รีบไม่ร้อน จึงทำให้ ข้าพเจ้าศรัทธา พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งนัก

อนาคตต่อไปภายภาคหน้า โลกจะเร่งรีบรีบร้อนยิ่งกว่านี้ เพราะพัฒนาในการเดินทาง ไปเป็นเครื่องบิน จรวด ส่วนคนที่นั่งรถธรรมดา ก็จะถูกมองว่า เป็นพระธุดงค์ เพราะโลกมันมอมเมา ให้อ่อนแอลง เพียงพวกเรา มาปฏิบัติแบบนี้ ยังถูกมองว่า เว่อร์ไปเกินไป นั่นเพราะคน ยังไม่ได้มาเรียนรู้ คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แท้จริงเท่านั้น

การธุดงค์ของข้าพเจ้าคือ การขัดเกลากิเลสที่มันหนา มันหยาบ มันกร้าน ฉะนั้น จึงต้องหาวิธี เอาจริงเอาจัง ไม่ใช่เราตั้งเอง นี่เป็นคำสอน ของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องหาวิธี ขัดเกลากิเลส การบิณฑบาตก็คือ นิสัยของพระ ของสมณะ นี่ก็คือคำสอน ของพระพุทธเจ้า

ข้าพเจ้าได้คำตอบที่ชัดเจนในชีวิต ว่าชีวิตคนไม่มีอะไรให้น่าติดยึดเลย เพราะพระพุทธเจ้า ท่านเป็น ทุกอย่างมาแล้ว ไม่ว่าจะเคยเป็นสัตว์เดรัจฉาน จนถึงพระมหากษัตริย์ เป็นแล้วเป็นเล่า ทดสอบแล้ว ทดสอบเล่า พระพุทธเจ้ามาทดสอบ มาทดลองศึกษาว่า ชีวิตในโลกมันเป็นอยู่อย่างไร จึงจะไม่ทุกข์ เพื่อหาคำตอบ ของชีวิตว่า อย่างไรประเสริฐ พระพุทธเจ้ามาทดลองเป็นชาวไร่ชาวนา เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นซ้ำๆ ซากๆ เพื่อให้หายข้องใจ เป็นกษัตริย์ ๑๐๐ กว่าครั้ง เป็นจักรพรรดิ์ อีก ๓๐ กว่าครั้ง ก็ได้คำตอบว่า คนต้องมาเป็น อย่างพระพุทธเจ้า นี่คือ ยอดมนุษย์ และต้องพึ่งตนเอง สิ่งต่างๆที่มา ปรนเปรอเรา ทำให้อ่อนแอ สิ่งที่ไม่จำเป็น เอาออกไป สละออกไป ให้มากที่สุด มีเครื่องใช้น้อยที่สุด นั่นแหละ คือ คนประเสริฐ

ศีล ๕ อบายมุข ละออกไป เหล้ายาบุหรี่ เอาออกไป แม้ศาสตราอาวุธ เอาออกไป คำพูดไม่ดี ก็ละออก เว้นขาด สุดท้ายศีล ๘ ขับร้องดนตรี ดีดสีตีเป่าเอาออก ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่เอาออก อัตตามานะ ลดออก ละออก คือ บริขารทั้งหลายเอาออก ชีวิตเราก็จะแข็งแกร่งขึ้น พึ่งตนเองให้มากขึ้น ไม่เป็นภาระของคนอื่น ไม่ยุ่งไม่ยาก ไม่สิ้นไม่เปลือง ไม่มีความพลัดพราก ไม่มีความกังวล ที่สุดคือไม่มีอะไรเลย เหมือนพระพุทธเจ้า

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เป็นความจริง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ข้าพเจ้าตามรอยพระศาสดา และในความรู้สึก เหมือนพระศาสดา คอยมองตัวเราอยู่ ให้กำลังใจเราอยู่ เพราะข้าพเจ้ามั่นใจว่า ข้าพเจ้า กำลังเดินตาม มหาบุรุษของโลก ข้าพเจ้าศรัทธามากขึ้น ได้พละอินทรีย์มากขึ้น

การเดินตามรอยพระศาสดา ไม่ใช่เรื่องยาก หากมีความมั่นคง เราต้องมองให้เกิด กำลังใจ ทุกวันนี้ สิ่งยั่วย้อม มอมเมา ยิ่งมีมาก นั่นแสดงว่า คนจำนนแล้ว มันเป็นความอ่อนแอ ของมนุษย์ ทุกวันนี้ สิ่งของ ที่มีมากขึ้น มันไม่ได้เกิดเอง ตามธรรมชาติ มันเป็นสิ่งของ ที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งต้องผ่าน กระบวนการแปรรูป ของนายทุน ทำให้เกิดมลพิษ มลภาวะต่อโลก ต่อสังคม สิ่งที่เราผลาญทำให้เกิดน้ำเสีย เกิดมลภาวะ เราต้องมองให้เห็นโทษ โทษภัยเหล่านั้นที่เกิดขึ้น เพราะเราเป็นบุคคลหนึ่งใช่ไหม ที่ไปบริการสิ่งเหล่านี้ ตัวเราเป็นเหตุใช่ไหม?

พระพุทธเจ้าท่านยอมจำนนกับสิ่งเหล่านี้หรือ นี่เป็นความคิดในการปลุกจิตสำนึก ของตัวเราเอง พระพุทธเจ้า ท่านสอนว่า อย่าจำนนต่อ อะไรไม่ดี จงยอมสละชีวิต เพื่อรักษาธรรม ถ้าไม่เริ่มต้น ที่ตัวเราเอง เราจะรอใคร จงปลุกสำนึกโลก

จงฝ่าออกมาเถิด เหล่าพุทธบุตรทั้งหลาย เพราะคำสอน ขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอนไว้ว่า "อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

จงสร้างศรัทธา ในคำสอนให้มาก และจงกล้า กล้าที่จะยอมอุทิศชีวิต เพื่อสิ่งที่ดีงาม ให้เหลืออยู่ในโลก
แม้ตัวเราตาย แต่สิ่งที่ดีงาม จงฝากโลกนี้ไว้ ให้คนรุ่นหลัง ได้ศึกษา และปฏิบัติตาม

ด้วยบูชาศรัทธายิ่ง
- ส.หม่อน มุทุกันโต -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๐ กรกฎาคมา ๒๕๔๕)