มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
เหตุเกิดขึ้นที่ปาก

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 143 เดือนกรกฎาคม 2533
หน้า 1/1

"อ้าปากกว้างๆซิ!"

เสียงคำสั่งห้วนๆนั้นดังมาจากข้างตัว ฉันซึ่งอยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ บ่งบอกถึงความเป็นชาวบ้านนอกอย่างชัดเจน รีบอ้าปากตามเสียงนั้นอย่างว่าง่าย ขณะนอนเกร็งตัวอยู่บนเก้าอี้ทำฟัน อย่างสงบเสงี่ยม

เสียงเอี๊ยดๆของเครื่องกรอฟัน เมื่อยามกระทบกับเนื้อฟัน ดังแหลมอี๊ดชวนให้เสียวฟันยิ่งนัก

"แหงนหน้าขึ้น!" เสียงนั้นดังขึ้นกว่าเดิม อาจเป็นเพราะต้องพูดแข่งกับเสียงแหลมๆของเครื่องมือก็ได้

มีบางช่วงที่เครื่องมือพลาดไปโดนเหงือก และผนังด้านในของปากจนเป็นแผล ฉันเจ็บจนสะดุ้ง

"เป็นอะไร"เสียงนั้นถามขึ้นอย่างหงุดหงิด

"เจ็บ" ฉันตอบสั้นๆ

"ก็เจ็บกันทั้งนั้นแหละ!" เธอแหวขึ้นอย่างคนอารมณ์เสีย "...มาทำฟันจะให้ไม่เจ็บได้ยังไงล่ะ"

"โอ๊ย!" คงเป็นเพราะความบังเอิญ ที่เครื่องกรอฟัน กระทบกับผนังด้านในของปากอย่างจัง ฉันสะดุ้งและร้องขึ้นเบาๆ

"อะไรอีกล่ะ! ...นี่อยู่นิ่งๆได้มั้ยฮึ!"

ฉันพยายามให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ตั้งสติให้มั่น เพื่อที่จะไม่ส่งเสียงร้องออกไปอีก เมื่อรู้สึกเจ็บปวด และแม้จะเสียวฟันอย่างไรก็ตาม

ในใจก็คิดว่า ได้ยินคำพูดดุๆยังงี้ ไม่อยากจะมาทำฟันอีกเลย เจ้าหน้าที่ทำฟันคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ใหม่ และเธอผู้นี้ไม่รู้จักฉันด้วย ว่ากันที่จริงแล้วเธอผู้นี้ ต่ำกว่าฉันทั้งทางด้านคุณวุฒิและวัยวุฒิ ถึงเธอจะเห็นว่าฉันเป็นชาวบ้านนอก แต่เมื่อเห็นใบหน้า ที่ย่างเข้าสู่วัยกลางคนของฉันแล้ว เธอก็ควรให้เกียรติกันโดยวัยวุฒิบ้าง ฉันเรียกร้องอยู่ในใจ และเมื่อคิดขึ้นมาได้ ก็รีบสอนตัวเองว่า เราโตแล้ว ทำไมยังคอยเรียกร้อง อยากฟังแต่คำพูดดีๆ และไม่ชอบให้ใครมาดุว่าอย่างนี้

ระลึกย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นฉันยังเป็นนักศึกษาพยาบาล อยู่ที่วิทยาลัยพยาบาล ชลบุรี ช่วงที่ต้องไปผ่าฟันคุด(กรามซี่สุดท้าย)ออก อาจารย์หมอฟันท่านนั้นใจดีมาก พยายามทำอย่างเบามือ น้อยครั้งที่จะเจ็บ หากเมื่อใดฉันร้อง"โอ๊ย!"เมื่อรู้สึกเจ็บ อาจารย์หมอผู้อ่อนโยนจะพูดปลอบว่า

"นิดเดียวนะหนู... ไม่เจ็บนะ ...ไม่เจ็บ"

ฉันดีใจมากที่อาจารย์หมอใจดี และพูดปลอบใจตลอดเวลา อา... ช่างต่างกับตอนนี้ราวฟ้ากับดิน!

ฉันบอกกับตัวเองว่า

ใช่สิ... ก็ตอนนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่ และกำลังฝึกเอาชนะกิเลสตัวเองอยู่ด้วย เราควรจะอดทน และไม่ควรเรียกร้อง ให้เจ้าหน้าที่คนนี้มาพูดดีๆด้วย เขาอุตส่าห์ขูดหินปูนให้ ก็นับเป็นพระคุณแล้ว

เมื่อคิดได้อย่างนี้ ฉันจึงกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้อย่างอดทน และไม่เปล่งเสียงร้องออกมาอีกเลย

น้ำที่ล้างซี่ฟันจากเครื่องมือ กระเด็นเป็นฝอยขึ้นมาเต็มใบหน้า และไหลลงไปที่คาง ฉันจึงใช้กระดาษทิชชู เช็ดที่คางเบาๆ

"ไม่ต้องเช็ด! เดี๋ยวก็เปียกอีก!" ฉันจึงหยุดเช็ดทันที

"นี่ลิ้นน่ะเอาออกมาทำไม หดกลับเข้าไป!" เสียงเธอผู้นั้นสั่งอย่างเฉียบขาด ฉันรีบทำตามอย่างรวดเร็ว แหม...ไอ้ลิ้นเจ้ากรรมนี่ก็เกะกะจริง หากทำได้ ก็อยากจะม้วนมันจุกไว้ที่คอหอยซะเลย ทำให้เราโดนดุอีกแน่ะ

พ่อท่านเคยสอนว่า ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ในปัจจุบัน ก็คือผลพวงของวิบากกรรม ที่เราได้ไปก่อไว้แล้วทั้งนั้น ฉันบอกกับตัวเองว่า จริงสิ เราเองก็ยังเคยพูดไม่ดีกับคนอื่นๆ ทั้งที่ไม่เจตนาและด้วยอำนาจกิเลสโทสะก็ตาม ยอมรับใช้หนี้กรรมเสียดีๆเถอะเรา หากเราไม่ไปสร้างอกุศลกรรมไว้อีก วันแห่งความอิสระจากความเป็นหนี้ ย่อมรอเราอยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นอน

จิตของฉันขณะนี้ปล่อยวางอย่างเต็มที่

"อ้าปากกว้างๆซิ!" เสียงเธอผู้นั้นดังขึ้นมาอีก ฉันเองก็พยายามอ้าปากให้กว้างที่สุด เพื่อเธอผู้นั้นจะได้ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น อีกหลายครั้งที่เจ็บปวด ฉันอดทนเต็มที่ ไม่ขัดขืนและไม่ส่งเสียงร้องอีกเลย เหงื่อไหลซึมย้อยที่ใบหน้าและชุ่มโชกที่แผ่นหลัง

ครู่ใหญ่ต่อมา เธอผู้นั้นจึงบอกว่า"เสร็จแล้ว"

ฉันยกศีรษะขึ้น บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก เลือดสีแดงสดที่ออกมาจากปาก ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั้งปากและลำคอ

ฉันพูดว่า"ขอบคุณค่ะ" แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำฟัน และเกือบจะทันทีนั้นเอง เจ้าหน้าที่ห้องฟันอีกคนหนึ่ง หันมาเห็นเข้าพอดี เขาเดินตรงเข้ามาทักอย่างรวดเร็ว

"อ้าวพี่ มาทำฟันหรือครับ"

"ค่ะ" ฉันเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ยิ้มให้อย่างขำๆ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ที่ทำฟันให้เมื่อครู่นี้ หันขวับมามองหน้าฉันอย่างรวดเร็ว

"ไม่ได้ขึ้นเวรหรือครับวันนี้" เธอผู้นั้นก้มดูบัตรประจำตัวของดิฉันซึ่งวางไว้บนโต๊ะข้างตัว

ฉันตอบคำถาม และรับใบสั่งยาที่เคาน์เตอร์ แล้วก็เดินจากแผนกทันตกรรมมาเงียบๆ

คิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ฉันออกเวรแล้วกลับไปยังที่พัก ฉันสารภาพกับแม่ว่า

"แม่...วันนี้ดุญาติคนไข้ซะแล้ว"

"อ้าว... ไปดุเขาทำไมล่ะลูก... พูดกับเขาดีๆซีลูก" แม่มักจะเตือนฉันอย่างอ่อนโยนเสมอ

"ก็บอกให้เขาไปรอข้างนอกก่อน เขาอยากไม่เชื่อทำไมล่ะ พูดตั้งหลายครั้งนะแม่"

ฉันตอบแม่ไปโดยไม่ได้สำนึกสักนิดว่า เมื่อจะมาฝึกหัดล้างกิเลสแล้ว ไม่ว่าเหตุการณ์ภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราก็ต้องไม่พร่าประโยชน์ตน เพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก

วันนี้ฉันกลับไปยังที่พัก เล่าเหตุการณ์ขณะที่ไปขูดหินปูนให้แม่ฟัง แม่หัวเราะขบขัน ทำเอาฉันต้องพลอยหัวเราะไปด้วย แม่พูดว่า

"นี่แหละเห็นมั้ย เวรกรรมตามทันล่ะ ทำเขาอยู่เมื่อวาน วันนี้ก็เลยเจอดี"

ฉันเล่าให้เพื่อนร่วมงาน ที่แผนกสูตินรีเวชฟัง เพื่อนร่วมงานทุกคนไม่มีใครสงสาร หรือเห็นใจฉันบ้างเลย ซ้ำยังหัวเราะกันยกใหญ่ และยังบอกอีกว่า

"ดี... สมน้ำหน้า... นั่นแหละ... อยากชอบใส่เสื้อผ้าเก่าๆดีนัก! ทีหลังจะได้เข็ด!"

อีกคนถามว่า

"ใครเป็นคนขูดหินปูนให้ล่ะ!"

"ไม่บอก!"

ใครทำไม่ดีก็เป็นกรรมของผู้นั้นเอง ฉันไม่อยากให้เธอผู้นั้นต้องเสียชื่อเสียงเพราะฉัน

อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเมื่อวันก่อน ฉันบอกให้ญาติออกไปรอข้างนอก เพราะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว เมื่อพวกเขาไม่ออก ฉันจึงเตือนอีกสองครั้ง บางคนก็ยังดื้อ ไม่ยอมออกไปรอข้างนอกหอผู้ป่วย ฉันเกิดอารมณ์ไม่พอใจ จนบางครั้งก็พูดออกมาด้วยอำนาจของโทสะทั้งที่ฉันเอง ก็อยากให้ศีลข้อ ๔ บริสุทธิ์อยู่ พยายามคิดหาสาเหตุของการแพ้กิเลสตัวนี้ ในที่สุดก็สรุปได้ว่า

ข้อแรกเพราะสติตก ไม่แววไว ตามรู้อารมณ์ในจิตไม่ทัน ปล่อยให้มันไหลไปตามอำนาจกิเลส

ข้อที่สองคือจิตของฉันยึดมั่นถือมั่นในกฎระเบียบเกินไป และยึดว่า "ต้องทำตามที่ฉันบอกนะ"

ตลอดหลายวันต่อมาฉันเฝ้าตามรู้อารมณ์ในจิต เมื่อมีอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้น ก็บอกกับตัวเองว่า

"เราต้องการให้ตัวเอง เป็นอิสระจากความโกรธไม่ใช่หรือ ทำไมจึงยังเป็นทาสมันอยู่ได้ ไม่เอาชนะมันตอนนี้ อีกกี่ภพกี่ชาติ ถึงจะอยู่เหนือมันได้เล่า"

ฉันพยายามปรับจิตเอาชนะอารมณ์โกรธอยู่เสมอ ทำบ่อยๆเข้าก็คล่องขึ้น และสงบเยือกเย็นขึ้น

เช้าวันนี้ กลุ่มควันบุหรี่ลอยคลุ้งเข้ามายังเคาน์เตอร์พยาบาลเป็นระลอก ฉันซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับควันบุหรี่มานาน รีบสำรวมจิตไม่ให้ตกไปอยู่ในอารมณ์ไม่พอใจ

"ใครสูบบุหรี่น่ะ" ฉันถามออกไป

"ผมเองครับ !" ญาติคนไข้รายหนึ่ง ตอบชัดถ้อยชัดคำ เหมือนทหารรายงานตัว

"ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่นะคะ ป้ายห้ามสูบบุหรี่ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าจะสูบต้องลงไปชั้นล่างนะคะ" ฉันบอกอย่างใจเย็น

"ขออัดอีกนิดเถอะหมอ...จะหมดมวนอยู่แล้ว...เสียดาย!"

อีกครั้งที่หมดเวลาเยี่ยมแล้ว ฉันก็พูดขึ้นว่า

"หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ ญาติต้องออกไปรอข้างนอกก่อน สิบโมงเช้าค่อยเข้าเยี่ยมใหม่นะคะ"

ราวกับเอาสำลีไปปาหนังแรดอย่างนั้นแหละ ไม่มีใครออกไปตามคำบอกนั้นเลย หลายคนยังนั่งคุย บางคนยังสาละวนเลี้ยงเด็กอ่อนให้คนไข้อยู่ข้างเตียง

อีกสิบนาทีต่อมา ฉันซึ่งสำรวมระวังอารมณ์ไว้ดีแล้ว กล่าวเตือนเป็นครั้งที่สามว่า

"ญาติ...หมดเวลาเยี่ยมนานแล้วนะคะ จะปิดประตูแล้ว"

พี่ผู้ช่วย ผู้ช่วยพยาบาลนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์พูดขึ้นว่า

"อ้อนี่ อารมณ์เย็นดีนะ"

"ไม่ใช่หรอกค่ะพี่ หนูกำลังฝึกตัวเองน่ะ" ฉันตอบจากใจจริง และเดินไปล็อคประตู

"เดี๋ยวหมออย่าเพิ่งปิด ฉันขอเข้าไปเอาเชี่ยนหมากหน่อย""หมอ ขอเข้าไปชงนมให้เด็กเดี๋ยวเดียวแหละ"

"หมอ เด็กมันร้องน่ะ ขอเข้าไปดูเด็กเดี๋ยวนะ"

บทเรียนบนเก้าอี้ทำฟัน ให้ประโยชน์ในการสำรวม วจีกรรมของฉันเป็นอย่างดี

"อ้าปากกว้างๆซิ!" เสียงนั้นดังขึ้นมาในห้องของความคิด

เราไม่อยากให้ใครทำกับเราอย่างไร เราก็อย่าทำอย่างนั้นกับคนอื่น

"Every things happen for the best"

แท้จริงแล้ว เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ก็เพื่อให้เราได้ฝึกความอดทน สุขุม ละเอียด ในการเอาชนะกิเลสในตนทั้งสิ้น และตักเตือนเรา ให้เว้นขาดจากอกุศลกรรมทั้งปวง เพื่อจะได้ไม่ต้องหมุนเวียน ไปรับวิบากกรรมเหล่านั้นอีกในอนาคต

"ลูกไกลพ่อ"
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ; ๑ :๓๐ น.

ปล. ต้องกราบขอบพระคุณ นพ.เกรียงศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์ ที่ช่วยกรุณา แนะนำ ด้านความรู้เกี่ยวกับ คนเป็นโรคเรื้อน ให้ดิฉันได้ทราบ (จากจ.ม.ญาติอธรรม ในหนังสือสารอโศก ฉบับ อโศกรำลึก’๓๓) และ หากดิฉัน เข้าใจอะไรผิดพลาดอีก ก็ขอความกรุณา คุณหมอ ช่วยแนะนำตักเตือน ไปอีกนะคะ

 

(สารอโศก อันดับ๑๔๓ กรกฎาคม ๒๕๓๓ อธิษฐาน)