เดินตามรอยพ่อ
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 229

วันที่เจ็ดพฤศจิกามาบรรจบ
แด่พ่อท่านผู้เป็นพระอาริยะ
ท่านทำกิจโพธิสัตว์ได้สูงส่ง
ท่าเผยแผ่แก้ไขให้ใจจริง
สามสิบปีที่ผ่านงานชีวิต
จึงน้อมจิตข้าน้อยพลอยยินดี
ด้วยขอยอมหมอบกราบทาบบาทา
ขอน้อมไหว้ผู้สงบผู้หยุดเย็น
ขอน้อมนบจบเศียรคารวะ
ผู้เข้าถึงสัจจะสละจริง

ท่านดำรงคงธรรมนำยอดยิ่ง

ท่านสร้างสิ่งอันประเสริฐให้เกิดมี

โพธิกิจ
โพธิรักษ์สมศักดิ์ศรี
รำลึกถึงคุณที่ท่านบำเพ็ญ
ขอบูชาซึ่งพระคุณที่ให้เห็น
พระผู้เป็น"โพธิสัตว์"แห่งยุคกา
ก่อนจะก้าวตามรอยพ่อ จำเดิมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ เดือนมิถุนายน วันที่เท่าไหร่นั้นจำไม่ได้ ซึ่งในช่วงเวลาค่ำๆของวันนั้น
ข้าพเจ้ากำลังดูข่าวต่างๆทางทีวีอยู่ มีข่าวของ
พระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งกำลังให้สัมภาษณ์ซักถาม มีนักข่าวรายล้อมด้วยความสนใจ ทีแรกข้าพเจ้าไม่ได้ใส่ใจจะดูเท่าไหร่นัก แต่เมื่อได้ฟังคำตอบ ของพระรูปนั้น ก็เกิดความสะดุดใจ สนใจในพระรูปนั้น อิริยาบทของพระรูปนั้นที่แสดงออกดูสงบเย็น สำรวม พูดตอบ ด้วยความมั่นใจ แกล้วกล้าอาจหาญ คมชัด หนักแน่นมั่นคง ไม่สะทกสะท้าน หวั่นไหวใดๆ เห็นแล้วได้ยินแล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกชอบ และประทับใจ ในลีลาของพระรูปนั้น และคิดอยู่ในใจว่า อย่างนี้สิถึงจะคือ"พระ"

ทั้งที่ข้าพเจ้านั้นมิเคยใส่ใจในเรื่องพระเรื่องเจ้า เรื่องศาสนาใดๆเลย เพราะถ้าได้เห็นได้ยินเสียง ของพระเทศน์ ทางวิทยุหรือโทรทัศน์แล้ว ข้าพเจ้าก็จะเปลี่ยนช่องทันที หรือถ้าเดินสวนกันกับพระกลางทาง ข้าพเจ้าก็จะเดิน เลี่ยงหลบ ไม่ชอบที่จะเข้าใกล้พระ สักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าเราอยู่กันคนละโลก ความคิดที่จะบวชนั้นก็ไม่มี เพราะว่าข้าพเจ้าไม่รู้ว่า จะบวชไปเพื่ออะไร บวชแล้วได้ดีอย่างไร และจะมีความสุขได้ตรงไหน ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า การบวชนั้นเป็น "หนทางของคนผู้หมดหนทาง" ฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่า ข้าพเจ้าจะไปวัด

ก้าวแรก เริ่มจากวันนั้นมา ข้าพเจ้าก็พยายามติดตามข่าวความเป็นมาของพระรูปนั้น อย่างต่อเนื่อง ทั้งทางโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ทำให้พอทราบเรื่องราวความเป็นมาของข่าวและพระรูปนั้นบ้าง ว่าเหตุใดท่านจึงต้องตกเป็นข่าว และ ถูกบังคับให้สึก

ถึงแม้ว่าพระทางฝ่ายมหาเถรสมาคมและทางราชการ อันเป็นแกนหลักของสังคมจะลงความเห็นว่า ท่านกระทำ ผิดพระวินัยต้องให้สึก แล้วยังประกาศไปทั่วว่า ท่านและหมู่คณะ เป็นบุคคลอันตราย ต่อพระพุทธศาสนา จึงห้าม พระภิกษุใดๆ เข้าไปคบหาสมาคมด้วย

แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้เรื่องวินัยของพระในตอนนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ยังกลับเห็นว่าท่านมิได้ผิดอะไร เพราะเท่าที่ได้ติดตามข่าวก็ได้รู้ปฏิปทาของท่านมาบ้าง และยังรู้สึกว่า พระทั่วไปต่างหาก น่าจะปฏิบัติให้เหมือนกับท่าน จึงจะดูสมกับพระบ้าง

เมื่ออำนาจธรรมยังน้อยนิด จึงมิอาจสู้อำนาจโลกได้ มีแต่ข่าวสรุปส่งท้ายว่า สำนักสันติอโศกได้ถูกปิดแล้ว และการเผยแพร่ข่าวนี้ก็เงียบหายไป พร้อมกับการหยุดติดตามข่าวของข้าพเจ้าด้วย

ผลการติดตามข่าวนี้ ได้ทำให้ข้าพเจ้าเห็นถึงความไม่ชอบธรรมของสังคมไทย และความงมงายของคนไทยชัดขึ้น ว่าผู้มีอำนาจเท่านั้นน่ะหรือจึงคือผู้ชนะผู้ถูกต้อง ข้าพเจ้าจึงยิ่งเกลียดคนผู้ใช้อำนาจในทางไม่ถูกธรรมมากยิ่งขึ้น เบื่อหน่ายกับสังคมที่งมงาย แต่ถึงข้าพเจ้าจะเบื่อแสนเบื่ออย่างไร ข้าพเจ้าก็ยังคงไหลไปตามโลก ตามสังคมอันงมงายนั้น ไม่อาจหาญ ที่จะออกมาจากโลกเช่นนั้นได้ ก็เพียงได้แค่รู้ว่า ได้มีพระที่แท้จริงเกิดขึ้นแล้ว ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องเล่า สมัยที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระพุทธองค์ได้ทรงอธิษฐานลอยถาดทองคำในแม่น้ำ ว่าถ้าการบำเพ็ญเป็นผลสำเร็จ ถาดนั้นจงลอยทวนกระแสน้ำ แล้วถาดทองนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วค่อยๆจมลงไปยังใต้บาดาล ไปซ้อนกับถาดใบก่อนๆ ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ พญานาคที่นอนหลับอยู่ใต้บาดาลได้ยินเสียงถาดกระทบซ้อนกัน ก็ผงกหัวขึ้นมารับรู้ว่า พระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นอีกองค์แล้ว แต่ก็ไม่ออกไปหา ได้แต่ม่อยหลับลงไปตามเดิม ข้าพเจ้าก็คงไม่ต่างอะไรกับพญานาคตนนั้น แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าก็ได้เกิดความสนใจในศาสนาขึ้นมาบ้าง เริ่มค้นคว้าศึกษาหาหนังสือธรรมะมาอ่านบ้าง ก็พอทำให้รู้จักและพอแยกแยะพระได้ชัดเจนขึ้น ว่าอย่างไรคือพระแท้ๆ และก็เชื่อว่าพระอรหันต์ยังมีอยู่จริงบนโลกนี้

ก้าวที่ ๒ ความไม่เที่ยงเป็นสิ่งเที่ยงแท้อยู่เสมอ เมื่อมีเกิดย่อมมีตาย สิ่งที่เคยได้มาก็กลับไม่ได้ สิ่งที่มีอยู่ ก็หายหดหมดไป สิ่งที่ไม่ต้องการ ก็กลับมีอยู่เกลื่อนกล่น คนที่เคยชอบเรา ให้เรา ยกย่องเรา เขาก็กลับเบื่อหน่าย ตำหนิเรา เกลียดเรา เหยียดหยามเรา สิ่งที่เห็นแล้วรู้สึกว่าเป็นความสุข กลับเห็นแล้วรู้สึกว่ามันทุกข์ ชีวิตต้องสาละวน แสวงหา แต่สิ่งที่ไม่เที่ยง เช่นนี้หรือ สังคมก็มีแต่แข่งแย่งความเป็นใหญ่ เอารัดเอาเปรียบกัน หวังแต่จะกอบโกย หาความสุขมาให้แก่ตน ไม่มีน้ำใจจริง ให้แก่กัน การจะให้ก็ให้เพื่อหวังจะได้คืนมามากกว่าที่ให้

ข้าพเจ้าเอง แม้จะไม่ต้องการเป็นคนดั่งที่กล่าวถึงนี้ แต่การยั่วเย้าหลอกล่อและความหลงติด ในโลกียสุข มันก็ฉุดรั้ง ให้ข้าพเจ้า ต้องเป็นไปกับเขา แต่ความจริงย่อมคือความจริง ทุกข์ก็ย่อมเป็นทุกข์ ความสุขมิอาจกลบเกลื่อนทุกข์ได้ มันเพียงแค่ ลวงหลอกไว้ ให้คนโง่เขลาเบาปัญญามาติดกับ

ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๓๕ สังคมวุ่นวายแก่งแย่งความเป็นใหญ่ ประชาชนต่างต้องการเสรีภาพ แต่ข้าพเจ้า มิต้องการใดๆ ไม่ต้องการ เรียกร้องหาเสรีใดๆ หรือแก่งแย่งเอาอะไรกับใคร สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการในตอนนั้นก็คือ การหลุดพ้น จากความทุกข์ ที่มันท่วมทับถม ข้าพเจ้าอยู่ จนหาทางออกไม่ได้ ข้าพเจ้าหมดสิ้นแล้วซึ่งหนทาง ความสงบเย็น แห่งจิตใจ จึงเป็นสิ่งปรารถนาของข้าพเจ้า การดำเนินชีวิตอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นทางออก ที่ข้าพเจ้าเลือกเดิน ด้วยการสละทิ้ง เว้นออก พรากออก หนีห่างจากสังคม อันเลวร้าย ซึ่งก็คือการบวชเป็นพระถิกษุ ในพระพุทธศาสนา

อาตมาพยายามศึกษาถึงเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงก้าวไป แต่เมื่อมองไปยังรอบๆข้าง ก็ไม่เห็นผู้ใดเลย ที่สนใจ และพยายาม จะเดินไปตามทาง ของพระพุทธองค์ ทั้งที่ก็สวมเครื่องแบบนักบวชที่บ่งบอกชัดเจนว่า จะต้องเดินไปตามทาง ของพระพุทธองค์ แต่กลับไปเดินตามทางที่เคยเดินมา ไม่เข้าใจเลยว่าบวชเพื่อปรารถนาอะไร แต่ก็ช่างเถอะถึงอย่างไร อาตมาก็จะไม่ขอย้อนกลับไปเส้นทางเก่าเป็นแน่ แต่จะให้เดินต่อไปนั้น หนทางมันช่างมืดมน รอยเท้าของพระพุทธองค์ ก็เลือนลาง ไม่ชัดเจนยากที่จะก้าวตาม แล้วก็มิกล้าหาญเด็ดเดี่ยวพอ ที่จะฝ่าความมืด เดินไปด้วยความลังเล แต่เพียงผู้เดียว

อาตมาจึงจำต้องออกจาริก แสวงหาเพื่อผู้ร่วมทาง หรือผู้ที่ได้เดินไปถึงทางแห่งความพ้นทุกข์นั้นแล้ว มาช่วยชี้บอกทาง หรือก้าวนำทางไป

การแสวงหาของอาตมาไม่ไร้ผลเสียทีเดียว เพราะได้พบเพื่อนผู้แสวงหาทางอย่างอาตมามากมาย ถึงแม้นักบวชเหล่านั้น จะยังไม่ชัดเจน ในเส้นทาง ดั่งเดียวกับอาตมา แต่ก็พอเป็นกำลังใจให้ ได้ทำให้อาตมาอดทน ที่จะแสวงหาต่อไป และต่อไป…

ก้าวที่ ๓ และแล้วต้นปี พ.ศ.๒๕๓๖ ก็แสวงหามาถึงที่จ.ศรีสะเกษ ในช่วงนี้นอาตมาเกิดเจ็บเท้า จึงจำต้องหา ที่พักชั่วคราว เทวดา(ชายผู้ใจดี)ท่านหนึ่ง ก็แนะนำให้อาตมามาพักที่ ศีรษะอโศก พอได้ยินคำว่า"อโศก" ก็มิลังเลอันใดเลย รีบบอกให้เทวดาผู้นั้นพาไป เพราะรู้สึกว่า ที่นี่แหละ อาตมาจะได้พบ บุคคลที่ต้องการพบ (ความรู้สึกลึกๆมันบอกเช่นนั้น)

เมื่อได้เข้ามาพำนักที่ศีรษะอโศก ได้ฟังได้ซักถามพูดคุย และสัมผัสกับบรรยากาศ ของการดำเนินชีวิต ของคนที่นี่ ก็เกิดความเลื่อมใส ประทับใจ เพราะแต่ละคนดูสดใส เบิกบาน ขยัน มีมิตรไมตรี ท่าทางสงบเย็น และอ่อนน้อม หลายๆคนบอกว่า เขาชัดเจนในเส้นทางแห่งพระพุทธองค์ดี และมั่นใจว่าไม่ผิดทาง เพราะเขามีผู้ที่ไปถึง จุดหมายปลายทางแล้ว มานำทางให้แก่เขา เขาเพียงแต่ก้าวตามรอยเท้าไปเท่านั้น ซึ่งทำให้อาตมาอยากพบ อยากฟัง คำแนะนำ บอกทางของผู้นำทางผู้นั้น เป็นอย่างมาก เพราะผู้นำทาางผู้นั้น ก็มิใช่ผู้ใดที่ไหน แต่คือพระภิกษุ ที่ถูกสังคม กล่าวหาว่า ประพฤติผิดธรรมวินัย ผู้ที่อาตมาประทับใจในลีลา ชอบใจในคำพูด ได้เห็นความต่าง ในความเป็นพระ ซึ่งท่านมีนามว่า พระโพธิรักษ์ หรือที่หลายๆคน ที่กำลังเดินตามรอยเท้าท่านอยู่ เรียกท่านว่า พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์

ต่อมาในเดือนเมษายน ปี พ.ศ.๒๕๓๖ ณ พุทธสถานศาลีอโศก จังหวัดนครสวรรค์ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ อาตมาได้มีโอกาสรับฟังคำบอกกล่าวชี้แนะ ถึงทางดำเนินไปตามอย่างพระพุทธเจ้าจากพ่อท่าน และผู้ที่กำลังเดินตามรอยพ่อท่าน หลายๆสิ่งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็เข้าใจแจ่มชัดขึ้น ความลังเลสงสัยก็คลายลง จึงเกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่เคยปรารถนา จะเป็นความจริงอย่างแน่นอน และรอยเท้าแห่งพระพุทธองค์ เริ่มชัดขึ้นในใจของอาตมา

ก้าวที่ ๔ อาตมาเริ่มปลดเปลื้องส่วนเกินต่างๆ ที่ยังหลงแบกหลงติดอยู่ แล้วค่อยๆแกะรอยเท้าของพ่อท่านไปทีละรอยสองรอย ศาสตร์และศิลป์ของการบิณฑบาตเป็นรอยแรกที่ได้อ่าน และปฏิบัติตามอย่างจริงจัง แล้วรอยเท้าอื่นๆอีกค่อยๆทยอยก้าวตาม ไม่ว่าจะเป็นเท็ป หนังสือ การอยู่ร่วมช่วยเหลือการงาน การรับฟัง การไถ่ถาม ที่สุดในปี พ.ศ.๒๕๔๒ เดือนธันวาคม อาตมาก็ก้าวเข้ามาเดินตามรอยพ่อท่านอย่างเต็มตัว ด้วยการขอเข้าหมู่ เปลี่ยนสมมติให้เป็นอันเดียวกัน คือเปลี่ยนจากพระภิกษุมาเป็นสมณะ ตามหมู่ของพ่อท่านอย่างสมบูรณ์

แม้ปัจจุบันนี้ อาตมาก็กำลังพยายามก้าวตามรอยเท้าของพ่อท่าน แต่มันก็ไม่ใช่ง่าย เพราะคลื่นลม สัตว์ร้ายและมารต่างๆ มันคอยล่อหลอก จดจ้องที่จะเล่นงานอยู่เสมอ หากประมาทหลงเพลิดเพลินกับสิ่งลวงล่อแล้ว ก็ย่อมตกเป็นเหยื่อของเหล่าสัตว์ร้ายและมารได้

ก้าวต่อไป ตราบใดที่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ยังไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร อาตมาจะขอเดินก้าวตามรอยเท้าพ่อ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์เจ้า ไปให้ถึงที่สุดแห่งความทุกข็ทั้งปวง และจะพยายามเดินไปด้วยความไม่ประมาท

ถึงหนทางนั้นจะยากแสนยาก หรือลำบากสักปานใด อาตมาจะพยายามก้าวตามไป ตามไปพร้อมกับเพื่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่กำลังก้าวตามพ่อไปด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น เพราะไม่มีทางใดแล้ว ที่เห็นว่า จะพาอาตมาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ มีแต่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น คือ สัมมาอาริยมรรคมีองค์ ๘ ทางที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ แล้วประกาศชี้แนะไว้ อันเป็นทางเดียวกับทางที่พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ กำลังพาก้าวเดิน

มาเถิด ผู้ใดที่ปรารถนาความหลุดพ้นจากความทุกข์

มาเถิด มาเดินตามทางเส้นนี้ พวกเรายังยินดีมีเพื่อนร่วมทาง

ไม่หรอก ไม่มีคำว่าสายสำหรับอายุ

ทั้งไม่มีชนชั้นสำหรับเพศ ฐานะ และภูมิเกิด

ขอมีเพียงความตั้งใจ ด้วยหัวใจที่จริงแท้เท่านั้น

ย่อมก้าวเดินสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอน…

จะเดินไป ให้สุดทาง ด้วยแรงพุทธ
จะไม่หยุด ไม่ย้อนรอย ไม่ถอยหลัง
จะก้าวตาม รอยเท้าพ่อ สุดพลัง
เพื่อความหวัง ดั่งที่ ตนตั้งใจ

ส.แรงพุทธ
๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๓

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 229 ฉบับ เดือนตุลาคม 2543