จากโลกีย์ถึงโลกุตระ ตอน...
เมฆฟ้า สิ้นป่าโลกีย์ (มงคล ฟูวิศิษฐ์ชัยศรี)
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 232 เดือนมกราคม 2544
หน้า 1/1

ชื่อเดิม นายมงคล ฟูวิศิษฐ์ชัยศรี
ชื่อใหม่ เมฆฟ้า สิ้นป่าโลกีย์
เกิด ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๐๓
พี่น้อง ๗ คน เป็นคนที่ ๖
ภูมิลำเนา กรุงเทพมหานคร
การศึกษา ปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
สถานภาพ โสด เพราะคิดว่าอยู่คนเดียวก็ลำบากอยู่แล้ว อยู่ ๒ คน ยิ่งลำบาก ต้องมาแบกความรู้สึกเขาด้วย ทุกข์ของเราก็แบกอยู่แล้ว
อาชีพเดิม พนักงานบริษัทประกันชีวิต ๔ ปี พนักงานขายรถยนต์ ๑ ปี พ่อค้าขายปาท่องโก๋ ๓ ปี
อาชีพใหม่ นักปฏิบัติธรรม ฐานะปะ(ปฏิบัติ)

รู้จักอโศกตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เนื่องจากมีการจัดงานรามบูชาอาสาฬหะ แต่ไม่ได้สนใจอะไร และที่รามคำแหงพบคุณฟ้าดาวเป็นประจำ ไม่ใส่รองเท้าเดินถือถาดขายขนม อาหาร และแจกหนังสือสารอโศก แสงสูญ ก็มองเป็นตัวตลกไม่ศรัทธา

พอเรียนจบ ทำงานเป็นพนักงานขายประกัน ขายรถยนต์

ปี ๒๕๓๖ ไปขายปาท่องโก๋กับน้องชายที่ จ.ขอนแก่น แต่แล้วก็คิดอยากบวชวัดป่า เพื่อหาความสงบ

ปี ๒๕๓๗ ช่วงเทศกาลกินเจ คิดถึงคุณแม่ที่มักจะกินเจช่วงนี้เป็นประจำ จึงตัดสินใจกินเจตามคุณแม่ ที่ร้านอาหารในมหาวิทยาลัยขอนแก่น กินได้ไม่กี่วัน เขาก็เลิกขาย ยังเหลืออีก ๒ วัน จึงถามว่ามีร้านอาหารเจที่ไหนอีก เขาแนะนำร้านตะวันทอฟ้ามังสวิรัติ ก็ชอบใจ ที่นี่ได้กินอาหารสุขภาพ พอช่วงงานลอยกระทงก็แวะไปกินอีก และอ่านหนังสือเราคิดอะไรเป็นประจำ

ปี ๒๕๓๘ กำลังแสวงหา พอรู้ว่ามีงานปลุกเสกฯที่ จ.ศรีสะเกษ จึงลองไปดูวัดป่าที่จะบวช ฟังธรรมไปก็ตรวจสอบไปด้วย ที่เขากล่าวหาว่าพ่อท่านทำพระธรรมวินัยให้วิปริตเป็นอย่างไร นั่งฟังธรรมอยู่ข้างหลังสุด ใน ๒ วันสุดท้ายก็ขยับมานั่งหน้าสุดติดกับพ่อท่าน ประทับใจในการตอบปัญหาของพ่อท่านมาก ตั้งใจว่าชาตินี้ไม่ต้องการอะไรมาก ขอบวชกับชาวอโศกก็พอกลับจากงานปลุกเสกฯ เลิกขายปาท่องโก๋ ไปอยู่ที่โรงสีขอนแก่น ช่วยสีข้าวอยู่ ๓ ปี

ต้นปี ๒๕๔๑ ช่วยงานบริษัทพลังบุญ ต่อมาทาง ชมร.จตุจักรขาดคนช่วย จึงเปลี่ยนไปช่วยที่ ชมร.จตุจักร และเป็นอาคันตุกะจรที่สันติอโศก

ปี ๒๕๔๒ สมัครเป็นอาคันตุกะประจำ และอารามิกดูตัวตามลำดับ ๙ มกราคม ๒๕๔๔ ได้เลื่อนฐานะเป็นปะ

ข้อปฏิบัติที่ยาก การสังวรสำรวมในคำพูด ชอบพูดเล่น พูดตามใจปาก พูดไปเรื่อยๆ จึงตั้งสติเตือนตน แม้พูดดีก็ควรพูดอย่างต้องรู้กาลเทศะ

อุปสรรคในการทำงาน ไม่ค่อยมี เพราะเข้าใจคนอื่น แต่ทุกข์เพราะยังรู้สึกขยันและขวนขวายไม่มากพอ พยายามทำงานทั้งงานนอกและงานใน

คติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

เป้าหมายชีวิต ไปให้ถึงที่สุดของการหมดกิเลส

ของฝาก อยากให้ชาวอโศก มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะจริงๆแต่ละคนเป็นครูทั้งนั้น แม้เขาไม่ตั้งใจเป็นครู แต่เขาสอนเราโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ผู้นั้นจะน้อมรับฟังหรือไม่ ถ้าไม่ฟังก็ไม่ได้ประโยชน์ คือคิดว่ารู้ธรรมะแล้วก็อวดเบ่งข่มกัน เรามี ๒ หู แต่ ๑ ปาก บางคนใช้ปากมากกว่าหู จึงอยากให้พยายามน้อมรับฟังปรโตโฆษะ โยนิโสมนสิการ ฟังให้มาก ทำงานให้มาก และพูดให้น้อยลง

 

จากโลกีย์สู่โลกุตระ (สารอโศก อันดับ ๒๓๒ หน้า ๖๘ เดือน มกราคม ๒๕๔๔)