มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
โชคดีของชีวิต

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 136
เดือนพฤษภา 2532 "ทาสมนุษย์"

คืนนี้เงียบสงบจริง จันทร์ครึ่งดวง และหมู่ดาว งามจรัสอยู่บนผืนฟ้าดำสนิท เสียงนาฬิกาบอกเวลาตีสองแล้ว สายลมเย็นชื่น พัดผ่านเข้ามาเป็นระยะๆ ที่แผนกสูตินรีเวช ผู้ป่วยและญาติต่างพากันหลับสนิท

อา....ใช่สิ ความมืด เย็น และเงียบ สามอย่างนี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยหลับได้เป็นอย่างดี แต่ในสภาวะเดียวกันนี้ ฉันยังจะต้องตื่นโพลงอยู่ให้ได้ เพื่อดูแลตรวจเยี่ยมผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ คอยฉีดยาประจำชั่วโมง วัดไข้ และคอยดูแลปรับอัตราหยดเลือดและ น้ำเกลือ ให้เหมาะสม กับอาการ และสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อทดแทนสิ่งที่ขาด เพื่อปรับสมดุลในร่างกาย และยังชีวิตให้ยืนยาวต่อไปได้อีก

ห้าปีที่ได้ใช้ชีวิตในเครื่องแบบสีขาว และก้าวเดินบนเส้นทางสายเอก ที่ต้องใช้ความอดทน ต่อการเสียสละสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ออกไปทีละน้อย ฉันไม่เคยคิดเบื่อหน่ายในภาระหน้าที่ ที่มีอยู่นี้เลยแม้แต่น้อย หัวใจยังคงเปี่ยมไปด้วยความสดชื่น และทรงพลังอยู่เสมอ ในชีวิตที่ต้องพยายามลดละกิเลสอยู่ ขณะเดียวกัน ก็ต้องช่วยชีวิตและบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานให้กับมนุษย์ในยามป่วยไข้

คืนหนึ่ง กลางดึกเช่นคืนนี้ ฉันได้รับผู้ป่วยใหม่รายหนึ่ง เข้ามารักษาในแผนก ผู้ป่วยเป็นหญิงวัยกลางคน ร่างผอมดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ป้าคนนี้เป็นมะเร็งที่ปากมดลูก ระยะที่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ มากแล้ว บางครั้งเลือดก็ออกมาก พอออกมากจนใจสั่น ป้าแกก็จะมานอนที่โรงพยาบาล เพื่อให้เลือดสักครั้งหนึ่ง ถ้าออกมาก แต่ใจไม่สั่น แกก็ไม่มา ปล่อยจนเลือดหยุดเอง (คนเราสามารถเสียเลือดไปได้ประมาณ ๗๐๐ ซี.ซี ร่างกายจึงเริ่มเกิดอาการใจสั่น หรืออาการช็อคนั่นเอง)

"หมอ จำฉันไม่ได้รึ...ที่เคยมาให้เลือดคราวนั้นไงล่ะ" เสียงทักทายจากร่างที่นั่งมาในเก้าอี้เข็นคนไข้

"ทำไมจะจำไม่ได้" ฉันคิดในใจ ก็ป้าคนนี้แหละ ที่เมื่อหลายเดือนก่อนมีเลือดออก แพทย์ตรวจพบว่า เป็นมะเร็งปากมดลูก มิไยที่แพทย์และพยาบาลจะขอร้องให้แกไปรักษาทางยา และฉายแสงที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ฯ เพราะที่โรงพยาบาลนี้ไม่มีเครื่องฉายแสง ทีแรกป้าแกก็รับปากขันแข็ง แต่หลายเดือนต่อมา ก็ตกเลือดมาอีก ฉันแปลกใจว่า ทำไมการรักษาที่กรุงเทพ ฯ อาการของโรคจึงไม่ดีขึ้นเลย กลับทรุดลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วป้าก็ไขความกระจ่างให้ฉันทราบภายหลังว่า

"ฉันกลัวเครื่องฉายแสงน่ะ ! ไปครั้งนั้นครั้งเดียว พอกลับมาบ้าน มีคนเขาบอกว่า มียาหม้อที่รักษามะเร็งหาย ฉันเลยไปซื้อมาต้มกิน มันก็ดีขึ้นพักหนึ่งเชียวนะหมอ แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นไง ฉี่ลำบาก มีเลือดปนออกมาด้วยนะ"

นำ้เสียงของป้า เล่าอย่างไม่สะทกสะท้านต่อโรคที่เป็นอยู่

"เข้าโรงพยาบาล จนหมอคงเบื่อหน้าฉันแล้ว"

ฉันอดแปลบปลาบในใจไม่ได้ โถ... ตัวเองป่วยจะแย่อยู่แล้ว ยังจะกลัวหมอ กลัวพยาบาลจะเบื่ออีก นี่ถ้าฉันต้องทนทุกข์ทรมานรอความตายอยู่อย่างนี้ ฉันจะทนได้ล่ะหรือ ?

บางครั้ง ฉันแอบมองไปที่เตียงเบอร์หนึ่ง ซึ่งมีร่างผอมของป้านอนแซ่วอยู่ ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอย คล้ายจะปลงตก กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวง ในการรักษาโรคในครั้งนั้น

แหละครั้งนี้ก็เช่นกัน เสียงป้าพูดอย่างเอาใจ

"แม่คุณเอ๊ย ช่วยหน่อยเถอะ ป้าฉี่ไม่ออกมาวันหนึ่งแล้ว..."

หลังจากที่ได้สวนปัสสาวะให้ ได้ปัสสาวะเกือบหนึ่งลิตร ! ป้าเดินตัวปลิวยิ้มแย้ม อย่างสบายใจ กล่าวขอบอกขอบใจ และนอนหลับไปอย่างมีความสุข

แต่ฉันซิทราบว่า มะเร็งนั้นได้ลุกลามจากมดลูก ไปยังกระเพาะปัสสาวะ และกินลึกไปที่ท่อปัสสาวะ ทำให้ตีบตัน ปัสสาวะลำบาก และมีเลือดปน หัวใจของฉันก็กำลังตีบตันเช่นกัน !

ป้าหลับไปแล้ว สีหน้าดูไร้กังวลต่อความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น คนที่ไม่รู้อะไรมากนี่ ก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องทุกข์มาก แต่คนที่รู้มาก รู้ลึกซึ้ง แล้วไม่ทุกข์นี่ เหนือชั้นกว่า

"โล่งสบายดีเหลือเกิน...แม่คุณ"

เสียงพูดก่อนเปลือกตาคู่นั้นจะปิดสนิท

จิตตัวหนึ่งผุดขึ้นมาเป็นวจีสังขารอยู่ภายในว่า

"แม้จะทราบว่าการเกิด การวนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์เป็นทุกข์ แต่ตราบใดที่ฉันยังต้องเกิดอยู่ ฉันจะขอเกิดเป็นผู้ที่ช่วยบรรเทาทุกข์ให้ผู้อื่นตลอดไปทุกชาติด้วยความเต็มใจ"

(แต่จริง ๆ แล้ว การช่วยให้ตนเองหมดทุกข์ แล้วกลับมาช่วยไม่ให้คนสร้างวิบากที่เป็นอกุศล จนเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ เป็นการแก้ต้นเหตุที่ดีกว่าการมาคอยตั้งรับที่ปลายเหตุอย่างนี้)

ดึกมากแล้ว ผู้ป่วยยังคงหลับสนิท ในท่ามกลางความเงียบนั่นเอง เสียงเปลเข็นศพผู้ป่วยก็ดังขึ้น ใกล้เข้ามา ... ใกล้เข้ามาทุกที ฉันผุดลุกขึ้นเดินไปดูศพ เขาเข็นศพผ่านไปยังห้องเก็บศพ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ แผนกของฉันนี่เอง

"เป็นศพที่ห้าแล้วซินะในคืนนี้" ฉันบอกกับตัวเอง เขาเหล่านี้ หมดโอกาสที่จะพากเพียรให้ถึงซึ่งความสิ้นทุกข์อย่างฉัน

อา...แม้ฉันเองก็ใกล้หลุมฝังศพเข้าไปทุกเวลานาทีเช่นกัน !

ผู้ป่วยเตียง ๑๐ กำลังให้เลือดขวดที่ห้าอยู่ หยดน้ำเกลือเป็นประกาย ยามต้องแสงไฟที่ลอดมากระทบ หยดเลือดสีแดงสด แต่ละหยดแวววาว และไหลรินเข้าไปในร่างกาย เธอตั้งครรภ์นอกมดลูก คือไข่ที่ผสมกับตัวเชื้อแล้ว ฝังตัวในปีกมดลูกเมื่อไข่นั้นโตขึ้น ปีกมดลูกซึ่งไม่สามารถขยายได้เช่นมดลูก จึงแตกออก

ขณะที่เรารับผู้ป่วยเข้ามาในแผนก ร่างนั้นขาวซีด และปวดท้องน้อยด้านขวา จึงต้องมาวินิจฉัยแยกโรคอีกว่า เป็นไส้ติ่งหรือท่อมดลูกด้านขวาแตกกันแน่ ฉันรีบให้เลือดและน้ำเกลือ และส่งเธอเข้าห้องผ่าตัดทันที เมื่อแพทย์กรีดมีดทะลุผนังหน้าท้องลงไป เราก็พบเลือดอยู่เต็มช่องท้อง จึงใช้เครื่องดูดเลือดออกมาได้ประมาณสองลิตร ! แพทย์เย็บปิดปีกมดลูกที่แตกนั้นเสีย พวกเราเร่งให้เลือดและน้ำเกลือเข้าไปทดแทนให้เร็วที่สุด อา....รอดมาได้อย่างหวุดหวิดทีเดียว บ้านของผู้ป่วยเอง อยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลมาก ฐานะก็ยากจน แต่ก็ตัดสินใจจ้างรถมารักษาที่โรงพยาบาลได้ทันท่วงที

หลังผ่าตัดอาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ สามีของผู้ป่วย นอนฟุบหลับเฝ้าอยู่ข้างเตียง เขาเองก็ดีใจมากเช่นกัน ที่ตัดสินใจได้ถูกต้อง และทันท่วงที ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เมื่อฉันกล่าวรับรองความปลอดภัย ผู้ป่วยและญาติ ก็นอนหลับไปอย่างสบายใจ เช่นเดียวกับผู้ป่วยเตียงหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งปากมดลูก

สองร่างที่ขาวซีด ดูหลับสนิทอย่างมีความสุขเหมือนกัน ร่างหนึ่งโรคร้ายแรงกำลังลุกลาม และใกล้ความตายเข้าไปเต็มทีแล้ว แต่อีกร่างหนึ่ง กำลังฟื้นคืนสู่สภาพปกติ ทั้งนี้เพราะการตัดสินใจที่แตกต่างกันแต่ต้น ผู้มีมิจฉาทิฐิ และสัมมาทิฐิ ก็คงแตกต่างกันเช่นนี้เอง

ที่แปลกกว่าเตียงอื่นคือ เตียงเก้า ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ผู้ป่วยไม่ยอมกินเนื้อสัตว์ หรือพวกน้ำปลา กะปิเลย เธอบอกว่า

"กินไม่ได้หรอก มันบาป !"

"แล้วกินอะไรอยู่บ้านน่ะ"

"กินข้าวกับผักต้ม"

"กินอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วล่ะ"

"...ก็ตั้งแต่เริ่มท้องลูกนี่แหละ กินเนื้ออะไรเข้าไป ก็อาเจียนออกหมด เหม็นคาว"

ฉันก้มลงมองเด็กที่อยู่ในอ้อมแขน ร่างขาวอวบอ้วนหลับตาพริ้ม ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าแตกต่างจากเด็กเกิดใหม่คนอื่น แต่แกก็ทำให้แม่ไม่ต้องไปกินเลือดกินเนื้อได้ แม่ของเด็กน้อยนี้ไม่รู้จักอโศก และไม่รู้จักคำว่า "มังสวิรัติ" ด้วยซ้ำ

ทำให้อดนึกถึงเพื่อนบ้านบางคนที่มาสารภาพว่า

"ก็มันอร่อยนี่....บาปก็รู้ละ แต่ว่ายอมบาปดีกว่าอดเนื้อสัตว์"

อีกรายหนึ่งรับราชการในระดับหัวหน้าสายงาน เมื่อฉันเอาสารอโศก หรือแสงสูญไปส่งให้ (ประหยัดค่าแสตมป์ของมูลนิธิฯ)

"หนูปฏิบัติกับสันติอโศกมานานแล้วหรือ ....อายุน้อยอยู่เลยนี่...." ตามองลอดแว่นจ้องตรงมาอย่างพินิจ

"รู้จักเขาดีแล้วหรือ "โพธิรักษ์" น่ะ" น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกถึงความเคารพแต่อย่างใด

"ฉันรู้จักเขาดี เขาเป็นรุ่นพี่ของฉันเองแหละ"

"เนื้อสัตว์ฉันลดไม่ค่อยได้หรอก เคยทำแล้ว แต่ลำบากนะ ยิ่งฉันต้องไปงานเลี้ยงบ่อย ๆ อยู่ด้วย จริง ๆ แล้ว สัตว์มันก็เกิดมาเป็นอาหารของเรานะ"

ฉันอดยิ้มให้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมาเสียมิได้

ใช่สิ....บางชีวิตก็พลาดไปอย่างน่าเสียดาย เพราะขาดสัมมาทิฐิ บ้างก็จบชีวิตลงเสียก่อนพบสัตบุรุษ บ้างมีสัตบุรุษชี้แนะบอกกล่าวถึงสัมมาทิฐิ แล้วยังไม่ทำตาม หรือทำตามแล้ว ยังเวียนกลับอีก เพราะยังไม่ชัดในเป้าหมาย บ้างทราบชัดในเป้าหมายแล้ว แต่ขาดความเพียร

"ผู้มีสัมมาทิฐิ และ มีความเพียรจัด จะชนะพรหมลิขิต"

พ่อท่านย้ำแล้วย้ำอีก ให้ลูก ๆ ฟัง ในงานปีใหม่อโศก ๓๑

ฉันเองนับว่าโชคดีกว่าทุก ๆ ชีวิตที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เพราะมีพ่อ และ พี่ ๆ น้อง ๆ คอยบอกกล่าว ชี้แนะ ให้มี "ทิฐิ" ที่เข้าสู่ "สัมมา" อยู่เสมอ ๆ ในขณะที่ยังสดชื่น และมีพลังอยู่

เหลืออยู่ แต่ต้องเพียรให้จัด ตามที่รู้ชัดเท่านั้น ซึ่งจะต้องทำด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยได้เลยจริง ๆ จะประมาทไม่ได้ โอกาสที่เอื้อต่อการตัดกิเลสอย่างนี้ จะมีอีกหรือไม่ในอนาคต ฉันเองก็ไม่รู้ได้

หรือใครจะประกันได้ว่า ชาติหน้าจะมีสัตบุรุษมาชี้ทางให้อย่างนี้อีก

ลูกไกลพ่อ

 

(สารอโศก อันดับ ๑๓๖ พฤษภาคม ๒๕๓๒ ทาสมนุษย์)