ฝากไว้ในแดนธรรม ระลึกถึง พรพิชัย เจียมกัลชาญ ตอน ...
คุยกับพรพิชัย (7)
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 156
หน้า 1/1

จากกลางปี ๓๓ เมื่อเราได้ร่วมทำงานกับพรพิชัย เราก็เห็นเขากินข้าวตอนตี ๓ เศษๆ กินไปปั่นจักรยานไปตลาดอยู่ระยะหนึ่ง ก็เปลี่ยนมากินตอนเที่ยง

ประมาณ ๒ สัปดาห์ ก็เปลี่ยนไปกินหลังเลิกร้าน ประมาณบ่าย ๓ โมง เขาจะทำงาน เก็บ กวาด ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะมาหาอาหาร เพื่อนๆขึ้นรถเตรียมกลับวัด

พรพิชัย หาอาหารใส่ถาดของเขานั่งกินท้ายรถ อาหารก็มีของที่เหลือๆ มีข้าว เค็กถั่วงา ฟักทองนึ่ง กล้วยน้ำว้า ๒-๓ หวี กินไปสักระยะหนึ่ง ก็ไม่มีเค็ก มีแต่ข้าวกับงา และกล้วย และช่วงหนึ่งก็ไม่มีข้าวเลย มีแต่รำ งา วีทเจอร์ม ใส่น้ำประปา คนๆแล้วก็กินตามด้วยกล้วย ๔-๕ หวี ระยะหลัง กลับมาเป็น ข้าว ถั่วทอด งา และกล้วย ๒-๓ หวีอีกครั้ง กินอยู่อย่างนี้เรื่อยมา

ระยะหลังเขาฝึกขับรถ และไปตลาด ตอนเที่ยงคืนจึงไม่มีเวลากินข้าว ก็ขับรถไป กินข้าวไป บางทีรถก็เฉี่ยววูบ มองไปข้างหน้าก็เห็นเขาเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ เพื่อนๆก็ไม่สบายใจ

การประชุมครั้งสุดท้าย ก่อนเขาจะจากไป ท่านถิรฯ ก็ได้พูดถึงการระมัดระวังในการขับรถ เขาก็นั่งฟังยิ้มๆ

มีช่วงหลังเขาเอาอาหารมากินที่วัดตอน ๕ โมงเย็น เรากับพี่ทรายแก้ว พี่รินบุญ ก็ไปกินกับเขาทุกวัน พวกเราก็กินอาหารของพวกเราไป รสเด็ด เผ็ด อร่อย เขาก็กินข้าว ถั่วทอด งา และกล้วยของเขาไปได้เรื่อยๆ

วันหนึ่งเขาดูเรากินส้มตำ ทั้งเผ็ด ทั้งอร่อย เขาถามว่า "มันอร่อยยังไง"

เราก็เลยย้อนว่า “แล้วคุณล่ะอร่อยยังไง"

เขาก็ตอบด้วยท่าทีจริงจังว่า

"ผมกินไม่อร่อยมา ๓ ปีแล้ว" จ๋อยเลยเรา เงียบกันไปสักครู่เขาก็เปรยว่า

"การกินอาหารนี่เสียเวลามากนะ เป็นภาระมาก" เขาพูดไปเรื่อยๆ แต่เราก็รู้ว่าเขาพูดจริง

เรา "คุณจะไม่ยอมให้มีการสูญเสียเลยหรือ แม้แต่การกิน"

พรพิชัย "ผมก็ต้องยอม ผมเห็นว่า การกินก็เหมือนกับเติมน้ำมัน ขอให้มันสามารถขับเคลื่อนไปได้ ก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงรสชาติ แต่เรื่องเสียเวลานี้แก้ไม่ตก"

เรา "คุณรู้ไหมว่า อะไรมันเป็นรสชาติยังไง"

พรพิชัย "ผมเคยรู้ เมื่อก่อนผมกินรสจัดมาก เผ็ดจัด หวานจัด เค็มจัด แต่เดี๋ยวนี้ชักลืมๆไปแล้ว แล้ว” เขาก็ขอชิมน้ำราดหน้าของพวกเรา

พรพิชัย "อือ ผมรู้แล้วล่ะเขากินกันยังไง"

ก็อีกนั่นแหละ เราไม่มีปัญญาจะด้นเดา เรายังอร่อย อยากอร่อย และชอบอร่อย

กินอาหารด้วยกันทุกวัน เห็นอาหารในถาดของเขา ทำอย่างไงก็ยังไม่นึกพิสวาสมัน อยู่นั่นเอง อาหารของเขามันไม่ได้ชวนกินเลยสักนิดเดียว แต่เขาก็ยังคงกินของเขาแบบนั้นอยู่ทุกวันๆ ด้วยอาการอันสงบเหมือนเดิม เขาเคยพูดว่า

พรพิชัย "เมื่อผมกินอาหารของผมอยู่ ผมก็ไม่เคยมีใจแว่บอยากกินอันนั้นอันนี้ และผมก็เคยลองกินอาหารปรุงแต่งดู ผมก็กินได้ แต่ผมไม่จำเป็นต้องกิน ผมก็เลยไม่กิน”

และทุกๆครั้งที่เราผ่านอาหารน่าอร่อย เราถามตัวเองว่า "จำเป็นหรือไม่ที่จะกินมัน" และใจเราก็ตอบทันควันอย่างมั่นใจมากเลยว่า "ไม่จำเป็น"

แต่มือไวกว่าความคิด มันตักเข้าไปแล้ว อนิจจา

 
 
(สารอโศก อันดับ ๑๕๖ ส.ค. – ก.ย. ๒๕๓๕)