มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
ปลุกเสกตนให้พ้นโศก

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 134 เดือนกุมภาพันธ์ 2532
หน้า 1/1

ก่อนจะไปงานปลุกเสกฯในปีนี้ ฉันอยู่เวรบ่ายต่อเวรดึก ที่แผนกหลังคลอดและนรีเวช เช้าวันนั้นอากาศค่อนข้างเย็น หมอกลงจัด ฉันทราบข่าวว่า ที่ห้องอุบัติเหตุ ได้รับคนไข้ที่บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ทราบภายหลังว่า รถโดยสารเที่ยวเช้าจะเข้ากรุงเทพฯ คนขับ ขับรถด้วยความเร็วสูง และเนื่องจากหมอกลงจัด จึงชนเข้ากับรถบรรทุกน้ำมันอย่างจัง เป็นเหตุให้ผู้โดยสารเสียชีวิตทันที ๗ คน นอกนั้นบาดเจ็บสาหัสกันระนาว

เมื่อไปถึงห้องอุบัติเหตุ มีเพียงพยาบาล ๑ คน กับผู้ช่วยอีก ๒ คนเท่านั้น กำลังวิ่งวุ่น เย็บแผล ทำแผลและให้น้ำเกลืออยู่ ฉันจึงโทร.ตามเพื่อนๆ พยายาลมาช่วยอีก และตรงเข้าช่วยเหลือทันที

ห้องอุบัติเหตุขณะนี้ แดงฉานและคาวคลุ้งไปด้วยเลือด เหล่าคนไข้ที่บาดเจ็บสาหัสนอนเรียงกันเป็นตับ บ้างก็นั่งอยู่ตามเก้าอี้ (เพราะเตียงและรถนอนไม่มีพอที่จะรับ)

ขณะที่สาละวนช่วยเหลือคนไข้อยู่นั้น ฉันไม่ได้สนใจว่า ชุดขาวจะเปื้อนเลือดแค่ไหน คิดแต่ว่าจะทำอย่างไร จะช่วยชีวิตพวกเขาเหล่านั้นให้เร็วที่สุด บางคนต้องรีบผ่าตัดด่วน บางคนต้องรีบเย็บแผลเพื่อหยุดเลือด และ… บางคนกำลังจะหยุดหายใจ !

จากบาดแผลที่เหวอะหวะน่ากลัว เลือดสีแดงฉาน และเสียงร้องโหยหวน ที่แสดงความเจ็บปวดทรมาน ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตรงหน้า ทำให้มือที่ใส่ถุงมือของฉันสั่นระริก ขณะเตรียมคนไข้ส่งผ่าตัด หัวใจก็พลอยสั่นไปด้วย ฉันพยายามใช้เจโตสมถะ เพื่อสำรวมจิตให้สงบทันที พร้อมๆกับเร่งรีบช่วยเหลือเหล่าผู้บาดเจ็บ โดยไม่หยุดยั้ง

หายใจเข้าออกยาวๆ สำรวมจิตให้สงบ ขณะล้างดินทรายออกจากบาดแผลฉกรรจ์ ของคนไข้รายหนึ่ง

ผู้หญิงคนหนึ่ง นอนแน่นิ่งร่างขาวซีด ริมฝีปากขาวซีด อย่างน่าสงสาร เลือดออกมาเกรอะกรังทั่วตัว ฉันรีบให้น้ำเกลือฉุกเฉินทันที ขณะนี้จิตสงบขึ้นมาก

ข้างๆฉัน เพื่อนพยาบาลอีกคน กำลังช่วยแพทย์ใส่ท่อหายใจ ให้กับคนไข้อาการหนักรายหนึ่งอยู่ ฉันจึงตรงเข้าไปช่วยคนไข้อีกราย ที่กระดูกขาขวาแหลกละเอียด และมีแผลน่ากลัวอยู่เต็มตัว เลือดไหลรินๆ ไม่หยุด

ชายอีกคนนั่งอยู่ริมประตู มีแผลที่ศีรษะ ๔ แห่งและที่ท้องด้วย เลือดเข้มข้นไหลย้อยเกรอะกรัง ลงไปที่ใบหูทั้งสองข้าง (มองดูคล้ายๆหินงอกกับหินย้อยในถ้ำ) จนเสื้อขาวที่ใส่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานชุ่มโชกไปหมด ฉันคิดในใจว่า นี่เขารอดชีวิตมาได้อย่างไรกัน!

“หมอครับ ผมตาลายไปหมดแล้ว” ร่างนั้นพูดขึ้นมาเบาๆ ฉันให้เขานอนลง ให้ดมแอมโมเนียและให้น้ำเกลือฉุกเฉินทันที ขณะนั้น ปากก็พูดให้กำลังใจคนไข้ทุกคนไปด้วย เพราะเวลานี้นอกจากการช่วยชีวิตแล้ว กำลังใจก็ดูจะเป็นยาที่สำคัญที่สุดด้วยเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรนะคะ พอเย็บแผลนี้เสร็จ เลือดก็จะหยุดค่ะ”

“หนูไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะให้น้ำเกลืออย่างดีแทนเลือดไปก่อน หมอก็กำลังช่วยหนูเต็มที่อยู่แล้ว”

“คุณคะ คงต้องผ่าตัดและให้เลือดด้วย มีญาติมาด้วยหรือเปล่าคะ”

“ไม่มีครับ” เสียงตอบเบาๆ จากชายวัยฉกรรจ์ที่กระดูกขาขวาแหลกละเอียด และมีบาดแผลเต็มตัว ดวงตายังคงปิดสนิท แต่กรามขบแน่นเป็นสันนูน ด้วยความเจ็บปวด

“รู้มั๊ยว่า เลือดกรู๊ปอะไร” ฉันถามขณะให้น้ำเกลือที่แขนซ้าย ซึ่งเกรอะกรังด้วยเลือด

“กรุ๊ปเอ ครับ”

“งั้นเดี๋ยวเอาที่นี่ เรากรู๊ปเอเหมือนกัน”

ตาคู่นั้นปรือขึ้นมองหน้านิดหนึ่ง แล้วปิดลงอีกเช่นเดิม

สายวันนั้น พวกเราได้ช่วยกันทยอยส่งคนไข้เข้าห้องไอ.ซี.ยู เข้าห้องผ่าตัด ไปแผนกศัลยกรรมชายและหญิง ฉันจึงไปช่วยที่แผนกศัลยกรรมหญิงต่ออยู่พักใหญ่ จนงานเริ่มเข้าที่ จึงไปบริจาคเลือดที่ธนาคารเลือด แม้เลือดจะลอย เพราะอดนอนและอ่อนเพลีย แต่เลือดกำลังขาดแคลน และต้องการใช้ด่วน หากการช่วยชีวิตคนไข้เหล่านั้น แลกกับผลเสียที่ร่างกาย จะได้รับในการบริจาคเลือดครั้งนี้ ฉันต้องเลือกเอาอย่างแรกทันที

แต่ละครั้งที่ผ่านมาให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน หากแต่ครั้งนี้ ขณะนอนมองเลือดที่ไหลรินๆ ออกไปจากร่างกาย ก็คิดว่า เลือดนี้ก็สร้างมาโดยอาหารของโลกนั่นแหละ และขณะนี้ เราก็กำลังทยอยคืนให้โลกไป ก่อนถึงวันที่จะต้องคืนร่างทั้งร่างนี้ ไว้ให้กับโลกเท่านั้น

ตลอดวันนั้น โรงพยาบาลพลุกพล่านด้วยผู้คนมีทั้งนักข่าว ช่างภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และญาติคนไข้และบางคนก็มารับศพ!

เสียงหวีดร้องที่ห้องเก็บศพ จากญาติคนไข้ที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆนั้น บาดลึกเข้าไปในใจของฉัน และเมื่อนึกถึงเหล่าคนไข้ ที่ทุกข์ทรมานอย่างสาหัสที่ได้ประสบมา ใจของฉันหม่นหมองหดหู่ลงทันทีพยายามหาพระพุทธพจน์ หรือหัวข้อธรรมะ เพื่อสลัดความโศกสลดออกไป แต่ก็ไม่สำเร็จ

“ทำไมถึงประมาทกันอย่างนี้ ดูซิ… หลายต่อหลายคน ต้องจบชีวิตลง หลายคนต้องพิการบาดเจ็บ หลายคนต้องโศกเศร้า เดือดร้อน เพราะความประมาทของคนคนเดียวแท้ๆ…”

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ฉันทราบถึงธาตุแท้แห่งจิตตนว่า ยังไม่เก่งในเรื่องการสลัดทุกข์ออกไปจากจิต (แต่เก่งที่จะสร้างทุกข์ขึ้นมาทับถมตน!)

ในงานปลุกเสกฯครั้งที่ ๑๓ นี้ พ่อท่านและเหล่าพระเกจิฯ ได้เทศนาย้ำเน้นถึงเรื่อง สัจจะแห่งกรรม สัมมาทิฐิ ๑๐ และศรัทธา ๔ คือ เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อผลของกรรม (ผลกรรมทุกอย่างย่อมมาแต่เหตุ) เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของๆตน และเชื่อในพระพุทธเจ้า (ว่าทรงมีพุทธคุณ ๙ จริง โดยตรัสพระธรรมไว้ดีแล้ว หากสัตว์เหล่าใดพากเพียรกระทำตาม ก็จะได้บรรลุธรรมอย่างแน่นอน)

ค่ำวันมาฆบูชา ‘๓๒ นี้ มีจันทรคราส (กบกินเดือน) พ่อท่านเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ศรัทธา ๔ และสัมมาทิฐิ ๑๐ และยังฝากลูกๆ ให้ช่วยกันสืบทอดงานศาสนาอีกด้วย

เมื่อเสร็จรายการแล้ว พ่อท่าน พระคุณเจ้าบางรูป และพวกเราบางกลุ่ม ยังคงนั่งเจโตสมถะ ท่ามกลางแสงจันทร์ (ฉันอยากจะดูกบกินเดือนด้วย!) ดวงจิตของ

ฉันขณะนั้น สว่างใส สงบเย็น เหมือนความสว่างเย็นแห่งแสงจันทร์ เหมือนห้วงน้ำใสที่สงบนิ่ง

…ต่อให้ต้องสูญเสียของนอกกายไปจนหมดสิ้น

ฉันก็จะตั้งมั่นในศีล ในพรหมจรรย์ และในงานสืบทอดพระศาสนา อยู่อย่างนี้

ต่อให้ต้องสูญเสียอวัยวะใหญ่น้อยต่างๆ

ฉันก็จะตั้งมั่นในศีลในพรหมจรรย์ และในงานสืบทอดพระศาสนา อยู่อย่างนี้

ต่อให้ต้องสูญเสียชีวิต

ฉันก็จะตั้งมั่นในศีลในพรหมจรรย์ และในงานสืบทอดพระศาสนา อยู่อย่างนี้…

ฉันนึกถึงถ้อยคำเหล่านี้ และมั่นใจว่า ลูกๆอโศกจำนวนไม่น้อยเลย ที่มีความรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน

กลับจากงานปลุกเสกฯครั้งนี้ จิตใจหนักแน่นมั่นคงต่อการสำรวมระวังกรรม ๓ ให้สุจริตมากยิ่งขึ้น มีสติอยู่กับปัจจุบัน และมีธัมวิจัยแววไวรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม

น่าประหลาดที่ทุกครั้งของงานปลุกเสกฯครั้งก่อนๆ ฉันจะเกิดความปีติอยู่พักใหญ่ แล้วค่อยๆลดลงเหมือนไฟไหม้ฟาง แต่ครั้งนี้สภาวจิต ไม่หวือหวาอย่างนั้น แต่หนักแน่นมั่นคงสม่ำเสมอเหมือนไฟสุมขอน

กลับมาทำงานที่แผนกหลังคลอดและนรีเวช คนไข้รายหนึ่งเป็นมะเร็งที่มดลูก เม็ดของเซลล์มะเร็งได้แพร่ไปที่ปอดอย่างน่ากลัว คนไข้ต้องการเลือดเพราะซีดมาก แต่ที่ธนาคารเลือด ไม่มีเลือดกรู๊ปบีเลยแม้แต่ขวดเดียว! ยายแก่ๆ ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆคร่ำคร่า ซึ่งเป็นมารดาของคนไข้ เดินงกๆจากไป เพื่อหาซื้อเลือด ตามหมู่พวกถีบสามล้อ หรือคนจนๆที่ต้องการขายเลือด เพื่อเอาเงินมายังชีพและครอบครัวของตน ฉันมองตามภาพนั้นไปด้วยดวงจิตที่สงบเย็น

ฉันช่วยได้เพียงให้กำลังใจ ให้รอยยิ้ม ที่ปลอบประโลม และให้ยาเท่านั้นเอง อา…สัตวโลก ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนได้สั่งสมมาแล้วทั้งสิ้น !

คนไข้อีกคน เป็นมะเร็งที่ปากมดลูกระยะลุกลาม

อีกคนก็กำลังปวดแผลผ่าตัดคลอดบุตร ฉันก็ได้แต่บรรเทาทุกข์ด้วยยา และคำพูดที่ให้กำลังใจแก่คนไข้และญาติทุกๆคนอยู่เสมอ

จนถูกญาติคนไข้ล้อว่า

“ดุคนไข้มั่งซิหมอ…หือ…หมอดุเป็นมั้ย ?” แล้วก็หัวเราะกัน

ฉันได้แต่ยิ้มๆ นึกในใจว่า “ลำพังความทุกข์ทรมาน ที่พวกเขากำลังได้รับกันอยู่ อันเนื่องมาแต่วิบากกรรม ของแต่ละคนนี้ ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปเติมความทุกข์ให้พวกเขาอีก แม้ด้วยวจีกรรมก็ตาม”

ฉันได้ซาบซึ้ง ในพระพุทธดำรัสที่ว่า

“ชนบางพวก ประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ ชนเหล่านั้น ชื่อว่าไม่รักตน เขาย่อมทำความเสียหายให้แก่ตน ด้วยตนเองได้ โดยประการนั้น”

อา… จิตที่มีธรรมะคุ้มครองแล้ว นำสุขมาให้ทั้งแก่ตน และแก่ผู้อื่นอย่างนี้จริงๆ

ด้วยดวงจิตที่พ้นจากความโศกมาได้ ทำให้สำนึกในพระคุณของพระศาสนา และหมู่มิตรดีสหายดีอยู่ อย่างซาบซึ้งยิ่ง ฉันบอกกับตนเองเสมอว่า

“ต่อให้ต้องสูญเสียชีวิตทั้งชีวิตไป ฉันก็จะยินดีในการปรับปรุงกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นไปอยู่อย่างนี้… จะมั่นคงในศ๊ลในพรหมจรรย์ และในงานสืบทอดพระศาสนาอยู่อย่างนี้”

๑ มีนาคม ๒๕๓๒ : ๒๔.๐๐น.

 

(สารอโศก อันดับ ๑๓๔ กุมภา - มีนา ๒๕๓๒)