มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
บทเรียนแห่งการพลัดพราก

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ ... เดือนพฤษภาคม 2534
หน้า 1/1

ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกบัดนี้ ปรากฏรัศมีสีแดงเรืองโรจน์ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ความมืด และ ความเยือกเย็น ในเวลา โพล้เพล้ ใกล้ค่ำ กำลังคืบคลานเข้ามาแผ่ปกคลุมทุ่งกว้าง ที่เวิ้งว้าง ไพศาล นี้ทุกขณะ

รถพยาบาลสีขาว แล่นอยู่บนถนนซึ่งตัดทุ่งกว้าง บ่ายหน้าไปทางทิศใต้ มุ่งเข้ากรุงเทพฯ ด้วยความเร็ว ดวงไฟสีน้ำเงินกะพริบอยู่ตลอดเวลาบนหลังคารถ ข้างในรถ คนไข้ชายวัย ๑๘ ปี นอนแน่นิ่งอยู่ เขาหยุดหายใจ มาตั้งแต่ค่ำวานนี้ !

ตามประวัติที่ถามจากญาติ และผู้พบเห็นเหตุการณ์ ชายผู้เป็นคนไข้รายนี้ บึ่งรถมอเตอร์ไซค์ ด้วยความเร็วสูง ชนเข้ากับรถจักรยานที่ถีบสวนทางมา รถมอเตอร์ไซค์เสียหลักพลิกคว่ำกลางถนน ชายคนขับกระเด็นตกมาจากตัวถังรถ ศ๊รษะกระแทกพื้นคอนกรีต ตำรวจทางหลวงมาพบ จึงได้นำเขาส่งโรงยาบาล เมื่อมาถึงห้องฉุกเฉิน เราก็พบว่า เขาหยุดหายใจเสียแล้ว !

แพทย์เวรกับพยาบาล จึงรีบช่วยฟื้นชีพ (Resuscitation) แล้วนำคนไข้เข้าห้อง ไอซียู (แผนกผู้ป่วยหนัก) เพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ (Respiraton) โดยเร็ว เมื่อตรวจดูตามร่างกายทั่วไปก็พบแผลที่ แขน ขา อยู่ ๓-๔ แห่ง บาดแผลไม่ฉกรรจ์นัก

ต่อมามารดาคนไข้ ต้องการจะนำคนไข้ ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้ฉันกับน้องพยาบาลอีกคนหนึ่ง จึงต้องมากับคนไข้ด้วย เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น ในระหว่างการเดินทาง

เราต้องผลัดกันบีบ Ambu bag (ถุงช่วยหายใจ) ให้กับคนไข้มาตลอดเวลา ฉันตรวจเช็คดูสัญญาณชีพเป็นระยะ ขณะนี้ความดันโลหิต ๑๒๐/๘๐ มม. ปรอท ยังปกติ ชีพจร ๙๖ ครั้งต่อนาที ไข้ขึ้นสูง ๓๙.๕ C ม่านตาทั้งสองยังตอบสนองต่อแสงไฟฉายเป็นอย่างดี

มารดาของคนไข้ นั่งอยู่ทางปลายเท้า หญิงวัยกลางคนนี้ร่ำไห้พร่ำพรรณนาไม่หยุดหย่อน ราวกับจะขาดใจ

"พ่อคุณเอ๊ย...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะลูก ยังไม่ได้บวชให้แม่เลย..."

บางครั้ง ป้าผู้เป็นมารดาคนไข้ ก็จะก้มลงกอดขาทั้งสองของบุตรชายสุดที่รักไว้ แล้วซบหน้าลงไป พลางสะอื้นไห้อย่างลืมตัว

"หมอ! ...ช่วยลูกฉันด้วยเถอะ! ...นึกว่าเอาบุญเถอะนะแม่คุณ"

ฉันมองภาพตรงหน้าอย่างสลดสังเวชใจ รำลึกถึงพระพุทธดำรัสคราวที่ตรัสปลอบโยนนางปฏาจรา ผู้กำลังเศร้าโศก เพราะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของนาง คือ บุตร สามี และบิดามารดา ซึ่งได้ตายจากไป ว่า

"ปฏาจราเอย

ขึ้นชื่อว่า ผู้เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พึ่งได้

เป็นผู้กีดกั้นเธอ ที่จะไปสู่ปรโลก (นิพพาน) "

ฉันยิ้มอย่างปลอบโยน และพูดให้กำลังใจว่า

"ป้าไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พยาบาลจะช่วยคนไข้อย่างเต็มที่ จะดูแลให้ดีที่สุดเลย"

"ลูกฉันจะรอดมั้ยเนี่ย หมอ"

"ตอนนี้ อาการทั่วไปก็ยังดีอยู่ เพียงแต่สมองส่วนที่ควบคุมการหายใจ ได้รับการกระทบกระเทือน คนไข้จึงยังหายใจเองไม่ได้"

"หมดเท่าไหร่ไม่ว่า หมอ ขอให้ลูกฉันหายก็แล้วกัน ช่วยทีเถอะ" เสียงป้าสั่นเครือน้ำตาเริ่มรินไหลออกมาอีก

สองชั่วโมงต่อมา จึงมองเห็นโรงพยาบาลที่จะนำคนไข้มารักษาต่อ ตัวอาคารใหญ่ตั้งอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม ห่างจากรถพยาบาลประมาณ ๒๐๐ เมตร เท่านั้น

รถของเราเปิดไฟสีน้ำเงินแว็บ ! แว็บ ! ขอทางอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ดูจะไม่มีประโยชน์เสียเลย เพราะสภาพการจราจรในกรุงเทพฯขณะนั้นรถติดเป็นแพไปหมด

ความดันโลหิตของคนไข้ขณะนี้วัดได้ ๑๔๐/๗๐ มม.ปรอท ม่านตาเริ่มตอบสนองต่อแสงช้าลงกว่าเดิม ออกซิเจนในแท็งก์ที่ต่อสายมาให้คนไข้ไว้ กำลังจะหมด!

ฉันจำเป็นต้องดูดเสมหะ ที่มาอุดตันอยู่ในหลอดลมของคนไข้ออกเป็นระยะๆ ด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ (Suction)

มารดาของคนไข้ สบถขึ้นมาอย่างเหลืออด "นี่มันจะไปไหนกันนะ รถเยอะแยะยังงี้ ติดเป็นพืดไปหมด ไม่รู้จักหลับจักนอนกันบ้าง!"

เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง รถพยาบาลจึงสามารถแล่นแหวกคลื่นรถบนถนน มายังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเป้าหมายได้ ออกซิเจนในแท็งก์หมดพอดี ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก !

ขณะที่นั่งรถกลับ ภาพแห่งความปวดร้าวทุกข์ทรมานของมารดาคนไข้ ยังติดตามมาในความทรงจำของฉันอย่างแจ่มชัด

อา...ใช่สิ ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นทุกข์

และ...ไม่มีอะไรในโลก ที่จะไม่พลัดพรากจากกัน !

โชคดีเหลือเกิน ที่ชีวิตของเราได้มาพบทางสว่างแห่งแสงธรรม และได้พยายามปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ด้วยการไม่สร้างสิ่งอันเป็นที่รักเพิ่มขึ้นมาอีก และที่มีอยู่แล้วก็พยายามสลัดออก สละออกไปเรื่อย ดังนั้นโอกาสที่จะต้องทุกข์ทรมาน เพราะพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก จึงมีน้อยลงไปเรื่อยๆ

เมื่อกลับมาถึงโรงพยาบาล ก็ปรากฏว่า คนไข้อีกคนกำลังรออยู่ และต้องการไปรักษาต่อที่กรุงเทพฯ (อาการเมารถของฉันยังไม่ทันหายดีเลย แต่ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะอยู่เวรส่งผู้ป่วย)

คนไข้นี้เป็นนักร้องสาวสวยวัย ๒๖ ปี เธอร้องเพลงอยู่ที่ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ครั้งนี้เธอกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ขณะที่นั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปหาเพื่อน รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำ เธอกระเด็นจากเบาะข้างท้าย เอาใบหน้าไถพรืดลงไปกับพื้นถนนลูกรัง! เมื่อแรกรับไว้ที่ห้องฉุกเฉิน ใบหน้าเต็มไปด้วยแผล เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดผสมผงดินและกรวดทราย แพทย์และพยาบาลช่วยกันล้างและทำความสะอาดอยู่นาน แผลบนใบหน้าของเธอมีมากมาย แพทย์เย็บไว้สองร้อยกว่าเข็ม แล้วใช้ผ้าก๊อสปิดไว้อย่างหนา ฉันอดประหลาดใจไม่ได้ว่า นี่เธอหายใจได้ยังไงกันนะ ปิดหน้าไว้หมดอย่างนี้

ขณะนี้ยังมีเลือดสีแดงสด ไหลซึมผ่านผ้าก๊อสออกมาทางแก้มขวาอยู่เรื่อยๆ จากผลเอกซเรย์ ปรากฏว่า กะโหลกศีรษะไม่ร้าวเลย คนไข้รู้สึกตัวดีและบ่นปวดแผลที่ใบหน้ามาก ฉันจึงฉีดยาระงับปวดให้หนึ่งเข็ม สักครู่อาการปวดแผลจึงทุเลาลง

มารดาของคนไข้ เล่าให้ฟัง ในระหว่างการเดินทาง เข้ากรุงเทพฯ ว่า คนไข้ มีหน้าตา และ ผิวพรรณ ที่งดงามมาก เธอรักความสวยงามถนอมรักษาผิวพรรณและใบหน้าของเธออย่างประณีตตลอดมา หากว่าจะมีสิวเกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอเพียงเม็ดเดียว เธอจะทุกข์ใจมาก และรีบหายา หาครีมอย่างดีมาพอกทารักษาโดยเร็ว และเธอไม่คาดฝันว่า ใบหน้าที่ถนอมรักษามานาน บัดนี้เต็มไปด้วยแผล ที่แพทย์เย็บเอาไว้ถึง สองร้อยกว่าเข็ม!

เธอและญาติ ต้องการจะมาทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าใหม่ ซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรองได้ว่า หลังจากทำผ่าตัดแล้ว ใบหน้าของเธอจะคืนสู่สภาพเดิมหรือไม่

ละครชีวิตก็ผ่านไปอีกฉากหนึ่ง เสมือนจะตอกเตือนย้ำไปบนหัวใจฉันว่า

"เมื่อรักสิ่งใดมาก ก็ย่อมจะต้องทุกข์มาก เมื่อสิ่งที่รักนั้น แปรเปลี่ยนไป"

ในโลกนี้...คงจะมีคนอีกไม่น้อย ที่ประสบทุกข์ อันเนื่องมาจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก แต่จะมีสักกี่คนที่เข็ดหลาบ ในความทุกข์ทรมานนั้น พร้อมกับเริ่มสาวหาเหตุแห่งทุกข์ หาทางดับทุกข์ และฝึกปฏิบัติตนเพื่อให้ดับทุกข์นั้นได้อย่างสนิท

เมื่อรถพยาบาลกลับมาจากกรุงเทพฯ และฉันออกเวรส่งคนไข้แล้ว จึงกลับมาพักผ่อนยังแฟลตพยาบาล

พายุฝนเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และพัดกรรโชกเข้ามาในห้องพัก ทิวสน ที่หน้าตัวตึก เอนลู่และ โบกกระหวัด ตามแรงลม ก้อนเมฆ ดำมหึมา ลอยต่ำลิ่วๆ ลงมาอย่างน่ากลัว ฟ้าแลบ แปลบปลาบ ผสานฟ้าร้อง คำรามลั่นร้อง พายุฝนโหมกระหน่ำอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ฝนจึงขาดเม็ด สายลมพัดมาอ่อนๆ แต่ท้องฟ้ายังฉ่ำ เสียงฟ้าร้องยังคร่ำครวญครืนๆ อยู่เป็นระยะๆ

อา...ธรรมชาติเหล่านี้แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดุจภาพมายา ไม่มีอะไรคงที่ ไม่มีอะไรยั่งยืนสักสิ่งสักอัน ทุกอย่างล้วนแปรไปตามเหตุปัจจัย ตามกฎไตรลักษณ์ ครอบครองโลกอยู่ทั้งสิ้น

สิ่งอันเป็นที่รักในวันนี้ ใครจะรู้ว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าจะนำความเสียใจมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ

ทรัพย์สมบัติ ลาภยศต่างๆซึ่งเป็นของอยู่คู่โลก ที่มนุษย์ได้พยายามแย่งชิง กอบโกย เอามาเป็นของตน และยึดถืออย่างหวงแหน สักวัน...มันอาจต้องจากเราไป

คนที่รักเอ็นดูเราในวันนี้ วันข้างหน้าเขาอาจเกลียดเราก็ได้ (เพราะเหตุปัจจัยเปลี่ยนไป)

หากรู้ความจริง ตามความเป็นจริง เช่นนี้แล้ว

แล้วยังมัวไปหลงสร้างสิ่งหรือบุคคลอันเป็นที่รัก ขึ้นมาผูกพันหวงเแหนอีก คราวที่ต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน ยามสิ่งอันเป็นที่รักพลัดพราก...แปรเปลี่ยนไป ทีนี้จะโทษใครกันเล่า !

๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ; ๑๕.๑๗ น.

 
 

(จาก สารอโศก อันดับ …..พฤษภาคม พ.ค. ๒๕๓๔