กว่าจะถึงอรหันต์
พระหาริตเถระ
ช่างศรดัดศรให้ตรง
ใจคนก็ดัดตรงได้
หากไม่เกียจคร้านร่ำไร
ตั้งใจดัดจริงได้เร็ว
ในอดีตกาลอันเนิ่นนานมาแล้ว อดีตชาติของ พระหาริตเถระ
ก็ได้สั่งสม บุญกุศลเอาไว้ ด้วยการนำเอา ดอกไม้ ที่เกิดอยู่ในป่า หิมพานต์
คือดอกอัญชันเขียว มาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า
สุทัสสนะ ซึ่งพักอาศัย อยู่ที่ภูเขาชื่อว่า
วสละ ไม่ห่างไกลจาก ป่าหิมพานต์นัก
ความที่เป็นผู้เลื่อมใสยิ่ง
ในผู้ข้ามพ้นกิเลสทั้งปวงได้แล้ว และทำการสักการะบูชาอยู่ นี้เอง ส่งผลบุญให้ท่าน
ไม่ไปสู่ทุคติ (ทางชั่ว) ได้ไปแต่ทางสุคติ(ทางดี)เพียงอย่างเดียว
ชาติแล้วชาติเล่าผ่านไป
กระทั่งถึงยุคสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมุตตระ
ท่านได้เกิด อยู่ในคฤหาสน์ ของ ผู้ดีมีสกุล
จนเติบใหญ่ รู้เดียงสาดีแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่ พระพุทธเจ้า ทรงปรินิพพานพอดี
หมู่มหาชนทั้งปวงพากันจัดเชิงตะกอนแด่พระสรีระของพระองค์
ได้นำของหอม นานาชนิด มาบูชา ท่านเองก็ได้มีโอกาสทำบุญนี้ ด้วยจิตใจเคารพบูชาต่อพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง
จึงบูชาด้วย ของหอม กำมือหนึ่ง อันเป็นผลให้ท่าน ดำเนินไปแต่ในทางที่ดี
กระทั่งได้มาเกิดในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม
ท่านเกิดใน ตระกูลพราหมณ์ มหาศาล ที่ร่ำรวย
ในพระนครสาวัตถี มีนามว่า หาริตะ ตั้งแต่เล็กจนโต
มีข้าทาสบริวาร คอยรับใช้ อยู่ตลอดเวลา จึงเกิดการถือตัว ในชาติตระกูลของตน
มักเรียกคนอื่นว่า คนถ่อยอยู่เสมอ
เมื่ออายุเหมาะสมแก่การมีคู่ครอง
บิดามารดาจึงสู่ขอสาวงาม ธิดาของพราหมณ์ที่มีฐานะ มีชาติตระกูล เหมาะควรกันมาให้
ทั้งสองได้อยู่ ครองคู่กัน อย่างมีความสุข ตลอดมา
วันหนึ่งหาริตมาณพ ได้มองดูรูปโฉมของภรรยา
และของตนแล้ว ได้บังเกิดความสลดใจขึ้น ด้วยการมองเห็น ความจริง ของชีวิตว่า
"รูปโฉมนี้แม้จะสะสวยสักปานใด
สักวันก็ต้องเหี่ยวย่นแก่ชรา เจ็บป่วย และถูกความตาย คุกคาม ย่ำยีเป็นที่สุด
ในเวลาอีก ไม่กี่ปีเลย"
หลังจากที่เกิดความรู้สึกอย่างนี้แล้ว
อีกเพียงไม่กี่วันต่อมา....ก็มีงูเห่าตัวหนึ่ง กัดภรรยาของเขา จนถึงแก่ความตาย
เขาจึงยิ่งเศร้าโศก เสียใจใหญ่หลวง ต้องไปที่พำนัก ของพระศาสดา ได้ฟังธรรม
ที่ให้ตัดความอาลัย ตัดใจผูกพันทั้งปวง จึงได้เกิด ดวงตาเห็นธรรม สละสิ้นทุกสิ่ง
ทั้งทรัพย์สิน บ้านเรือน เครือญาติ แล้วออกบวช อยู่ในธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า
เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญสมณธรรม
แต่ภิกษุหาริตะก็ยังติดนิสัยถือตัวในชาติสกุล ยังขาดสติ อยู่เสมอ มักเรียก
ผู้อื่นเป็นประจำว่า คนถ่อย เพราะประพฤติจนติดนิสัย
มานานแล้ว กระทั่งคร้าน ที่จะแก้ไขนิสัยนี้
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านเข้าไปสู่หมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต
ได้เห็นช่างทำลูกศรคนหนึ่ง กำลังทำงานของเขาอยู่
โดยนำลูกศรมาดัดให้ตรง จึงได้เกิดพิจารณาธรรมขึ้นว่า
"ช่างศรผู้นี้ แม้ลูกศรคดก็ยังทำการดัดให้ตรงได้
ก็แล้วจริตนิสัยถือตัวของเราเล่า น่าที่จะดัดให้ตรงได้"
ท่านขบคิดวิจัยไปในธรรมแล้ว
แต่ก็ยังลังเลสงสัย ไม่มั่นใจในตนเอง จึงยังคงเป็นอยู่เช่นเดิม ครั้นพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงทราบ ได้ตรัสสอนแก่ ภิกษุหาริตะว่า
"แน่ะ! ท่านหาริตะ
ท่านจงยกตัวของตัวเองขึ้นจากความเกียจคร้าน เสมือนช่างศร ยกลูกศรของตน ขึ้นดัดให้ตรง
เพื่อจะใช้ยิงได้ตรงเป้า ฉันใด ท่านก็จงดัดจิตที่หดหู่ ในความเกียจคร้านนั้น
ให้ตรงฉันนั้น มีจิตให้ตั้งมั่น แล้วจะทำลายอวิชชาได้ ด้วยมรรคญาณ (ญาณในอริยมรรคมีองค์
๘) อันเลิศโดยพลัน"
ท่านได้ฟังอย่างนี้แล้ว
ก็ละความเกียจคร้าน มุ่งมั่นเจริญวิปัสสนา (ฝึกอบรมปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้ง
เห็นจริง) ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
ครั้นพระหาริตเถระจบกิจสิ้นภาระแล้ว
ได้รับความสุขหลุดพ้นทุกข์จากกิเลสทั้งปวง จึงกล่าวแก่ เพื่อนภิกษุทั้งหลายว่า
"ผู้ใดมุ่งจะทำงานที่ควรทำก่อน
ไพล่ไปทำภายหลัง ผู้นั้นย่อมพลาดจากความสุข และ ย่อมเดือดร้อน ในภายหลัง
พึงทำอย่างใด พึงพูดอย่างนั้น
ไม่พึงทำอย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมกำหนดรู้ว่า ผู้ไม่ทำ มีแต่พูดนั้นมีมาก
นิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว
เป็นสุขดีจริงหนอ ไม่มีความโศก ปราศจากกิเลสธุลี ปลอดโปร่ง เป็นที่ดับทุกข์ได้"
- ณวมพุทธ
-
พุธ ๑๔ ส.ค.๒๕๔๕
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๑๖๖ , ๓๒๑ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๐ หน้า
๑๘๖ อรรถกถาแปล เล่ม ๕๑ หน้า ๓๑๙)
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕) |