ธรรมะประทับใจ ตอน...
พระคุณของพ่อ

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 232
ฉบับ เดือนมกราคา 2544

การ แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ ด้วยการแสดงออกทางกาย วาจา จากใจจริง อันนอบน้อมอ่อนโยน ย่อมมีผล...ก่อเกิดความซาบซึ้งประทับใจยิ่งนัก ซึ่งเป็นกรรมดีส่งผลต่อจิตใจของผู้รับและผู้พบเห็นแน่ๆ

แต่ปัจจุบันนี้...สภาพ ”สังคมลูกบังเกิดเกล้า” แพร่เชื้อระบาดไปทั่ว ไม่ว่าในสังคม “ไฮโซ” หรือ “สังคมชาวบ้าน” ทั่วๆไป...คนใหญ่โตร่ำรวยก็ปรนเปรอตามใจลูก ”เสียจนหลงทิศผิดทาง” วางก้ามเกเร ใช้อำนาจ ถึงกับวางแผนฆ่า “พ่อ” ตัวเองดังที่เป็นข่าวใหญ่...การศึกษาที่หลงแต่วิชาการ มุ่งเอารัดเอาเปรียบ ขาดการเน้นจริยธรรม ปฏิบัติศีลอันดีงามควบคู่ไปด้วย ก็ทำให้เด็ก “หลงระเริงภูมิปัญญา” บ้าวิชาการ มองพ่อแม่ไร้ค่า ล้าหลัง ขาดวิสัยทัศน์

ทำไม...? ลูกของเราเป็นอย่างนี้หนอ?... หลายคนรำพึง

มีนักปราชญ์ผู้รู้กล่าวว่า... ”ปัญหาสังคมที่แก้ไม่ได้ เพราะการศึกษาศาสนาพุทธผิดพลาด” นับว่าเป็นคำพูด ”ที่มีค่า” ควรแก่การตรึกตรองศึกษาหาความจริง... เพื่อสังคม ”ชาวพุทธ”ของเราหรือไม่?

คืนนั้น...ฝนตกยังกับเทน้ำลงจากฟากฟ้า เสียงจั๊กๆ...กระทบหลังคาบ้านดังไม่ขาดสาย ฟ้าร้องลั่นครืนครานไม่ขาดระยะ...สลับกับเสียงฟ้าผ่า...เปรี้ยง!ๆ ...แต่ละครั้งหัวใจแทบหลุดหยุดเต้นเสียวสยอง...วาบ...กลัวว่าเคยพูด “พล่อยๆ” สบถสาบานไม่จริงออกไป...เกิดฟ้าพิโรธลงทัณฑ์เอาจริงๆ...คงไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโกแน่ๆ

ผมกำลังนอนอบอุ่นอยู่ใน ”ผ้าผวย”เก่าๆอันแสนรัก...คุดคู้คิดอะไรเพลินๆตามประสาเด็กๆ... ทันใดนั้นเอง

“ไอ้ไข!...ไอ้ไขลุกขึ้น(ไอ้ไขคือคำเรียกลูกผู้ชายของชาวใต้)” เสียงพ่อดังลั่นมาจากอีกห้องหนึ่ง...แข่งกับเสียงสายฝนกระทบหลังคา

“ทำไมพ่อ” ผมร้องถามไป “เอ็งลงไป” วิดน้ำในเรือ “เถอะ!” พ่อสั่งผม

“โธ่พ่อ!ผมกลัวฟ้าผ่า... กลางคืนยิ่งฟ้าแลบแว้บ...ว้าบ... ผมกลัวผีด้วย... อนฟ้าแลบ... เกิดมองเห็นอะไรยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆแล้ว...ผมช็อคตายแน่ๆ” คร่ำครวญ...อยู่ในใจ ขณะที่นิ่งเงียบ ไม่ยอมลุกขึ้นจากที่นอน

“ไอ้ไข!” “ครับ” ผมขานรับเบาๆ “เดี๋ยวเรือก็จมเท่านั้นเอง...ข้าวของสูญหายหมด” พ่อย้ำให้ผมลุกขึ้น...ด้วยน้ำเสียงฟังดูแล้ว...รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก

ผมรีบสลัดผ้าห่มออกจากตัว...ลุกขึ้นเดินลงจากบ้าน...ไปที่ท่าน้ำจอดเรือ “โอ้!เรือกำลังปริ่มๆน้ำ จะจมจริงๆด้วย” ...ผมลงไป...ใช้กระป๋องใบโต...ตักน้ำออกจากเรืออย่างรีบเร่ง...แข่งกับ “ห่าฝน”ที่หล่นลงมายังกับฟ้ารั่ว... “บ้า! ตกอะไรกันหนักหนา” ผมแช่งฟ้า...ด่าเทวดาอย่างอารมณ์เสีย... น้ำตาลูกผู้ชายตัวน้อยๆไหลอาบแก้มด้วย “ความกลัว” ..แต่ผมก็กลัว “พ่อ” มากกว่ากลัวฟ้ากับกลัวผีจึงกัดฟันฝืนสู้...

น้ำในท้องเรือ...เริ่มแห้งขอดแล้ว...แต่น้ำตายังไหล “ปน” กับน้ำฝนที่เริ่มสร่างซา...”พ่อไม่รักผมเสือกไสบังคับลงมาให้ฟ้าผ่าตายหรือไง? ส่วนพ่อน่ะนอนสบายๆ” .. ผมคิดคร่ำครวญด้วยความน้อยใจพ่อ...มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมรู้สึกกลัวที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาจริงๆ

พ่อไม่ค่อยด่าหรือตีผมหรอก...แต่ผมก็เคยเจ็บกับมือพ่อ จึงมีความกลัวพ่อมาก แม่ทั้งตีทั้งด่าอยู่บ่อยๆ เพราะผมดื้อ หนีเที่ยวเป็นประจำ...แต่ผมไม่กลัวแม่มากเท่าพ่อ

...ที่โรงเรียน...คุณครูจะนิมนต์พระภิกษุที่อยู่วัดใกล้ๆ มาแสดงธรรมเล่า “นิทานชาดก” ให้นักเรียนฟังทุกวันศุกร์...และก่อนปล่อยนักเรียนกลับบ้าน...จะมีการสวดมนต์ไหว้พระกันทุกห้อง ทุกชั้นเรียน ทุกวัน การศึกษาของเด็กสมัยนั้น มิได้ห่างเหินวัดวาอารามเหมือนกับยุคปัจจุบันนี้

เด็กๆทุกคน...เวลาเดินสวนกับภิกษุสมณะ จะรีบนั่งลงยกมือไหว้นอบน้อม...เจอคนเฒ่าคนแก่ก็ยกมือไหว้อ่อนโยนเช่นกัน ไม่มีเด็กแสดงกิริยาก้าวร้าวต่อครูบาอาจารย์ หากโดนครูลงโทษเฆี่ยนตีที่โรงเรียนพอกลับมาบ้านจะปกปิดพ่อแม่เงียบกริบ! หวั่นกลัวว่า...จะโดนซ้ำอีกรอบหนึ่ง!

หลายๆอย่าง...ที่พ่อบังคับ ขัดใจผม...ให้ต้องลำบากตรากตรำ น้ำตาไหล เสี่ยงอันตรายอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ...สร้างความไม่ชอบใจ น้อยใจในตัวพ่อมาก แต่ผมก็ไม่ได้มีกิริยาก้าวร้าวต่อผู้ให้กำเนิดแต่อย่างใด คงเป็นผลมาจากการอบรมอย่างเข้มงวดของครู “หัวโบราณ” ที่ ”ไร้ปริญญา” แต่เปี่ยมด้วย “คุณธรรม” ในสมัยนั้นแน่

วันเวลาผ่านไป...ผมโตเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัว...มีลูกชายลูกสาวที่ต้องปกป้องคุ้มครอง ดูแลให้ปลอดภัย จากอันตรายต่างๆ ที่อาจมาจากสังคม “ที่วิปริต” ไปจากศีลธรรมแล้วอย่างน่าเป็นห่วง และหลายๆ เหตุการณ์ที่ผมเป็นผู้กล้าแกร่งเข้มแข็ง ทำหน้าที่ “กัปตันเรือ” ได้ดี จึงได้สำนึกและเข้าใจ “พ่อ”...

การเคี่ยวเข็ญให้เผชิญความยากลำบากและอันตรายนั้นเอง ที่หล่อหลอมให้ผมเป็นผู้นำที่มั่นใจตัวเอง... เลิกกลัวฟ้า กลัวฝน กลัวคน กลัวผี เหมือนตอนเด็กๆ ก่อเกิดความซาบซึ้งประทับใจ ในเจตนาของ “พ่อ” ที่ผ่านๆมา ความไม่เข้าใจ ไม่ชอบใจ น้อยใจที่เคยมีนั้น...ได้มลายหายไปหมดสิ้น...และยังสืบทอดเจตนา “การสอน” โดยใช้ “กลวิธี” ให้ “ลูกทั้งสอง” เป็นเด็กอดทน แข็งแรง พึ่งตัวเองได้...ลูกๆสามารถเรียนจบ “ปริญญาตรี” ได้ด้วยตัวเอง อย่างน่าภาคภูมิใจ

ศาสนาพุทธมีอิทธิพลสอนให้ผมเข้าใจ “สาระสัจจะ” มากยิ่งๆขึ้น สร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน กตัญญูต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณได้อย่างน่า “ประหลาดใจ” เช่น...ผมไม่เคยกราบพ่อเลย ได้แค่ยกมือไหว้เท่านั้น แต่เมื่อได้ศึกษาปฏิบัติธรรม จิตใจก็ปรับเปลี่ยนไปมาก กล้ากราบแทบเท้าพ่อแม่ได้ อย่างอ่อนโยนนอบน้อมจริงใจชัดเจน จน “พ่อ” ตกตะลึง! ขณะที่กราบครั้งแรกแทบเท้าท่าน ต่อเมื่อ...ผมไป...มา กราบท่านบ่อยๆ ท่านจึงยกมือพนมรับ “การกราบ” อย่างอ่อนโยนเช่นกัน

พ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ปอด ต้องเข้าๆออกๆรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลายครั้ง ผมแม้เป็น ”ลูกชาย” ที่มีครอบครัวแล้วก็ตั้งใจไปช่วยดูแลปรนนิบัติ เช็ดล้างอุจจาระ ปัสสาวะนอนเฝ้าที่ใต้เตียงพ่อได้ ไม่แพ้ “ลูกผู้หญิง” คนไหนเลย คิดขึ้นมาน่าประหลาดใจตัวเองเหมือนกัน ที่เราเปลี่ยนแปลง “พฤติกรรม” ได้ถึงขนาดนี้ หากก่อนพบศาสนา ก่อนปฏิบัติธรรมแล้ว...ผมต้องปล่อยหน้าที่ “ของลูก” อันสำคัญนี้ ให้เป็นหน้าที่ของพี่สาวและภรรยาของผมแน่ๆเลย

พ่อได้จากผมไปโดยสงบ หลังจากที่หมอได้พยายามช่วยรักษาเต็มความสามารถ หลายคนร้องไห้หลายครั้งแล้ว แต่ก็ร้องไห้อีก เมื่อหมอบอกว่า “ท่านสิ้นลมแล้ว” ผมมิได้ร้องไห้ แต่บอกกับพ่อในใจว่า “พ่อครับ ผมจะจัดพิธีศพแบบพุทธแท้ ให้เกิดบุญกุศลมากที่สุดเท่าที่บารมีผมจะทำได้ ผมขอทดแทนคุณพ่อครั้งสุดท้ายอย่างนี้ครับ”

เกลียวธรรม

 
ธรรมะประทับใจ (๖๕) (สารอโศก อันดับ ๒๓๒ หน้า ๒๐ เดือน มกราคม ๒๕๔๔)