บทความในสารอโศก
ตอน น้ำสมานใจ |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 232![]() ![]() |
|
|
แม่น้ำสามสายรวมกันไหลผ่านหมู่บ้าน น้ำสาม อ้อ! ขอโทษที ไม่ใช่เสียแล้ว ต้องเรียกชื่อใหม่ว่า หมู่บ้าน น้ำสมานใจ ณ ทางเข้าหมู่บ้าน มีป้ายใหม่เอี่ยมสลักอักษรสีขาว ฝังลึกเข้าไปในเนื้อไม้สักแผ่นหนา ว่า หมู่บ้านน้ำสมานใจ เพิ่งนำมาเปลี่ยนแทนป้าย ชื่อหมู่บ้านของเก่า ซึ่งถูกเอาออกไปเมื่อวานนี้เอง หลวงพ่อครับ ป้ายชื่อใหม่อันนี้ ดูแล้วสวยสง่า เพิ่มกำลังใจดีครับ ทำให้ผมรู้สึกอ่อนโยน เกิดพลังสามัคคี อยากจะสมานไมตรีกับใครๆ แล้วก็ให้อภัยคนอื่นได้ง่ายๆ เสียงของศักดิ์ชาย บุรุษหนุ่มร่างกายกำยำวัย ๒๐ ปี ดังขึ้นรบกวนเสียงเพลงธรรมชาติของต้นไม้ใบหญ้ารอบข้าง เงียบ ! ไม่มีเสียงตอบ หลวงพ่อสำนึกภิกษุวัย ๔๐ ปี กำลังจ้องมอง อักษรคำว่า น้ำสมานใจ อย่างครุ่นคิดเหม่อลอย สักครู่หนึ่ง จึงยิ้มน้อยๆออกมาได้อย่างพึงพอใจ แล้วตอบด้วยเสียงนุ่มเย็นว่า สมพรปากเถิด ศักดิ์ชาย ถ้าทำอย่างนั้น ได้จริง เพราะเวรทั้งหลายย่อมระงับลงได้ ด้วยการไม่จองเวรต่อกัน บาปทั้งหลายย่อมระงับลงได้ ด้วยการไม่ทำบาปต่อกัน พูดแล้วก็เดินกลับเข้าหมู่บ้าน โยนคำตอบที่กระตุ้นสำนึกดีให้เกิดขึ้นในหัวใจของคนหนุ่มอย่างศักดิ์ชาย ไว้ครุ่นคิดต่อขณะเดินตามหลังหลวงพ่อไป แต่เดิมหมู่บ้านนี้ แทบทุกปีน้ำจะท่วมท้นไร่นาบ้านเรือน เป็นที่เสียหายอย่างมากมาย จนชาวบ้านชักท้อใจแทบไม่มีใครอยากจะตั้งรกรากอยู่ต่อไป แต่ยังนับว่าโชคดีหรือเป็นบุญก็ได้ ที่บังเอิญหลวงพ่อสำนึกเดินทางผ่านมาถึงที่นี่เมื่อ ๑๐ ปีก่อน แล้วเกิดจิตสำนึกที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน ให้พ้นทุกข์พ้นภัยจากความเดือดร้อนนี้ โดยขวนขวายปลุกระดมให้ชาวบ้านร่วมใจกันสร้างเขื่อน เพื่อเก็บกักน้ำและระบายน้ำ รวมทั้งให้ทำการปลูกต้นไม้เอาไว้ เพื่อดูดซับน้ำและป้องกันการไหลบ่าของน้ำแทนการเผาป่า หรือตัดต้นไม้กันอย่างไม่รักถนอมสมดุลของธรรมชาติ ตอนแรกๆเพราะหลวงพ่อเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่มีนิสัยทำงานหนักและทำจริงจัง ใหม่ๆชาวบ้านจึงไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย หลวงพ่อ คนเดียวต้องทำการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ แล้วค่อยๆลงมือสร้างเขื่อนเพียงลำพัง ด้วยความมุ่งมั่น อดทน ไม่ท้อถอย ไม่ปริปากบ่น ก้มหน้าก้มตาทำลูกเดียว ราวกับว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตมีอยู่เพื่อสร้างเขื่อนนี้โดยเฉพาะ และต้องสำเร็จให้ได้ ต่อมานั่นแหละชาวบ้านถึงได้เปลี่ยนใจ จากการขบขันเห็นเป็นเรื่องตลก เพราะสร้างเขื่อน นั้นยากลำบากเกินกว่าที่คนคนเดียวจะทำให้สำเร็จได้จริง ต่างพากันยอมแพ้น้ำใจที่เสียสละ และความอดทนเอาจริงของหลวงพ่อ หันมาร่วมมือร่วมใจสามัคคีกันสร้างเขื่อนขึ้น ในที่สุดความเป็นไปไม่ได้ ก็กลับกลายเป็นความจริงด้วยผลแห่งน้ำใจสมัครสมานช่วยกัน เช้าตรู่วันนี้หลายคนยังไม่ตื่นนอน เพราะเมื่อคืนจัดงานฉลองการสร้างเขื่อนเสร็จกันจนดึก ไม่มีการเลี้ยงกันด้วยเหล้าและการพนัน เพราะหลวงพ่อไม่ชอบและไม่สนับสนุนอบายมุข แต่ก็มีการร้องรำทำเพลงเป็นที่สนุกสนานจนดึกดื่นทีเดียว ตอนนี้หมู่บ้านจึงรู้สึกเงียบดีพิลึก ต่างไปจากปกติที่มีคนสัญจรไปมาทักทายกันขรม ตั้งแต่เช้ามืดหลวงพ่อไปตรวจดูความเรียบร้อยของเขื่อนอีกครั้ง แล้วเพิ่งเดินกลับเข้าหมู่บ้านพร้อมศักดิ์ชาย เด็กหนุ่มลูกกำพร้าผู้มาจากถิ่นอื่น แต่มาอาศัยอยู่หมู่บ้านนี้ได้ ๓ ปีแล้ว ครั้งแรกที่ศักดิ์ชายมาถึงที่นี้ เขาเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน เที่ยวเดินถามหาชายคนหนึ่งที่ชื่อ นายสนอง โดยสืบเสาะได้ข่าวว่า มาพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ แต่ถามใครๆ แล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย ทุกคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่ไม่มีคนชื่อนี้ ถามมาจนกระทั่งได้พบกับหลวงพ่อ จึงถูกหลวงพ่อขอร้องแกมเหนี่ยวรั้งดึงตัวเอาไว้ ให้ช่วยกันสร้างเขื่อนจนกว่าจะเสร็จ เขื่อนเสร็จแล้วเมื่อไรหลวงพ่อจะช่วยหานายสนองให้อีกแรงหนึ่ง ศักดิ์ชายได้เล่าอดีตที่เจ็บช้ำใจของตนให้หลวงพ่อได้รับรู้ว่า ตามหานายสนองก็เพื่อแก้แค้น ล้างอายแทนพ่อที่ตายไปแล้ว เพราะนายสนองแอบเป็นชู้กับแม่ พ่อจับได้ในคืนหนึ่งจึงเกิดการต่อสู้ขึ้น นายสนองป้องกันตัวเองถึงกับฆ่าพ่อตาย แล้วพาแม่หนีไปด้วยกัน อยู่กันได้ ๒ ปีพบว่า แม่มีความต้องการทางกามารมณ์จัดจ้าน ก็เลยทิ้งแม่ไป แม่ต้องกลายเป็นบ้าในที่สุด ตัวเอง จึงรู้สึกอัปยศ และโกรธแค้นอาฆาตนายสนองเป็นอย่างมาก โตวันโตคืนด้วยการสะสมไฟพยาบาท ที่จะสืบหานายสนองเพื่อฆ่าล้างแค้นให้ได้ แต่......เพราะความมีน้ำใจ ความเอาจริงของหลวงพ่อ ที่ตั้งใจจะช่วยเหลือชาวบ้านอย่างบริสุทธิ์ใจ บวกกับลักษณะที่สุขุมเยือกเย็น มีเมตตาอย่างประหลาดของหลวงพ่อนี่เอง ทำให้ ศักดิ์ชายยอมรับปากที่จะอยู่ช่วยสร้างเขื่อน จนกว่า จะแล้วเสร็จ กลับถึงวัดหลวงพ่อพูดขึ้นว่า อาตมาสบายใจที่สุดในชีวิตแล้วขณะนี้ เขื่อนก็เสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว หมดห่วงกันเสียที เอาล่ะ ! คืนนี้ตอนเที่ยงคืน ช่วยมาหาอาตมาที่กุฏิหน่อยนะ พูดแล้วหลวงพ่อก็เดินยิ้มแย้มแจ่มใสแยกทางไปที่กุฏิ ศักดิ์ชายพลอยรู้สึกตื่นเต้นดีใจไปด้วยว่า วันนี้ดูหลวงพ่อสุขใจเอามากๆ คงนัดเราไปฉลองต่อที่กุฏิคืนนี้อีกเป็นแน่ ท้องฟ้าออกสีเทาแก่ เพราะคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงกระจ่างตา เที่ยงคืนแล้ว แสงไฟ ที่กุฏิของหลวงพ่อเป็นแสงจากเทียนไข ต่างไปจากทุกวันที่เป็นแสงตะเกียง ศักดิ์ชายรู้สึกว่าบรรยากาศ ช่างน่าสุนทรซะนี่กระไร อื้อฮือ..... หลวงพ่อจุดเทียนทำยังกับจะจัดงานวันเกิด งั้นแหละ ไม่รู้ว่าจะได้กินขนมเค้กหรือขนมครกกับเขาหรือเปล่า? ผมมาแล้วครับ ศักดิ์ชายส่งเสียงอยู่ข้างนอกกุฏิให้หลวงพ่อได้รู้ตัวก่อน เข้ามาได้เลย ศักดิ์ชายก้าวเท้าเข้าไปในกุฏิ ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏนั้น ทำเอาสะดุ้งเฮือก ตกตะลึง กว่าจะได้สติคืนมาก็รู้สึกตัวว่า นั่งอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่ออยู่ในชุดขาวสะอาดแทนผ้าจีวร สีเหลืองผืนเก่า นั่งสงบนิ่งอยู่กลางกุฏิ มีซองจดหมาย ๒-๓ ฉบับวางอยู่ข้างกาย มีถ้วยใส่น้ำ สีแปลกๆวางอยู่ตรงหน้า ส่วนแววตาและใบหน้าของหลวงพ่อนั้น สงบเย็นนุ่มนวลอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้สงสัยเต็มที่ก็ตาม แต่ด้วยความรักความเคารพที่มีต่อหลวงพ่ออย่างมาก จึงระงับใจเอาไว้ ก้มลงกราบแล้วนั่งรอฟังคำเฉลยจากหลวงพ่อ ศักดิ์ชาย ตั้งแต่ได้อยู่ร่วมกันมา ๓ ปีนี้ เธอได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องอะไรต่างๆ นานา จากการกระทำของฉันบ้างไหม? ไม่มีเลยครับแม้แต่สักเรื่องเดียว ผมรู้สึกได้รับแต่ความสงบสุขร่มเย็นและความอบอุ่นใจ จากหลวงพ่อเป็นอย่างมากด้วยซ้ำไป แม้แต่ความรู้สึกอึดอัดใจ เจ็บแค้น เกลียดชังที่เคยมี อยู่ ก็ดูราวกับว่าจะเหมือนน้ำในเขื่อนที่ถูกเขื่อนสกัดกั้นเอาไว้ได้ แต่.....ถึงอย่างไรผมก็ ต้องแก้แค้นให้พ่อ-แม่ และให้แก่ตัวผมเองให้ได้ครับ เสียงหนักแน่นแข็งกร้าวอย่างเด็ดขาด เธอปักมั่นถึงอย่างนั้นเชียวหรือ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนใจของเธอได้บ้างเลย แม้สักอย่างเดียวหรือ? หลวงพ่อย้ำเสียงหนักๆ เช่นกัน ถามซ้ำอยู่ถึงสามครั้ง ศักด์ชายนิ่งอึ้ง แล้วจึงผงกศีรษะรับอย่างช้าๆ แทนคำตอบ หลวงพ่อผ่อนลมหายใจยาวๆ เงียบอยู่สักครู่ เงียบจนแทบได้ยินเสียงความคิดของกันและกัน ในที่สุดหลวงพ่อก็ยิ้มให้อย่างเมตตา นุ่มนวล เอ่ยเสียงขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า ขณะนี้ฉันแต่งชุดขาว ก็เพื่ออยากจะแสดงความจริงใจต่อเธอ ให้สัมผัสได้แม้ด้วยทางสายตา เดี๋ยวนี้ฉันไม่ใช่พระแล้ว ฉันขอลาสึกตั้งแต่เมื่อตอนเย็นนี้เอง ฉันได้เขียนจดหมายขึ้นมา ๓ ฉบับ อธิบายความจริงของเรื่องราวต่างๆ เอาไว้หมดสิ้นแล้ว จะไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปได้ หรือจะไม่มีใครเข้าใจเธอผิด ทุกคนจะรู้ว่า นี่เป็นการชดใช้กรรมของฉันต่อเธอ เพราะฉันก็คือ นายสนอง เหมือนถูกสาดด้วยน้ำร้อนเดือดๆ ใส่แสกหน้า ศักดิ์ชายทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน กายสั่นเทิ้มอย่างแรง หยาดเหงื่อเม็ดโป้งผุดไหลออกท่วมร่าง ตาถลึงจ้องเขม็งไปที่นายสนอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นายสนอง ยังคงสงบเย็น แม้แววตาจะเศร้าหมองลงไปบ้างก็ตาม ฉันพร้อมแล้วที่จะใช้หนี้คืนแก่เธอ มันเป็นหนี้บาป ที่ทรมานใจฉันมาตลอดเวลา ๑๕ ปีเต็ม นับตั้งแต่พลั้งมือ ฆ่าพ่อของเธอ ทอดทิ้งแม่ของเธอไป หลังจากนั้นแม้ฉันจะสำนึกผิดกลับตัวกลับใจได้ และพยายามสร้างบุญทำกุศล เพื่อบรรเทาวิบากกรรมเหล่านั้น ฉันก็รู้ดีอยู่ว่า เจ้าหนี้จะต้องมาตามทวงคืนจนได้สักวัน โชคดีเหลือเกินสำหรับฉันที่ได้มีโอกาสพบกับเธอ ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีน้ำใจไมตรีต่อกันเสมอมา และไม่ได้ทำอะไรให้เธอต้องเป็นทุกข์ทรมานใจเพิ่มขึ้นอีก หยุดนิดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ แล้วฉันก็จะไม่ทำให้เธอ ต้องได้รับทุกข์ทรมานต่อไป ในอนาคตอีกด้วย ฉันจำเป็นต้องยอมทำบาป ฆ่าตัวของฉันเองให้ตาย เพื่อใช้หนี้แก่เธอ เธอจะได้ไม่บาป และ ไม่กลายเป็นฆาตกร ผิดกฎหมาย ฉันหวังว่าเธอคงเข้าใจฉัน และ ยอมยุติความอาฆาตพยาบาท ต่อกันเสียที มุ่งหน้าถือศีลปฏิบัติธรรม รักษากาย วาจา ใจ ให้ห่างไกล จากบาป หมั่นสะสมแต่บุญกุศล แล้วเธอจะพบกับ ความสุขอันแท้จริงของชีวิตตลอดไป จบคำแล้ว นายสนอง ก็ส่งยิ้มอันอบอุ่นอ่อนโยน ให้ศักดิ์ชาย แล้วเอื้อมมือไปหยิบ ถ้วยยาพิษข้างหน้า อย่างช้าๆ เยือกเย็น ค่อยๆ ยกขึ้นจรดริมฝีปาก ดื่มจนหมด ขณะวางถ้วยน้ำนั้นไว้ที่เดิม ร่างก็ล้ม โครมลงกองกับพื้น พร้อมกับมีเสียงเล็ดลอดออกมา จากลำคอ อย่างแผ่วเบาเต็มทีว่า น้ำสมานใจ ศักดิ์ชายนั้นตาเบิกโพลงจ้องดูอยู่ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลย ใบหน้าเคร่งเครียด เดี๋ยวแดง ด้วยความโกรธ เดี๋ยวก็ซีด ด้วยความกดข่ม เดี๋ยวก็น้ำตาไหลพราก ด้วยความเจ็บช้ำ เดี๋ยวก็พลุ่งพล่าน ด้วยความยินดี เต็มไปด้วยความสับสน ปั่นป่วนใจ สงครามความคิด ระหว่าง ธรรมะ กับอธรรม กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรงเข้มข้นสุดขีด ในที่สุดจุดระเบิดแห่งการตัดสินใจก็มาถึง เขาพุ่งกายเข้าใส่นายสนอง อย่างคลุ้มคลั่ง รวดเร็ว ก้มลงอุ้มร่างนั้นวิ่งออกจากกุฏิ พร้อมกับตะโกนว่า หลวงพ่อ จะตายไม่ได้ ครูของผม จะตายไปไม่ได้ ขวัญกล้า ๒๕ ก.ย.๒๕๓๑ |
|
![]() |
|
น้ำสมานใจ (สารอโศก อันดับ ๒๓๒ หน้า ๘ - ๑๑ มกราคม ๒๕๔๔) |
|