เดินตามรอยพ่อ ตอน... หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 221
หน้า 1/1

วันคืนหมุนเวียนเปลี่ยนไป หมุนพาเอาความแก่ชรามาฝาก ไม่ยินดีกับของฝากชิ้นนี้เลย แต่ต้องรับไว้ด้วยความจำยอม สิบสองปีแล้วบนเส้นทางสายนี้ ที่พ่อท่านพาเดินพาปฏิบัติ เส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม ทางราบเรียบก็พอมีบ้าง พอได้พักถอนหายใจ แล้วก็เริ่มลุ่มๆ ดอนๆ ใหม่ เพราะ แรกๆ ยังไม่ค่อยคุ้นเคยเส้นทางสายนี้ สายที่พ่อพามาฝึกอด หัดฝืนใจ ไม่ตามกิเลสที่เคยชิน

แต่พอหลายปีผ่านไป ทำให้รู้จักวิธีการเดิน เพราะ มีสมณะ และ สิกขมาตุ เป็นผู้ช่วยชี้นำแนวทาง และ มีเพื่อนร่วมทางเดิน ทำให้มีแรง มีกำลังใจ เพราะใช่เราเดินตามพ่อเพียงลำพังในเส้นทางนี้ มีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางที่มุ่งหวังไว้ แม้จะต้องฝ่าฟัน และ เดินทางอีกนานเพียงใด ก็จะไม่ขอย้อนเดินกลับทางเก่าอีกเป็นอันขาด

ตั้ง แต่จำความได้ ชีวิตมี แต่ความสุขสบาย อบอุ่นอยู่กับพ่อ แม่ พี่ น้อง ฐานะปานกลาง พออยู่พอกิน พ่อแม่ขยันขันแข็งในการทำงานให้ลูกๆ เห็นเป็นตัวอย่าง มีพี่ๆ เป็นเรี่ยวแรงสำคัญรองจากพ่อแม่ น้องๆ จึงสบาย เพราะ งานใหญ่ๆ พี่ๆ ทำหมดแล้ว ก็ได้ แต่เป็นลูกมือหยิบโน่นหยิบนี่ ตามที่พ่อแม่ หรือ พี่สั่ง งานส่วนใหญ่จึงเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียน คือรับผิดชอบ แต่เรื่องของตัวเอง ไม่เก่งงานเหมือนพี่ๆ จึงรักเคารพพ่อแม่ เชื่อฟัง และ นับถือพี่ๆ มีความสุขไปตามประสาเด็ก และ คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงเป็นเหมือนเช่นอย่างเรา

แต่เมื่อโต สำเร็จการศึกษา และ มีงานทำ จนกระทั่งมีครอบครัวของตัวเอง จึงได้เห็นความแตกต่างของชีวิต ด้วยจิตที่ยึดดี เพราะ อยู่กับความดีมาตลอด จึงทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะ ไม่เป็นเหมือนที่เราเคยได้เคยเป็น จึงเริ่มมีปัญหาสงสัย และ ไม่เข้าใจ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ สารพัดปัญหาเก็บมาคิดจนฟุ้งซ่าน ปวดสมองจนหัวแทบระเบิด พยายามมองสำรวจตัวเอง เพื่อค้นหาความบกพร่อง ก็มองไม่เห็นความผิดตรงไหน ก็เราทำดีแล้วนี่นา เขาต่างหากที่ทำไม่ถูก มอง แต่ความบกพร่องของเขา เห็น แต่ความไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ โอ้ย… จะบ้าตาย เอาความหวังของตัวเองไปฝากไว้ที่เขา พอไม่เป็นดั่ง ที่หวัง ก็ทุกข์เจียนตาย เพื่อนที่ดีที่สุดก็คือน้ำตา จะไปปรึกษาใครก็อาย เพราะ เรื่องส่วนตัวของเราเองแท้ๆ

เมื่อทุกข์จนถึงที่สุด ก็ต้องดิ้นรนหาทางออก พยายามหาหนังสือธรรมะมาอ่าน และ ช่วยได้มาก ทำให้ใจเย็นขึ้น เข้าใจที่มาแห่งทุกข์ได้มากขึ้น แต่วิธีการที่จะทำให้พ้นทุกข์นี่สิ… และ ที่นครสวรรค์นี่เอง! ที่ได้มีโอกาสพบพ่อท่าน พบชาวอโศก แรกๆ เป็นเพียงลูกค้าซื้อน้ำเต้าหู้ ในร้านเขามีแผงหนังสือ สำหรับให้ลูกค้าอ่าน เหมือนสวรรค์โปรด ได้พบหนังสือ “เจริญชีพด้วยการก้าว” แม้เล่มเล็ก แต่คุณค่ามหาศาลยิ่งนัก พออ่านหนังสือเข้าใจ ก็เริ่มลงมือปฏิบัติ ทำตามที่ตัวเองเข้าใจ ผสมกับปีติพบหนังสือดี จึงทำให้ผลีพลาม ทำโดยไม่ระมัดระวัง จนพ่อบ้านงง! ว่าเราเพี้ยนไปเสียแล้ว

พอมีโอกาสได้ไปสันติอโศก ได้มีโอกาสสนทนากับสมณะบ้าง สิกขมาตุบ้าง ท่านชี้แนะอะไร ก็นำมาปฏิบัติ บางอย่างทำได้ง่าย บางอย่างทำได้ยาก เริ่มจากละอบายมุข คือความเกียจคร้านเป็นอันดับแรก เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองเป็นคนขยันเต็มที่แล้ว เพราะ ทำทั้งงานบ้าน และ งานราชการ แต่เมื่อได้ปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ ได้เห็นข้อบกพร่องของตัวเองมากขึ้น ชัดเจนขึ้น จึงลดละส่วนเกินลง จนเงินเหลือใช้เห็นได้ชัด จากที่เคยชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำให้เกิดปีติ มีกำลังใจมากขึ้น

ลดการเพ่งโทษผู้อื่น หันมาจับผิดตัวเอง ฝึกการไม่โกรธ และ ให้อภัย จิตใจก็คลายความเร่าร้อนลง ลูกๆ และ พ่อท่านก็ยอมรับมากขึ้น ทำให้เห็นผลการปฏิบัติจริงเป็นเช่นนี้เองหนอ พ่อบ้านพูดกระทบกระทั่งถึงชาวอโศก ก็จะไม่เถียงคอเป็นเอ็นเหมือนเมื่อก่อน มารู้ว่าที่เราปฏิบัติธรรมแล้วยังทุกข์อยู่นั้น เป็นเพราะ เราหลงตัวหลงตน คิดว่าตัวเองทำดีแล้ว เห็นคนอื่นไม่ทำอย่างที่เราทำ ก็ถือสา เพ่งโทษเขา ชอบมองคนอื่น ถือสาคนอื่น ไม่ให้อภัย แท้จริงแล้ว! หัวใจของการปฏิบัติธรรมนั้นคือ “การมองตน” อ่านจิต อ่านใจตนเองต่อผัสสะที่มากระทบ ซึ่งกว่าจะได้สำนึก และ รู้ชัดเจนว่า ตรงไหนคือจุดพอดี ก็ได้สร้างปัญหาให้แก่ครอบครัว และ ผู้ใกล้ชิดไม่น้อยทีเดียว

สิบสองปีที่ได้พบพ่อท่าน ที่นำพาปฏิบัติแนวทางอโศก คือผู้ไม่ทุกข์ไม่โศก ไม่เศร้า หรือ อีกในแง่หนึ่งก็คือ ให้เป็น ”พุทธะ” คือเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานเสมอๆ จึงทำให้มองเห็นชัดเจนขึ้น เอาความผิดมาเป็นครู ทำให้ความทุกข์เบาบางลงระดับหนึ่ง และ รู้ว่าดีกว่านี้ยังมีอีก นี่เป็นการเริ่มต้นเท่านั้น หนทางยังอยู่อีกยาวไกล ก็จะขอเดินไปอย่างระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะ หกล้มแล้วจะฉุดลูกให้ล้มลงด้วย เพราะ ลูกเพิ่งหัดเดิน และ ตัวเองก็ยังมีความบกพร่อง ต้องแก้ไขปรับปรุงอยู่อีกมากมาย จึงขอตั้งสัจจะวาจาว่า

“จะขอเดินตามเส้นทางที่พ่อท่านนำพาเดินสายนี้ต่อไป และ ขอก้าวตามพ่อไปทุกๆ ชาติ เกิดชาติใด ภพใด ขอปฏิบัติตามที่พ่อท่านพาทำ พอกันที สำหรับชีวิตคนคู่ พอแล้ว อิ่มแล้วจริงๆ ”

ขอก้าวไปแม้ไฟโลมโลก ขอก้าวไปแม้โชคอับสูญ
ขอก้าวไปแม้ไร้คนทูน ขอก้าวไปแม้พูนคนชัง
ฉันขอก้าวตามพ่อไป ไม่ขอย้อนรอยถอยหลัง
มุมุ่งรุดหน้าจริงจัง ความหวังคือฝั่งนิพพาน…

ลำนำ ๓๖

   
ลึกสุดใจ

เพียรอ่านตน อ่านลึก ถึงดวงจิต
กายในจิต กายในใจ ไยสับสน
กายนอกกาย กายใยกาย หาใครยล
กายในตน กายในจิต คิดทบทวน

เพียรเร่งสร้าง ล้างกาย ที่เติบใหญ่
อย่ายอมให้ กายในจิต พิษผันผวน
จับจิตมั่น คั้นให้ตาย อย่าเรรวน
กายทั้งมวล ล้วนคือ จิตเป็นประธาน…

ฟากฝั่งฝัน นาวาอโศกตระกูล

end of column
(สารอโศก อันดับที่ ๒๒๑ เดินตามรอยพ่อ)