ฝากไว้ในแดนธรรม ตอน 9...
ภาวนามัยที่แท้
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 151
หน้า 1/1

ลักขณา วชิรวาทการ นักรบรุ่นที่ ๑ ของชมรมมังสวิรัติ แม้ไม่มีร่างเธอแล้วในวันนี้ แต่วิถีชีวิตบนเส้นทางแห่งสัมมากัมมันตะ ที่เธอพากเพียร ปฏิบัติเป็นเวลา ๖ ปี ได้ทิ้งไว้ให้เราศึกษา จากบันทึกประจำวัน ของเธอดังต่อไปนี้…

เสาร์ที่ ๒๑ มิ.ย. ๒๕๒๙

วันนี้เป็นวันที่ ๔ ของการล้างท้อง ยังมี ของเสียออกจากตัวเราอยู่เลย ขนาดไม่ได้กินข้าวมา ๔ วันแล้ว นี่ละนะโลงศพจริงๆ วันนี้ต้มชาสมุนไพรจากเหงือกปลาหมอ สลับกับใบสะระแหน่ ว่าจะหาทีละอย่างสลับกันไป รู้สึกว่าน้ำตะไคร้ทำให้เพลียมาก

วันนี้ไม่เพลียเท่าเมื่อวานตอนเย็น มาถึงก็สลบเลย น้ำหนักก็ยังไม่ลงเท่าไหร่ ยังรู้สึกปกติ คงจะลงมากช่วงท้ายๆกระมัง ความรู้สึกทรมานยังไม่มี เพราะน้ำอ้อยทำให้อิ่มท้อง เมื่อวานเวียนหัวนิดหน่อย วันนี้ทำงานได้ดี ขนาดเป็นวันที่ขายดีพอสมควร เมื่อเช้านอนเต็มอิ่ม ไม่ง่วงนอนตอนทำวัตร การไม่กินข้าวกินแต่น้ำอ้อยสบายมากสำหรับคนอ้วนอย่างเรา มิน่าล่ะ!พระที่ฉันหลายๆมื้อถึงเสื่อม เพราะสบายเกินไปนี่เอง

พอเราไม่ควบคุม เราอยากหลับ แสดงว่าเพลียเหมือนกัน มีหลายคนทำไม่ถึงสิบวัน เราต้องทำให้ครบ เพราะมีโรคมาก ยังบวมน้ำอยู่เพราะปากยังเจ่อ ร่างกายคนเรานี่เหมือนเครื่องจักรนะ ต้องล้างเครื่องเหมือนกัน ช่วงนี้ที่ร้านขายดี เพราะทีวี.มาทำข่าว

อาทิตย์ที่ ๒๒ มิ.ย.๒๕๒๙

วันนี้สภาพจิตไม่ดีเลย คงเป็นด้วยเมื่อวานเหนื่อยมาก พ่อท่านบอกให้ทำงานตน วันนี้เลยระวังทั้งวัน หลังจากต่อสู้กับมัน เราก็ชนะมันได้ ทุกครั้งเราจะหยุดไม่ได้เพราะเราเหนื่อยเกินไป วันนี้ชนะได้เพราะร่างกายเราปรับระบบการกินอย่างนี้ได้แล้ว ไม่เหนื่อยไม่เพลีย แถมน้ำหนักไม่ลดด้วยซิ

พวกเราขยันขันแข็งกันมาก ไม่มีใครขี้เกียจเลย ทุกคนพยายามเพิ่มสมรรถภาพ ของตนเอง

วันนี้ได้ฟังพ่อท่านเทศน์หน้าศพ ๑ กัณฑ์ งานศพนี่จัดเพื่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่คน เป็นงานศพเป็นแก่นรวมเพื่อเห็นแก่ผู้ตาย เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ตาย

มนุษยชาติต้องมีความเกี่ยวข้อง ไม่เป็นสัตว์ปลีกเดี่ยว

อริยะจะอยู่ด้วยกันอย่างร่วมรวมกันได้อย่างสนิทเนียน แต่ไม่ใช่นุงนัง เน้นมากคือสามัคคีธรรม

พ่อท่านสอนจุดบอดที่เราชาเย็น เพราะจิตเราเฉย แต่เราทำกับโลกได้ด้วยปุริสธรรมเป็นการเอื้อโลก สร้างรูปแบบที่ดีงามให้กับโลก

โลกุตรจิต ไม่ใช่มีเอง เป็นเอง แต่ต้องรู้จริง มีจริง เข้าใจลึกซึ้งจริง

น้ำใจ ของพระอริยะคือ ความรู้(จริง)ไม่ใช่เสแสร้ง ขั้นไหนก็ตามแต่

จันทร์ที่ ๒๓ มิ.ย.๒๕๒๙ ทำวัตรเช้าพ่อท่าน

เมื่อก่อนเราเคยหลงว่า การฟังธรรมคือการบรรลุธรรม บัดนี้เรารู้แล้วว่า การได้ทำตามรู้ต่างหาก คือภาวนามัย คือการทำที่แท้ ไม่ใช่รู้แค่ฟัง ทำผิดไม่เป็นไร ทำอีก ทำอีก ทำให้ถูก ช้าๆ จะเห็นชัด จะรู้ชัด

เราเข้าใจแล้ว หัวใจเลิกงอแง ฟ้าก็สว่างไสว พ่อท่านโปรดสัตวโลกที่ควรโปรด ต่อไปเราจะฟัง ท่านเริ่มด้วยสามัคคีจะทำให้หมู่งาม พร้อมเพรียงด้วยรูปก่อน แน่นอนเราจะพร้อมเพรียงถึงจิต

ท่านพูดเรื่องรูปรอยสามัคคี โดยรูปเห็นชัดว่าเคร่งครัดแต่ไม่เคร่งเครียด คือต้องเอาจริงกับสิ่งที่เราสามารถทำได้ เพราะเรามีศรัทธา และ ปัญญาแท้

พูดถึงพวกเราที่มาใหม่ก็ยังให้เกียรติผู้เก่าว่ามีศีลเคร่ง ตัวเองหย่อน ระวัง!

ศีลเคร่ง แต่ก็สุข คือสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

เราสุขเกินไปจนขลาดกลัวความไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นเราต้องเพ่งเพียรอีก เพื่อไม่ให้เราทรงอยู่ในขณะที่เวลาผ่านไปๆ เราต้องมีศีลสามัญตา ไม่แก่งแย่งกันเพราะเราต่างเสียสละ เราต่างไม่ทำผิดศีลในระดับที่ตนสมาทาน เราทำด้วย"สำนึก" ไม่ได้ถูกใครบังคับ

เมื่อเราล้างเชื้อฤาษีก็ต้องหมดได้เกลี้ยงสนิท ไม่เปลี่ยนแปลง ระมัดระวังสังวรเสมอ ถ้ายังไม่ใช่สัจจะ หน้าที่คือรักษาสัจจะ

ท่านยืนยัน ท่านพูดสัจธรรมที่มีในตัวท่าน ถึงพูดได้ไม่ยาก ท่านมีแต่เมตตา

อันดับแรก เราล้างความหวาน

อันดับ ๒ เราล้างซ้อนขึ้น ไม่หวานแต่เย็น

อันดับ ๓ เราติดความล้ำลึกในภูมิธรรม เราเสพย์ภูมิปัญญา เราติดความพริ้งพรายที่มีสารพัดศิลปะรวมในนั้น แต่ท่านสอนให้แยกแยะให้ชัด ช่วยชี้แนะชี้นำ ยิ่งรู้สึกท่านยิ่งสอนให้เราได้ลึกซึ้ง

วันนี้เป็นวันที่ ๖ ของการล้างท้อง ตัวเริ่มเบาแล้ว รู้สึกร่างกายเริ่มดึง ของเก่ามาใช้บ้างแล้ว ถ่ายนิดหน่อย ตับถูกซ่อมมากกว่าเพื่อน ใต้ลิ้นปี่ข้างซ้ายมีอาการคล้ายๆกับจะเจ็บ คงมีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้นบ้าง

งานสวดศพเป็นคืนที่ ๒ สภาวะแย่ไม่สลดเลย ตราบที่เรายังยางหัวไม่ตกเอง สำนึกยาก จิตมันหยาบ อย่างอื่นพอเป็นพอไป ยังมีสติดีอยู่

อังคารที่ ๒๔ มิ.ย.๒๕๒๙

วันที่ ๗ ของการล้างท้อง วันนี้เรากินน้ำเกลือ และ น้ำสมุนไพร เพราะท้ายๆแล้ว ต้องกวาดล้างเต็มที่เลย

พ่อท่านลงทำวัตรก่อนไปปฐมฯ โปรดพี่น้องทางโน้นบ้าง นี่คืองาน ของพ่อ

มนุษย์ที่ไม่ได้รับความรู้จะเสพย์ทุกอย่าง แต่ผู้รู้จะมาศึกษาให้มีปัญญา จะเกิดกำลัง ๔ ประการ ท่านพุทธทาสยังยืนยันว่าปัญญานำศีล แต่พ่อท่านยืนยันศีลจะนำปัญญาในเชิงซ้อนรอบที่ ๒

รู้คือสัมมาทิฐิ จึงต้องตั้งหลักเกณฑ์ในการลดละ ปฏิบัติหานิพพานในสิ่งหยาบๆก่อน เลิกละในสิ่งหยาบๆก่อน ให้เกิดแต่สิ่งดี ไม่ให้เกิดสิ่งชั่วขึ้นในใจเรา

ศีล เป็นหลักตั้งขึ้น ต้องมีสติสัมโพชฌงค์คุมอยู่ สังวรอยู่ ให้ปฏิบัติตามหลัก ตามศีล

ทุกข์แรก อยาก ทุกข์ที่สอง เพราะไม่ให้เสพย์ จิตจะเกิดความจางคลายจนอุเบกขา เป็นอำนาจ(สมาธิ) ต้องชนะบ่อยๆ

"รากเหง้าจิตขี้ริษยา" โชคดีเราไม่มีจิตตัวนี้ เราหยิ่งเกินกว่าจะไปทำต่ำๆอย่างนั้น ขนาดมาล้างหางๆคือจิตดูถูกซ้อนยังเผลอไม่ได้เลย วิธีไม่ให้เขาสร้างคือ อย่าไปสร้างเหตุให้เขาเกิดจิตตัวนั้น

เราตรงจนเก็บไม่อยู่นั้นผิด อย่าเก็บ ต้องล้าง จึงจะถูก ทุกอย่างในโลกเกิดขึ้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง ไม่ให้ถือสาหาความ โทษแต่สิ่งภายนอก

เทศน์หน้าศพให้คนเป็นสลดบ้าง แม้นิดแม้น้อย เราไม่นิยมพูดถึงความชั่ว ของผู้ตาย เรานิยมพูดแต่ความดี ของผู้ตายเท่านั้น คนฉลาดจะรู้ชัดในสิ่งเหล่านี้ ตราบใดยังไม่ตาย และ ยังมองตน ปรับปรุงตนอยู่ ก็จะมีแต่เจริญอยู่

ความตกต่ำ ของทางธรรม แม้รวยวัตถุแต่ขาดจิตวิญญาณ โลกเลวร้ายเพราะแข่งกันหา แย่งกันใช้ เอาเปรียบ เป็นหนี้...

ลูกที่ดีมีหน้าที่สืบต่อความดี ของพ่อ-แม่