มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
ม่านมายา

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ ... เดือนเมษายน 2534
หน้า 1/1

เมื่อมายืนอยู่ริมท่าน้ำตรงจุดนี้ มองไปเบื้องหน้าคือ บันไดคอนกรีตสีขาวหม่น ซึ่งทอดตัว ลงไป ยังลำน้ำท่าจีน สายน้ำไหลเอื่อยบ่ายหน้าไปทางทิศใต้ บางตอน ของลำน้ำก็ไหลคดเคี้ยว มีแมกไม้เขียวชอุ่มพง อ้อกอแขมขึ้นหนาจนรกชัฏอยู่ทั่วไป คลื่นน้ำสะท้อนเงาไม้ไหวระริก ลึกลงไป ในผืนน้ำ ปุยเมฆขาว กับ แผ่นฟ้าคราม ปรากฏเงาสะท้อน รางเลือน สายลม ยามเย็น ได้พัดพา เอาความชุ่มชื้น จากผืนน้ำขึ้นมาสัมผัสกายเป็นระยะๆ

ณ มุมสงบแห่งนี้ ฉันยืนอยู่คนเดียว ด้วยดวงจิตที่ผ่องใสสงบเย็น เมื่อเห็นเงาแมกไม้ และ แผ่นฟ้าในลำน้ำ ทำให้นึกไปถึงคำสอน ของพ่อท่าน ที่ได้เทศน์สอนลูกๆ อโศกไว้ เมื่อประมาณสองปีก่อนว่า

"พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ทุกอย่างเหมือนพยับแดด มันไม่ใช่แก่นสารสาระอะไร แต่เรามักจะไป "หลงคว้าเอา..." (ซึ่งคือสิ่งมายา)

หลายวันก่อน หลังจากที่ฉันออกเวร และ กลับมายังแฟลตที่พักแล้ว จึงได้อาบน้ำ เปลี่ยนชุดจากเครื่องแบบสีขาวเป็นชุดลำลอง ถีบจักรยาน(คู่ชีพ) ออกจากแฟลตพยาบาล ตั้งใจว่าพอถึงถนนใหญ่ ก็จะเลี้ยวขวา เพื่อตรงดิ่งมายังท่าน้ำอันเงียบสงบ...แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ที่งดงามแห่งนี้ แต่พอถึงถนนใหญ่เข้าจริงๆ ทำไมมือที่จับแฮนด์รถ กลับเลี้ยวไปทางซ้ายก็ไม่ทราบ แถมเท้าทั้งสองก็กลับถีบจักรยานค่อนข้างเร็วเสียด้วย ถนนสายนี้จะตรงไปยังถนนนอกเมือง ฉันแปลกใจมาก บอกกับตัวเองว่า

"เอ๊ะ! เราไม่ได้จะมาทางนี้นี่นา?!"

แต่ขาทั้งสองยังคงถีบจักรยานโดยไม่หยุดยั้ง จนไกลจากตัวเมืองออกไปทุกที แปลกจัง ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ครู่ต่อมา จึงคิดว่า

"ไหนๆ ก็มาไกลขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวแวะไปเยี่ยมลำพึงเสียเลยดีกว่า"

ลำพึงเป็นญาติผู้น้อง ของฉัน เธอแต่งงานไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนโน้น เราทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ครอบครัว ของเธอร่ำรวยมาก ลำพึงมีรูปร่างงดงาม มีผิวขาวเนียน ใบหน้าที่ผ่องงามนั้นมีรอยยิ้มระบายอยู่เป็นนิตย์ เธอมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขมาตลอด ซึ่งตรงกันข้ามกับเด็กหญิงชาวบ้านธรรมดา ที่มีผิวดำเกรียม เพราะกร้านแดดอย่างฉัน ซ้ำใบหน้าที่ต่างกันไกลกับเธอนั้น ยังถูกฉาบไว้ด้วยความเงียบขรึม และ เอาจริงเอาจังเสียอีกด้วย ซึ่งมองแล้วไม่ได้มีส่วนไหนเจริญตาเลย

เมื่อเราทั้งสองจบชั้นมัธยมปลาย ฉันสอบชิงทุนรัฐบาลไปเรียนพยาบาลต่ออีก ๔ ปี ส่วนลำพึงต่อมาก็ได้แต่งงานกับนักธุรกิจ ที่มีฐานะร่ำรวย ท่ามกลางความชื่นชม ของญาติมิตร ของทั้งสองฝ่าย ต่อมาไม่นาน ก็มีบุตรด้วยกัน ๑ คน อายุคงจะอยู่ราวๆ ๕ ขวบเห็นจะได้

พอนึกมาถึงตอนนี้ ฉันก็มาถึงบ้านลำพึงพอดี ฉันเลี้ยวรถเข้าประตูรั้วบ้าน และ จอดรถไว้ที่ลานหน้าบ้าน ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง อย่างตกใจสุดขีด ของลำพึงดังอยู่บนบ้าน ฉัน จึงรีบขึ้นไปดูอย่างรวดเร็ว

ภาพที่พบอย่างกะทันหันตรงหน้า คือภาพ ของลำพึงกำลังนั่งกอดลูกชายไว้ในอ้อมกอด ร้องไห้ และ หันหน้าไปทางประตูห้องอย่างหวาดกลัว ที่นั่นสามี ของเธอยืนถือปืนจังก้าอยู่ เขาเล็งปากกระบอกปืนตรงแน่วมายังลำพึง และ ลูก!

"อะไรกันล่ะ" ฉันถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง

พอลำพึงหันมาเห็น ก็อุ้มลูกวิ่งเข้ามากอดฉันไว้แน่น เธอร้องไห้ละล่ำละลักว่า

"พี่!...ช่วยด้วย!... ช่วยห้ามเขาที เขาบอกจะยิงฉันกับลูก และ จะยิงตัวตายด้วย... พี่ห้ามเขาที!"

เธอตัวสั่นเทา จับฉันเหวี่ยงให้บังแนวกระสุนปืนไว้ ฉันหันหน้าไปประสานกับปากกระบอกปืนที่เล็งตรงมา ชะงักไปชั่วครู่กับสถานการณ์วิกฤต ที่ไม่คาดคิดว่าจะมาพบเข้าอย่างจัง ฉันเริ่มเข้าใจว่าทำไมขาเจ้ากรรมทั้งสองข้าง จึงได้เร่งปั่นจักรยานมาถึงที่นี่... ทันเวลารับโชคจากนาทีทองพอดี!

"พี่ช่วยห้ามเขาที!" เสียงนั้นเหมือนดั่งแว่วมาจากที่ซึ่งอยู่ไกลแสนไกล

ฉันจ้องผ่านปากกระบอกปืน ไปยังใบหน้าที่แดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง

เหงื่อซึมไหลเยิ้มไปทั่วใบหน้า ของน้องเขย บอกกับตนเองว่า เอาล่ะ!...เป็นไงเป็นกัน เผื่อฟลุครอด!

ฉันได้พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พูดจาหว่านล้อม มีศิลปวิทยาเท่าไหร่ ก็ขุดเอาออกมาใช้เต็มที่ นึกว่าอาจเป็นเทศนากัณฑ์สุดท้าย ของชีวิตก็ได้!

และ โดยไม่คาดคิด ครู่ต่อมา น้องเขยก็โยนปืนทิ้ง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ ลำพึงคว้าลูกแล้ววิ่งเข้าไปหยิบปืนอย่างรวดเร็ว ฉันบอกกับตัวเองทันทีว่า

"สงสัยวันนี้ เราจะได้โชคสองชั้นมั้งเนี่ย!"

แต่ก็ผิดคาด เธอวิ่งเอาปืนไปซ่อนในเรือนอย่างลุกลน เฮ้อ!...โล่งอกไปที...

ฉันทรุดตัวลงนั่งข้างๆ น้องเขย ปลอบโยนอยู่พักหนึ่ง เมื่อซักถามถึงสาเหตุก็ทราบว่า เกิดจากความหึงหวง และ ความไม่เข้าใจกัน ฉันให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกัน จากนั้น จึงได้ขอตัวกลับแฟลตพยาบาล (น้องเขยคนนี้เคารพศรัทธาในตัวฉันมาก ในเรื่องการถือศีลกินเจ ฉันบอกกับตัวเองว่า ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม (ให้รอดกลับมา) แต่อย่าให้ต้องเจอผัสสะยังงี้บ่อยนักก็แล้วกัน!)

ความรักก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นดุจภาพมายา ดุจเงา ซึ่งแท้จริงแล้ว ความรักก็คือ อารมณ์ที่เราสังขารปรุงขึ้นมาในจิต(ชั่วคราว)ตามอุปาทาน เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ และ สังขารทั้งหลายย่อมไม่เที่ยง เมื่อเหตุปัจจัยแปรไป ความรัก(ที่คนส่วนมากต่างก็นึกว่าจีรังนั้น) ก็จะแปรเปลี่ยนไปด้วย และ เมื่อนั้น ความทุกข์ที่ติดตามความรักมาดุจเงา ก็จะค่อยๆ ปรากฏตัวชัดเจนขึ้นทีละน้อย อา...ที่ใดมีรัก ที่นั้นมีทุกข์ สมจริงดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ทีเดียว

นึกถึงชีวิตโสดที่มีอิสระเสรีอย่างเต็มที่ ของตัวเอง ชีวิตที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่เต็มตัว ผ่านโลก ผ่านสังคมมามากพอสมควร จะไม่เคยพบกับความรักบ้างเลยเชียวหรือ?!

ช่วงที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ฉันเคยชื่นชมเพื่อนชายร่วมห้องเรียนคนหนึ่ง สี่ปีต่อมา เราทั้งสองต่างก็จบการศึกษา(คนละสถาบัน)ออกมาทำงาน เขา...ถูกส่งไปประจำอยู่ทางภาคเหนือ ทุกครั้งที่เขากลับบ้าน เขาจะมาหาฉันที่โรงพยาบาลเสมอ และ เป็นแขกประจำ ของแผนกสูตินรีเวชที่ฉันทำงานอยู่

"อ้าว...(เอ่ยชื่อเขา)ลงมาจากเหนือ เมื่อไหร่เนี่ย!" ฉันทักอย่างดีใจ

"มาถึงเมื่อกี้นี้... พอมาถึงก็รีบมาหาเธอที่นี่เลย" เขาตอบด้วยน้ำเสียง และ สีหน้าที่เบิกบาน

"ดีใจจังเลย... เรามีเรื่องจะเล่าให้ฟังตั้งหลายเรื่องแน่ะ!"

ทุกครั้ง เขาจะนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์พยาบาล นั่งคุยถึงเรื่องราวต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้พบมา และ นั่งมองฉันทำงานง่วนอยู่กับการช่วยเหลือคนไข้ในแผนก บางทีเขาก็พูดขึ้นว่า

"ในชีวิตเราไม่เคยรอผู้หญิงคนไหนนานขนาดนี้เลยนะเนี่ย"

"อ้าว!...ก็ตอนนี้เรายังไม่ว่างนี่ งานยังไม่เสร็จเลย เห็นหรือเปล่า" ฉันตอบซื่อๆ

บางทีเขาก็พูดขึ้นลอยๆ อีกว่า

"ผู้หญิงที่อายุ ๒๕ ปีขึ้นไปนี่ เริ่มแก่แล้วนะ ควรจะแต่งงานได้แล้ว"

"อย่ามาแซวเราเลย... เธอเองก็แก่ขึ้นนะ" ฉันแซวตอบบ้าง

"จริงด้วย เราว่าเราแก่แล้ว ควรจะแต่งงานได้แล้วเหมือนกัน" เขาว่า

"เราอยากจะรู้นักว่า ผู้หญิงคนไหนนะที่จะหลับหูหลับตา แต่งงานกับเธอน่ะ!" ฉันพูดแซวอย่างขันๆ

เขาก้มหน้ายิ้มขรึมๆ เงียบไปพักใหญ่ แล้ว จึงพูดขึ้นอย่างเป็นงานเป็นการว่า "ถ้าเราจะมาขอเธอแต่งงาน เธอจะว่ายังไง?!"

"หา...เธอว่าอะไรนะ!...พูดเป็นเล่นไปน่า"

"เราพูดจริงๆ นะ!" เขายืนยันอย่างมั่นคง ฉันตะลึงไปชั่วครู่ อา...สุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันขณะนี้ เธอมีผิวพรรณหมดจดขาวเนียน ใบหน้าคมสัน ร่างงามสง่า สมชายชาตรี นิสัยใจเย็นสุภาพ มีน้ำใจงดงาม เสมอต้นเสมอปลาย ฐานะดี การศึกษา และ เกียรติยศมีพร้อมสรรพทีเดียว

ชีวิตที่ได้มาปฏิบัติธรรม ของพระพุทธองค์ ทำให้ฉันได้พิจารณาถึงประโยชน์ และ ผลดี ของชีวิตพรหมจรรย์ และ พิจารณาโทษภัย ของชีวิตคู่ ที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยความรัก ความผูกพัน กอปรกับความเห็นทุกข์อย่างชัดเจน ในการเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งทุกข์อันคือ สังสารวัฏฏ์นี้ ทำให้อารมณ์ที่ฉันเคยสังขารไว้ในจิต แปรเปลี่ยนไป จากความชื่นชมความผูกพัน มาเป็นความปรารถนาดี อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่อยากเห็นใครต้องเนิ่นช้าต่อนิพพาน (คือความสิ้นทุกข์) เพราะฉัน นอกจากนี้ฉันยังได้ทำงาน ดูแลคนไข้ ได้ปลงอสุภะในตัวเอง และ ผู้อื่นอยู่เสมอๆ สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยให้ฉันตระหนักว่า เออหนอ... ร่างกาย ของเรานี้ไม่มีอะไรดีเลย

บางทีก็คิดเล่นๆ ว่า นี่ถ้าธรรมชาติสร้างให้มนุษย์เรามีร่างกายที่โปร่งใสเหมือนแก้ว สามารถมองเข้าไปเห็นตับไตไส้พุงอาหารใหม่อาหารเก่าภายในท้อง และ จมูกก็สามารถได้กลิ่นคาว ของน้ำเลือดน้ำเหลือง อุจจาระปัสสาวะภายในตัว ของกัน และ กันได้แล้วละก็ คงมีคนอยู่เป็นโสดเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย

ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่กำลังทำความสะอาดร่างกาย และ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนไข้หลังผ่าตัดอยู่นั้น กลิ่นเหม็น ของน้ำคาวปลา กลิ่นคาว ของน้ำนม ของมารดาหลังคลอด ได้สร้างความสงสัยขึ้นในใจ ของฉันอย่างมากมาย พอได้ระยะว่าง ฉัน จึงนั่งพักเหนื่อยที่เคาน์เตอร์พยาบาล แล้วซักถามพี่ผู้ช่วยพยาบาลสองคน ที่ขึ้นเวรด้วยกัน พี่ทั้งสองแต่งงาน และ มีบุตรแล้ว และ สนิทสนมกับฉันมาก

"พี่คะ ของที่ออกมาจากตัวเรานี่ ไม่มีอะไรดีเลยนะคะ หนูมาคิดๆ ดูมีแต่ ของเหม็นๆ ทั้งนั้นเลย"

"อ้าว ก็นี่มันเป็นธรรมดา ของโลกน่ะ อ้อ" พี่ที่เป็นภรรยา ของครูตอบอย่างคารมนักปรัชญา

"พี่คะ... แล้วก็ในเมื่อเรารู้ยังงี้ คนเราเขาแต่งงานกันได้ยังไงคะ... เขาไม่รู้หรือว่า แฟนเขาน่ะ ก็มี ของเสียอยู่ในตัวเหมือนกัน"

ฉันซักต่ออย่างสงสัยจริงๆ

"เอ๊ะ! ก็ตอนนั้นไม่ได้คิดว่า กำลังกอด"กองขี้"อยู่นี่หว่า!" พี่ที่เป็นภรรยา ของนายตำรวจ ชักเสียงขุ่นๆ

"อ้าว!... นั่นแหละพี่... ของจริงละค่ะ... ถึงเราจะคิดหรือไม่คิด ของเสียมันก็อยู่ในตัว ของเขาอยู่แล้ว... เดี๋ยวเขาก็ต้องไปเอาออก มันหนีความจริงไปไม่พ้นหรอกค่ะ" ฉันคาดคั้นยังไม่หายสงสัย

"เอ๊ะ! ไอ้อ้อนี่ ยังไง!.. ฉันก็ต้องเลือกไอ้คนที่มันขี้ได้เยี่ยวได้ซีวะ! ขืนให้ฉันไปเลือกเอาไอ้คนที่ขี้ไม่ออก เยี่ยวไม่ออก เดี๋ยวก็ต้องพามาโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ! ถามอยู่ได้! พิลึกคนจริงไอ้นี่!"

ฉันหัวเราะอย่างขบขัน... เออ... มันก็จริง ของพี่เขาแฮะ!

หลายครั้งในชีวิต ที่คนเราทำอะไรลงไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอีก

ชีวิตคู่ ของคนบางคนอาจมองข้ามสิ่งปฏิกูลต่างๆ ในร่างกาย ไปชื่นชมในความเข้มแข็ง ความเก่งกาจ ความอ่อนหวาน หรือความมีคุณธรรม ของอีกฝ่ายหนึ่ง ตามอุปาทาน ของตน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ บางทีตนเองอาจจะยังพร่องอยู่ แต่แทนที่จะสร้าง จะฝึกฝน เอาสิ่งที่ดีงามทั้งหลายนั้น ให้เกิดมีขึ้นในตนเอง กลับไปหลงใหลใฝ่ปอง ยึดมั่นในตัวบุคคล และ ดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อจะเอามาไว้ใกล้ๆ ตัว หรืออยากได้มาไว้ในครอบครอง

หากพลาดหวัง ก็จะทุกข์ทรมาน เพราะความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ซึ่งบางครั้งก็ถึงกับเป็นเหตุให้สูญเสียชีวิตเลยก็มี

ถ้าสมหวังล่ะ? ก็ต้องฆ่ากันด้วยความหวานชื่น เบียดเบียนกันด้วยความรัก และ ความผูกพันเกาะเกี่ยวไว้ ให้วนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์ อันมีน้ำตาแห่งความเจ็บปวด เป็นระลอกคลื่นนี้ ไปอีกตราบนานเท่านาน

กลุ่มเมฆขาวฟ่องอยู่เบื้องบน กำลังแปรรูปไป เพราะแรงลมบน แยกฟ้าตรงหน้าจนเหลือแต่แผ่นฟ้าแผ้วสีครามใส อากาศเริ่มเย็นลง ดวงอาทิตย์ลับทิวแมกไม้ไปแล้ว ทุกอย่างไม่จีรัง ล้วนต้องแปรไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

"ธรรมชาติ ไม่เที่ยง เป็นสมมุติสัจจะ คือสังสารวัฏฏ์ ธรรมะที่เที่ยง เป็นปรมัตถสัจจะ คือตัดสังสารวัฏ"

คงต้องมีสักชาติหนึ่ง ตราบที่อิทธิบาท ๔ แห่งการล้างอวิชชายังคงดำเนินไป เราคงจะได้มีจิตวิญญาณที่พ้นจาก "ม่านมายา" และ ใสสะอาดดุจแผ่นฟ้าแผ้ว ตรงหน้านี้อย่างแน่นอน

"เพื่อนรัก... คงมีสักวันที่เธอจะเข้าใจถึงหัวใจ ของฉันว่า ที่ฉันปฏิเสธการแต่งงาน แม้จะทราบอยู่แล้วว่าเธอจะต้องเสียใจ และ ผิดหวังนั้น ฉันทำก็ เพราะหวังดีต่อเธอจริงๆ ... คงจะต้องมีสักวัน... ที่เธอจะต้องรู้ซึ้งว่าการตัดสินใจ ของฉันในครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยเธอ และ เพื่ออิสรภาพ ของเราทั้งสองจริงๆ !"

"ลูกไกลพ่อ"
๑๔ กันยายน ๒๕๓๓ ; ๑:๒๐ น.

 
 

(จาก สารอโศก อันดับ …..ปีที่๑๑(๑๔) ฉบับที่ ๙–๑๐ เม.ย. – พ.ค. ๒๕๓๔)