กรรมตามสนอง ตอน...
กรรมตามสนอง
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ ...
หน้า 1/1

แม้กาลเวลาจะเนิ่นนานผ่านพ้นมาได้ ๕ ปีกว่าแล้ว แม้ฉันจะได้จากหมู่กลุ่มที่แสวงหาการทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ เป็นเครื่องผ่อนคลายอารมณ์มาแล้ว แต่ผลกรรมอันชั่วร้ายนั้น ยังหาได้ทิ้งห่างไปจากตัวฉันไม่ มันยังคงตามล้างตามผลาญฉันตลอดมาทุกย่างก้าว เสมือนตัวเห็บที่เกาะกินใจอันยากจะไถ่ถอนได้ แม้เวลาหลับตานอน มันก็ไม่ยอมลดละ บางครั้งฉันฝันร้ายว่าต่อสู้กับศัตรู ชกและเตะข้างฝาเสียงดัง โครมคราม บางครั้งฉันละเมอออกมาเป็นเสียงบริภาษ เป็นที่รบกวนเพื่อนข้างห้องยิ่งนัก ฉันต้องพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะหา ที่หลบซ่อนตัว เพื่อหลีกหนีเจ้ากรรมอันชั่วร้ายให้พ้น

ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นี้ หัวใจของฉันเต้นแรง จิตใจฟุ้งซ่าน ปั่นป่วน อกุศลกรรมเข้าครอบงำจิตอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของฉันมองเห็นแต่ภาพอันทารุณโหดร้าย มันเป็นภาพในอดีตที่ผุดขึ้นมาก่อกวนความสงบของฉัน เสมือนอย่างภาพที่ปรากฏในจอที.วี. ที่คอยผลัดเปลี่ยนตามหลอกตามหลอนฉันนับสิบภาพร้อยภาพอยู่เสมอตลอดมา ทุกภาพบ่งบอกถึงความทารุณโหดร้าย ที่ไม่น่าจะมีอยู่ในจิตใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย... วันนั้นฉันดื่มจัด เกเร ดุดัน ...แหละวันนี้ แม้เวลาจะต่างกันถึง ๕ ปีกว่าแล้ว แต่ทุกอย่างที่ได้ตราไว้ในความทรงจำ มันช่างมีพลังเหมือนกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวาน...อย่างยากจะลืมเลือน

"...เฮ้ย ! เอามันให้ตาย ! เอ้า."

๒๔.๐๐ น. โดยประมาณ ณ ปากซอยวัดนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรี มนุษย์ ๕ คน กำลังกรูเข้ามาทางฉันและเพื่อน ด้วยท่าทางประสงค์ร้าย ไม้แปรหน้าสามขนาดเท่าช่วงแขน คืออาวุธที่กำลังเงื้อง่าวิ่งเข้ามา เสี้ยววินาทีนั้นนั่นเอง ที่ฉันสองคนกับเพื่อนต่างตัดสินใจเหมือนกันว่า "สู้"

"โอย ! ช่วยด้วย..." ..."ตุ๊บ ๆ ๆ ๆ "

"เอามันให้ตาย"

เสียงเพื่อนเรียกให้ฉันช่วยด้วย ดังจับจิต

เสียงไม้ทุบลงบนร่างเพื่อน และฉันดังครั้งแล้วครั้งเล่า

ภาพที่เพื่อนทรุดกายลงกองดิน ต่อหน้า ต่อตาฉัน ทำให้จิตใจฉันฮึกเหิมพอที่จะไม่กลัวตาย เพื่อนรัก... ฉันจะไม่ทิ้งเพื่อนหรอก ฉันกัดฟันทนเจ็บปวดทั้งกายและใจอย่างที่สุด ใช้พลังอย่างสุดแรงง้างขาโต๊ะเก่าๆ ได้ท่อนหนึ่ง แล้วสองมือที่กำไม้แน่นก็หวดซ้าย-ขวา เพื่อคุ้มครองเพื่อนที่ร่างกองดิน

...โอ นี่อะไรกัน... นี่เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ ?

นี่นะหรือ คือการต่อสู้ของมนุษย์ มนุษย์ที่เขาว่าประเสริฐกันน่ะหรือ ทำไมมันไม่ต่างอะไรกับสัตว์ ที่ฉันเคยเห็นมันต่อสู้กันในรายการที.วี.สารคดีเลยละ

"...วันนั้น ฉันกับสัตว์ต่างกันตรงไหนหนอ ..." และแล้วสองสามวันผ่านมา ฉันก็ได้เห็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็น ตั้งแต่ฉันเกิดมา ภาพน้ำตาที่คลอเบ้า อันพอสังเกตได้ปรากฏอยู่ในดวงตาทั้งสองของพ่อ ผู้ไม่เคยอ่อนแอ ต่อการงานแม้หนักเพียงใด ผู้เอาหยาดเหงื่อแลกกับเงินตรา เพื่อส่งเสียให้ฉันได้เข้ามาเรียนในเมืองหลวง

ภาพน้ำตาที่เอ่อล้นอาบแก้มทั้งสองของแม่ พี่ และน้อง ... ทุกคนร้องไห้...

"ลูกเอ๊ย...ลูกพอจะมีความอดทนบ้างไหม

ลูกพอจะลืมเคราะห์กรรมที่ผ่านพ้นไปนั้นได้ไหม

ตั้งสติให้ดีนะลูก แม้ลูกจะผิดพลาดเสมอมา พ่อไม่ซ้ำเติมลูกหรอก

พ่อจะให้โอกาสลูกตั้งใจเรียน ไปกับพ่อเถอะลูก อย่าอยู่กับเพื่อนพวกนี้เลย"

เสียงอันหนักแน่นของพ่อที่ให้อาหารใจแก่ฉัน ให้โอกาสฉัน ชี้ทางให้ฉัน ไม่ถือโทษ แม้ฉันจะทำผิดอย่าง มหันต์ ประพฤติตนเกเร ดื่มเหล้าจัด คบอันธพาล ทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนรักของฉัน คนหนึ่ง จบ ป.๔ เคยฆ่าคน เคยปล้นร้านทอง อีกคนหนึ่งจบ ป.๒ เคยฆ่าคน เคยปล้น สำหรับฉันแม้ไม่เคยทำบาปนั้น แต่เราก็อยู่ร่วมกันด้วยความรัก และซื่อสัตย์ต่อกันเสมอมา

นี่นะหรือ ร่างกายและสมองของฉัน ที่พ่อแม่ เชยชมว่าเรียนเก่งนักเก่งหนา ท่านคงไม่รู้หรอกว่า สมองก้อนนี้ของฉัน มันมีแต่เนื้อร้าย ที่บัดนี้คอยคิดแต่การทำลายล้างเผ่าพันธุ์เพื่อนมนุษย์ ด้วยแรงอาฆาตพยาบาท ต่างกับพ่อที่ร่างกายของพ่อ ดูจะพิการอยู่บ้าง เพราะต้องตรำงานหนัก จนข้อต่อกระดูกสันหลังเคลื่อน เดินคดไปคดมา ต้องหยุดพักกาย ทุกระยะทางประมาณ ๑๐๐ เมตร แต่จิตใจพ่อหาได้พิการไปด้วยเลย จิตใจพ่อกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา อันมีต่อลูกอย่างหาประมาณไม่ได้ แม้จะมีบางครั้งที่ฉันสามารถมองเห็นดวงตาพ่อที่ฉายแววแห่งความทุกข์เป็นอย่างมาก พ่อยังสู้อดทน เพื่อทำทุกอย่างที่จะให้โอกาสลูกได้กลับตน

ฉันรู้สึกเห็นโลกใบใหม่ของฉันแล้ว ฉันเก็บเสื้อผ้าสิ่งของเท่าที่เป็นส่วนของฉัน ล่ำลาเพื่อนอย่างสุดอาลัย เดินตามเส้นทางใหม่ที่พ่อชี้ให้

"... เพื่อนเอ๋ย หากการฆ่าฟันทำลายล้างกัน เป็นสิ่งที่ทำให้ใจเพื่อนสงบ เป็นสิ่งอันเป็นบุญสำหรับเพื่อนแล้วละก็ ขอให้ผลบุญนั้น จงนำพาเพื่อน ขอให้ผลบุญนั้นจงคุ้มครองเพื่อนให้พ้นภัยพิบัติด้วยเถิด ฉันเดินร่วมทางกับเพื่อนไม่ได้เสียแล้ว เพราะฉันมองเห็นความพินาศ ความหายนะของชีวิตกำลังก้าวย่างเข้ามาทุกขณะ..."ฉันอยากจะบอกทุกคน ที่ฉันเคยก่อกรรมชั่วร้ายกับเขาว่า

เธอไม่ต้องมาล้างแค้นฉันหรอก เพราะทุกวันนี้ ฉันก็ถูกกรรมอันชั่วร้ายนั้น ตามล้างเผาผลาญทางจิตสำนึกอย่างแสนสาหัสที่สุด ฉันเจ็บปวด ฉันเสียใจ วันแล้ววันเล่า ที่ฉันต้องหนีอย่างหัวซุกหัวซุน แต่ฉันไม่เคยหลบพ้นเจ้ามารร้ายที่มันแฝงอยู่ในใจฉันได้เลย

ฉันกลายเป็นคนคิดมาก โทสะแรง ใจน้อย มักชอบเพ่งโทสผู้อื่น

แต่ฉันได้พบแล้ว ได้พบพระสุปฏิปันโนแล้ว ท่านสอนไม่ให้ฉันหลบซ่อนเจ้ามารร้าย แต่ท่านได้สอนขั้นตอนการต่อสู้กับเจ้ามารร้าย อย่างมีขั้นตอนอันสุขุม เยือกเย็น ฉันรู้สึกว่า เกมการต่อสู้นั้นเป็นที่น่าสนุกสนานมาก

"โยมเคยฆ่าคนไหม"

เป็นคำถามที่กะทัดรัดเข้าใจง่าย แต่ฉันไม่อาจตอบได้ในทันที ฉันหยุดคิดเงยหน้าขึ้น เพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง และแล้วฉันได้พบบางสิ่งบางอย่าง จากดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา เหมือนกับจะบอกกับฉันว่า "อาตมาเข้าใจโยม อาตมาจะช่วยโยม" ดังนั้น ฉันจึงตอบว่า "ไม่เคยครับ"

"โยมเคยคิดจะฆ่าคนไหม"

"เคยครับ"

"ด้วยปืนหรือมีด"

"ด้วยไม้ครับ"

โยมไม่ควรโกรธใครนะ เพราะความโกรธจะทำลายตัวเรา และผู้อยู่รอบด้าน เมื่อเราผิดมีคนมาตำหนิเรา เราควรขอบคุณที่เขาชี้แนะเรา หากเราไม่ผิด แต่เขามาตำหนิเรา เราก็ควรสบายใจได้ ที่ไม่ต้องแก้ไขสิ่งใด และไม่ควรโกรธเขาให้เป็นภัยแก่ตัว และคนรอบด้าน

อือ ม... วิเศษจริง จริง ...วิเศษแท้...วิเศษเกินกว่าที่จะพูด เกมการต่อสู้กับมารร้ายอย่างนี้ ฉันกล้าที่จะเขียนลงในนี้ว่า ฉันไม่เคยจดจำมาจากใครเลย มีแต่คนสอนให้ฉันปล่อยวางอย่างขาดปัญญา ฉันจึงทำไม่ได้

แต่ยังหรอก ฉันยังไม่ใช่ผู้ชนะที่เด็ดขาด เพราะยังมีบางครั้งที่ฉันตกหลุมพรางเจ้ามารร้าย ผู้มีความชาญฉลาดอย่างเฉโกอยู่ เกมการต่อสู้อันน่าสนุกสนานนี้ จะต้องดำเนินต่อไป ฉันจะพยายามกำชัยชนะที่เด็ดขาดให้จงได้ แม้จะนานสักเพียงใด

เสียงเท็ป คาถาธรรม ชุดที่ ๙ ของพ่อท่าน เริ่มดังขึ้นในใจฉัน"...เวรไม่เคยระงับเพราะเวรเลย หากแต่เวรทั้งหลาย ย่อมระงับไป เพราะการไม่จองเวรต่อกัน"

แต่ก่อนแต่ไรมา ฉันมักใช้เวร เข้าแลกเปลี่ยนฟาดฟันกับเวร จนฉันเกือบจะเป็นคนวิปริต แต่คำสอนประโยคนี้ ทำไมช่างพิสดารจับใจอะไรอย่างนี้

ฉันอยากจะบอกพวกเขาทั้งหลายว่า "ขอกรรมทั้งหลายที่เราเคยล่วงเกินต่อกันและกัน จงเป็นอโหสิกรรมต่อกันด้วยเถิด ขอเธอทั้งหลาย จงเปี่ยมล้นด้วยธรรมอันเมตตา และสงสารต่อกันด้วยเถิด"

ฉันพบแล้ว ฉันพบกุญแจที่จะใช้ไขโซ่ตรวน ที่พันธนาการความเป็นนักโทษของฉันแล้ว

"ดินดงแม้กาลเวลาจะเนิ่นนานผ่านพ้นมาได้ ๕ ปีกว่าแล้ว แม้ฉันจะได้จากหมู่กลุ่มที่แสวงหาการทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ เป็นเครื่องผ่อนคลายอารมณ์มาแล้ว แต่ผลกรรมอันชั่วร้ายนั้น ยังหาได้ทิ้งห่างไปจากตัวฉันไม่ มันยังคงตามล้างตามผลาญฉันตลอดมาทุกย่างก้าว เสมือนตัวเห็บที่เกาะกินใจอันยากจะไถ่ถอนได้ แม้เวลาหลับตานอน มันก็ไม่ยอมลดละ บางครั้งฉันฝันร้ายว่าต่อสู้กับศัตรู ชกและเตะข้างฝาเสียงดัง โครมคราม บางครั้งฉันละเมอออกมาเป็นเสียงบริภาษ เป็นที่รบกวนเพื่อนข้างห้องยิ่งนัก ฉันต้องพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะหา ที่หลบซ่อนตัว เพื่อหลีกหนีเจ้ากรรมอันชั่วร้ายให้พ้น

ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี้ หัวใจของฉันเต้นแรง จิตใจฟุ้งซ่าน ปั่นป่วน อกุศลกรรมเข้าครอบงำจิตอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของฉันมองเห็นแต่ภาพอันทารุณโหดร้าย มันเป็นภาพในอดีตที่ผุดขึ้นมาก่อกวนความสงบของฉัน เสมือนอย่างภาพที่ปรากฏในจอที.วี. ที่คอยผลัดเปลี่ยนตามหลอกตามหลอนฉันนับสิบภาพร้อยภาพอยู่เสมอตลอดมา ทุกภาพบ่งบอกถึงความทารุณโหดร้าย ที่ไม่น่าจะมีอยู่ในจิตใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย... วันนั้นฉันดื่มจัด เกเร ดุดัน ...แหละวันนี้ แม้เวลาจะต่างกันถึง ๕ ปีกว่าแล้ว แต่ทุกอย่างที่ได้ตราไว้ในความทรงจำ มันช่างมีพลังเหมือนกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวาน...อย่างยากจะลืมเลือน

"...เฮ้ย ! เอามันให้ตาย ! เอ้า."

๒๔.๐๐ น. โดยประมาณ ณ ปากซอยวัดนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรี มนุษย์ ๕ คน กำลังกรูเข้ามาทางฉันและเพื่อน ด้วยท่าทางประสงค์ร้าย ไม้แปรหน้าสามขนาดเท่าช่วงแขน คืออาวุธที่กำลังเงื้อง่าวิ่งเข้ามา เสี้ยววินาทีนั้นนั่นเอง ที่ฉันสองคนกับเพื่อนต่างตัดสินใจเหมือนกันว่า "สู้"

"โอย ! ช่วยด้วย..." ..."ตุ๊บ ๆ ๆ ๆ "

"เอามันให้ตาย"

เสียงเพื่อนเรียกให้ฉันช่วยด้วย ดังจับจิต

เสียงไม้ทุบลงบนร่างเพื่อน และฉันดังครั้งแล้วครั้งเล่า

ภาพที่เพื่อนทรุดกายลงกองดิน ต่อหน้า ต่อตาฉัน ทำให้จิตใจฉันฮึกเหิมพอที่จะไม่กลัวตาย เพื่อนรัก... ฉันจะไม่ทิ้งเพื่อนหรอก ฉันกัดฟันทนเจ็บปวดทั้งกายและใจอย่างที่สุด ใช้พลังอย่างสุดแรงง้างขาโต๊ะเก่าๆ ได้ท่อนหนึ่ง แล้วสองมือที่กำไม้แน่นก็หวดซ้าย-ขวา เพื่อคุ้มครองเพื่อนที่ร่างกองดิน

...โอ นี่อะไรกัน... นี่เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ ?

นี่นะหรือ คือการต่อสู้ของมนุษย์ มนุษย์ที่เขาว่าประเสริฐกันน่ะหรือ ทำไมมันไม่ต่างอะไรกับสัตว์ ที่ฉันเคยเห็นมันต่อสู้กันในรายการที.วี.สารคดีเลยละ

"...วันนั้น ฉันกับสัตว์ต่างกันตรงไหนหนอ ..." และแล้วสองสามวันผ่านมา ฉันก็ได้เห็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็น ตั้งแต่ฉันเกิดมา ภาพน้ำตาที่คลอเบ้า อันพอสังเกตได้ปรากฏอยู่ในดวงตาทั้งสองของพ่อ ผู้ไม่เคยอ่อนแอ ต่อการงานแม้หนักเพียงใด ผู้เอาหยาดเหงื่อแลกกับเงินตรา เพื่อส่งเสียให้ฉันได้เข้ามาเรียนในเมืองหลวง

ภาพน้ำตาที่เอ่อล้นอาบแก้มทั้งสองของแม่ พี่ และน้อง ... ทุกคนร้องไห้...

"ลูกเอ๊ย...ลูกพอจะมีความอดทนบ้างไหม

ลูกพอจะลืมเคราะห์กรรมที่ผ่านพ้นไปนั้นได้ไหม

ตั้งสติให้ดีนะลูก แม้ลูกจะผิดพลาดเสมอมา พ่อไม่ซ้ำเติมลูกหรอก

พ่อจะให้โอกาสลูกตั้งใจเรียน ไปกับพ่อเถอะลูก อย่าอยู่กับเพื่อนพวกนี้เลย"

เสียงอันหนักแน่นของพ่อที่ให้อาหารใจแก่ฉัน ให้โอกาสฉัน ชี้ทางให้ฉัน ไม่ถือโทษ แม้ฉันจะทำผิดอย่าง มหันต์ ประพฤติตนเกเร ดื่มเหล้าจัด คบอันธพาล ทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนรักของฉัน คนหนึ่ง จบ ป.๔ เคยฆ่าคน เคยปล้นร้านทอง อีกคนหนึ่งจบ ป.๒ เคยฆ่าคน เคยปล้น สำหรับฉันแม้ไม่เคยทำบาปนั้น แต่เราก็อยู่ร่วมกันด้วยความรัก และซื่อสัตย์ต่อกันเสมอมา

นี่นะหรือ ร่างกายและสมองของฉัน ที่พ่อแม่ เชยชมว่าเรียนเก่งนักเก่งหนา ท่านคงไม่รู้หรอกว่า สมองก้อนนี้ของฉัน มันมีแต่เนื้อร้าย ที่บัดนี้คอยคิดแต่การทำลายล้างเผ่าพันธุ์เพื่อนมนุษย์ ด้วยแรงอาฆาตพยาบาท ต่างกับพ่อที่ร่างกายของพ่อ ดูจะพิการอยู่บ้าง เพราะต้องตรำงานหนัก จนข้อต่อกระดูกสันหลังเคลื่อน เดินคดไปคดมา ต้องหยุดพักกาย ทุกระยะทางประมาณ ๑๐๐ เมตร แต่จิตใจพ่อหาได้พิการไปด้วยเลย จิตใจพ่อกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา อันมีต่อลูกอย่างหาประมาณไม่ได้ แม้จะมีบางครั้งที่ฉันสามารถมองเห็นดวงตาพ่อที่ฉายแววแห่งความทุกข์เป็นอย่างมาก พ่อยังสู้อดทน เพื่อทำทุกอย่างที่จะให้โอกาสลูกได้กลับตน

ฉันรู้สึกเห็นโลกใบใหม่ของฉันแล้ว ฉันเก็บเสื้อผ้าสิ่งของเท่าที่เป็นส่วนของฉัน ล่ำลาเพื่อนอย่างสุดอาลัย เดินตามเส้นทางใหม่ที่พ่อชี้ให้

"... เพื่อนเอ๋ย หากการฆ่าฟันทำลายล้างกัน เป็นสิ่งที่ทำให้ใจเพื่อนสงบ เป็นสิ่งอันเป็นบุญสำหรับเพื่อนแล้วละก็ ขอให้ผลบุญนั้น จงนำพาเพื่อน ขอให้ผลบุญนั้นจงคุ้มครองเพื่อนให้พ้นภัยพิบัติด้วยเถิด ฉันเดินร่วมทางกับเพื่อนไม่ได้เสียแล้ว เพราะฉันมองเห็นความพินาศ ความหายนะของชีวิตกำลังก้าวย่างเข้ามาทุกขณะ..."ฉันอยากจะบอกทุกคน ที่ฉันเคยก่อกรรมชั่วร้ายกับเขาว่า

เธอไม่ต้องมาล้างแค้นฉันหรอก เพราะทุกวันนี้ ฉันก็ถูกกรรมอันชั่วร้ายนั้น ตามล้างเผาผลาญทางจิตสำนึกอย่างแสนสาหัสที่สุด ฉันเจ็บปวด ฉันเสียใจ วันแล้ววันเล่า ที่ฉันต้องหนีอย่างหัวซุกหัวซุน แต่ฉันไม่เคยหลบพ้นเจ้ามารร้ายที่มันแฝงอยู่ในใจฉันได้เลย

ฉันกลายเป็นคนคิดมาก โทสะแรง ใจน้อย มักชอบเพ่งโทสผู้อื่น

แต่ฉันได้พบแล้ว ได้พบพระสุปฏิปันโนแล้ว ท่านสอนไม่ให้ฉันหลบซ่อนเจ้ามารร้าย แต่ท่านได้สอนขั้นตอนการต่อสู้กับเจ้ามารร้าย อย่างมีขั้นตอนอันสุขุม เยือกเย็น ฉันรู้สึกว่า เกมการต่อสู้นั้นเป็นที่น่าสนุกสนานมาก

"โยมเคยฆ่าคนไหม"

เป็นคำถามที่กะทัดรัดเข้าใจง่าย แต่ฉันไม่อาจตอบได้ในทันที ฉันหยุดคิดเงยหน้าขึ้น เพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง และแล้วฉันได้พบบางสิ่งบางอย่าง จากดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา เหมือนกับจะบอกกับฉันว่า "อาตมาเข้าใจโยม อาตมาจะช่วยโยม" ดังนั้น ฉันจึงตอบว่า "ไม่เคยครับ"

"โยมเคยคิดจะฆ่าคนไหม"

"เคยครับ"

"ด้วยปืนหรือมีด"

"ด้วยไม้ครับ"

โยมไม่ควรโกรธใครนะ เพราะความโกรธจะทำลายตัวเรา และผู้อยู่รอบด้าน เมื่อเราผิดมีคนมาตำหนิเรา เราควรขอบคุณที่เขาชี้แนะเรา หากเราไม่ผิด แต่เขามาตำหนิเรา เราก็ควรสบายใจได้ ที่ไม่ต้องแก้ไขสิ่งใด และไม่ควรโกรธเขาให้เป็นภัยแก่ตัว และคนรอบด้าน

อือ ม... วิเศษจริง จริง ...วิเศษแท้...วิเศษเกินกว่าที่จะพูด เกมการต่อสู้กับมารร้ายอย่างนี้ ฉันกล้าที่จะเขียนลงในนี้ว่า ฉันไม่เคยจดจำมาจากใครเลย มีแต่คนสอนให้ฉันปล่อยวางอย่างขาดปัญญา ฉันจึงทำไม่ได้

แต่ยังหรอก ฉันยังไม่ใช่ผู้ชนะที่เด็ดขาด เพราะยังมีบางครั้งที่ฉันตกหลุมพรางเจ้ามารร้าย ผู้มีความชาญฉลาดอย่างเฉโกอยู่ เกมการต่อสู้อันน่าสนุกสนานนี้ จะต้องดำเนินต่อไป ฉันจะพยายามกำชัยชนะที่เด็ดขาดให้จงได้ แม้จะนานสักเพียงใด

เสียงเท็ป คาถาธรรม ชุดที่ ๙ ของพ่อท่าน เริ่มดังขึ้นในใจฉัน"...เวรไม่เคยระงับเพราะเวรเลย หากแต่เวรทั้งหลาย ย่อมระงับไป เพราะการไม่จองเวรต่อกัน"

แต่ก่อนแต่ไรมา ฉันมักใช้เวร เข้าแลกเปลี่ยนฟาดฟันกับเวร จนฉันเกือบจะเป็นคนวิปริต แต่คำสอนประโยคนี้ ทำไมช่างพิสดารจับใจอะไรอย่างนี้

ฉันอยากจะบอกพวกเขาทั้งหลายว่า "ขอกรรมทั้งหลายที่เราเคยล่วงเกินต่อกันและกัน จงเป็นอโหสิกรรมต่อกันด้วยเถิด ขอเธอทั้งหลาย จงเปี่ยมล้นด้วยธรรมอันเมตตา และสงสารต่อกันด้วยเถิด"

ฉันพบแล้ว ฉันพบกุญแจที่จะใช้ไขโซ่ตรวน ที่พันธนาการความเป็นนักโทษของฉันแล้ว

"ดินดง"

จบแล้ว end of column