มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
ก่อนจะลงจากคาน

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 144 เดือนสิงหาคม 2533
หน้า 1/1


เป็นเวลาสองทุ่มตรง ที่แผนกหลังคลอดและนรีเวช ได้รับคนไข้หญิงวัย ๓๒ ปี รายนี้เข้ามาในแผนก

ร่างที่นอนแบ็บมาบนรถเข็นขาวซีด ดูราวกับว่าไม่มีเลือดสักหยดหยาดอยู่ในตัว เธออ่อนเพลียมาก จากการซักประวัติ คนไข้รายนี้ตั้งครรภ์ได้ ๖ เดือน (ครรภ์นี้เป็นครรภ์ที่ ๔) เช้าวันนี้เธอได้ไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่กำลังนั่งอยู่นั้นเอง ลูกอ่อนในท้องก็ไหลออกมากองอยู่กับพื้น สายรกขาดจากตัวเด็กในเวลาต่อมา แต่รกยังไม่คลอด ทำให้มีเลือดสีแดงสดไหลรินออกมาเรื่อยๆ เธอจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า เธอเสียเลือดไปมาก และที่โรงพยาบาลนั้น ไม่มีเลือดกรุ๊ป AB(เอบี) ซึ่งคือกรุ๊ปเลือดของเธอเลย ทางโรงพยาบาลจึงส่งคนไข้รายนี้มาที่นี่

เมื่อมาถึงนั้น คนไข้เสียเลือดไปมากแล้ว ชีพจรเร็วมาก ความดันโลหิตต่ำ อา...เธอกำลังอยู่ในสภาวะช็อคเสียแล้ว!

ทั้งแพทย์และพยาบาล จึงต้องให้ความช่วยเหลืออย่างรีบด่วน คนหนึ่งให้น้ำเกลือ อีกคนเจาะเลือดส่งไปยังธนาคารเลือด เพื่อขอเลือดมาให้โดยเร็ว

แพทย์ได้ใช้Speculum (เครื่องมือใช้ตรวจภายในสตรี) ใส่เข้าไป ก็พบว่ามีสายรก และรกบางส่วน จุกคาอยู่ที่ปากมดลูก จึงคีบออกมา แล้วขูดมดลูกเพื่อเอาบางส่วนของรก ที่ยังเกาะแน่นอยู่กับผนังมดลูกออกให้หมด (ขูดดิบๆเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ได้วางยาสลบหรอก) คนไข้ดิ้นบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด หลังจากขูดมดลูกเสร็จแล้ว ความดันโลหิตเหลือเพียง ๗๐/๐ มม.ปรอทเท่านั้น(ซึ่งในคนปกติ ความดันเท่ากับ ๑๒๐/๘๐ มม.ปรอท) ชีพจรเร็วมาก

เมื่อได้เลือดมาแล้ว จึงรีบหาเส้นเลือดเพื่อที่จะแทงเข็มให้เลือด แต่ขณะนั้นเส้นเลือดดำตีบ แทงได้ลำบากเสียแล้ว ทั้งแพทย์และพยาบาล พยายามแทงเข็มที่จะให้เลือดอยู่หลายครั้ง แต่พอแทงได้ คนไข้ก็ชักแขนหนีซะอีก จนทำให้เส้นที่แทงได้แล้วนั้นแตก และบวมขึ้นมา เลยต้องสาละวนหาเส้นเลือดใหม่อีกพักใหญ่ เมื่อเจ็บปวดมากๆ คนไข้ก็จะไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าใดนัก (แต่ก็เป็นบางคนอีกนั่นแหละ)

เธอผู้เป็นคนไข้นี้ แท้งบุตรมา ๓ ครั้งแล้ว(รวมครั้งนี้ด้วย) เธอได้บุตรชายคนโตไว้เพียงคนเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เธอก็ยังอยากจะได้ลูกผู้หญิงอีกสักคนหนึ่งอยู่นั่นเอง

ฉันคอยหมั่นเช็คความดันโลหิต กับชีพจรให้เธอบ่อยๆ ปรับอัตราหยดเลือด และน้ำเกลือให้เร็วขึ้น เลือดหมดไปแล้วเป็นขวดที่ ๓ แต่สีหน้าของเธอก็ยังดูซีดเซียวอิดโรยอยู่

เลือดที่ออกมาจากมดลูกในขณะนี้ มีเล็กน้อยเท่านั้น

ฉันฉีดยาปฏิชีวนะให้เธอหนึ่งเข็ม เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และให้ยาแก้ปวดด้วย ครู่ใหญ่ต่อมาเธอก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย โดยมีสามีนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา

ฉันยืนมองร่างนั้นอย่างสงสารจับใจ นี่เป็นเพราะเธอแต่งงานทีเดียว เธอจึงต้องมาพบกับสภาพที่เจ็บปวดทรมาน และเสี่ยงต่อความตายเช่นนี้ ในขณะเดียวกับที่สามีของคนไข้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องเสียเลือด ไม่ต้องโดนขูดมดลูกเจ็บๆด้วย ทำไมหนอ...ผู้หญิงเราจึงต้องมาประสบกับอันตรายอย่างนี้

ฉันละจากคนไข้เตียงนั้นมา เมื่ออาการของเธอปลอดภัยแล้ว เสียงเด็กอ่อนข้างเตียงคนไข้แต่ละคน แผดเสียงร้องจ้าดังเพรียกไปหมด มีบางเตียงที่สามีมิได้เอาแต่นอนหลับสบาย หากแต่ลุกมาช่วยเลี้ยงลูกบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คือคนไข้ที่เพิ่งคลอด เพิ่งเสียเลือดมาหยกๆนั่นแหละ ที่ลุกขึ้นมาอย่างระโหยอ่อนเพลีย เพื่อดูลูกเลี้ยงลูก

ทำไมหนอ... ผู้หญิงเราจึงต้องมาประสบกับความลำบากอย่างนี้

มีผู้หญิงหลังคลอดบางรายไข้ขึ้นสูง เพราะนมคัดและปวดมาก ฉันได้ไปช่วย เอาลูกสูบยางปั๊มน้ำนมออกให้ คนไข้แต่ละคนหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ทั้งๆที่ฉันก็พยายามทำอย่างเบามือแล้ว น้ำนมพุ่งออกมาเป็นสายเหมือนน้ำพุ กลิ่นน้ำนมนี่เหม็นคาวจัง ไหนจะเหม็นคาวน้ำคาวปลา ที่ออกมาจากมดลูกอีกล่ะ คนไข้หลังคลอดนี่ทรมานจังเลย

นมคัดนี่ ฉันว่ามันคงเหมือนฝีที่สุกกลัดหนองนั่นแหละ พอเอาหนองออกหมดแล้ว อาการปวดก็จะทุเลาขึ้น แต่นมคัดนี่สิอีก ๓-๔ ช.ม.ต่อมา ก็จะเริ่มคัดใหม่อีก

ฉันพยายามทำอย่างเบามือ ด้วยความสงสารผู้หญิงด้วยกันอย่างที่สุด คนไข้เหล่านี้ก็เหมือนน้องเหมือนพี่ ของเรานั่นแหละ

ขณะนั้นเอง ตาของฉันก็เหลือบไปเห็นสามีคนไข้ ที่นอนหลับอย่างสนิทอยู่ข้างเตียง โดยที่เขาไม่ต้องมาเปรอะเปื้อนน้ำคาวปลา ไม่ต้องปวดนม เพราะนมคัดอย่างผู้หญิงเลย

เสียงอาเจียนโอ้กอ้าก ดังมาจากคนไข้อีกรายหนึ่ง ซึ่งตั้งครรภ์ได้สองเดือนกว่าแล้ว แต่กินอะไรไม่ได้มาหลายวัน เธอผู้นี้แพ้ท้องอย่างรุนแรง กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนตลอดเวลา จนหมดแรง เลยต้องมานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่นี่ ฉันจะไปฉีดยาแก้อาเจียนให้หนึ่งเข็ม ใบหน้าที่อ่อนเพลียของคนไข้น่าสงสารนัก อาเจียนแต่ละครั้ง ก็มีแต่น้ำลาย เพราะในท้องไม่มีอาหารอะไรเหลืออยู่เลย

ฉันยืนมองบรรดาคนไข้เหล่านี้ ด้วยความรู้สึกสงสารเวทนาอย่างบรรยายไม่ถูก หากฉันจะพูดกับพวกเธอว่า การแต่งงาน การมีคู่เป็นทุกข์ คนไข้เหล่านี้จะว่าฉันสติไม่ดี หรือมองโลกในแง่ร้ายหรือเปล่านะ

แต่อันที่จริงแล้ว ฉันมองโลก ในแง่ของความเป็นจริงต่างหาก

อดนึกถึงวันก่อนไม่ได้ พี่ผู้ช่วยพยาบาลอีกแผนกหนึ่ง เธอมาหาฉันและร้องไห้ฟูมฟายอยู่พักใหญ่ พี่เขาเล่าให้ฟังว่า สามีของพี่ซึ่งเป็นนายตำรวจนั้น ไปมีเมียน้อยเสียแล้ว ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี จนลูกโตๆกันหมดแล้ว

พี่เขาร้องไห้อยู่นาน ฉันก็ช่วยพูดปลอบใจ เท่าที่จะทำได้

อยากจะบอกพี่เขาเหมือนกันว่า ความรักนี่มันคือสิ่งมายา ไม่จีรังยั่งยืน เหมือนปุยเมฆบนฟ้า ที่ก่อตัวขึ้นแล้ว ก็ลอยไปมาตามกระแสแรงลม แล้วก็สลายตัวไปในที่สุด แต่ก็คิดว่าคงไม่เข้าใจง่าย จึงได้แต่พูดให้กำลังใจตามฐานะ

ฉันไม่โทษพี่ที่เป็นนายตำรวจคนนั้นหรอก เพราะทราบดีว่า สัตวโลกไม่อิ่มในกาม ตราบใดที่กิเลสเขายังไม่หมด ความรักของเขาจะหยุดอยู่ที่เราได้อย่างไร มันจะแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย และอุปาทานของเขานั่นเอง

ชีวิตของฉันเมื่อได้เข้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว ได้เรียนรู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ ได้รู้ได้เห็นจากประสบการณ์ของคนไข้ และเพื่อนร่วมงานทำให้ฉันทราบว่า ความรักที่แท้จริงมันคือสิ่งมายา ไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้นเพราะอุปาทาน ความไปหลงปรุง แล้วติดยึดไว้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็พร้อมจะจืดจาง และสลายไปตามเหตุปัจจัย ที่แปรเปลี่ยนไปนั่นเอง ต่อให้รักกันมากแค่ไหน ว่ารักจนหมดใจ สักวันดอกไม้ก็ต้องโรย

การที่ฉันได้มาทำงาน ที่ได้เห็นความทุกข์ทรมาน ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วทุกเมื่อเชื่อวัน ฉันจึงอยากจะบอกเพื่อนหญิงด้วยกันว่า อยู่บนคานน่ะดีแล้ว อย่าลงมาเลย ส่วนคนที่ลงมาแล้วก็ขอให้อยู่เป็นสุขๆเถิด อย่าได้หาทุกข์เพิ่มอีกเลย (เช่นมีลูก,มีสามีใหม่ฯลฯ) คนที่สามีเปลี่ยนใจไป ก็จงดีใจเถิดว่า เจ้าหนี้เขากำลังจะยกหนี้ให้เราแล้ว เรากำลังจะออกจากตะรางแล้ว! (ก็ต้องพยายามมองให้เห็นความจริง แม้จะยากลำบากก็ตาม)

พระพุทธเจ้าก็ทรงกล่าวว่า โศกภัยเกิดจากความรัก ไม่มีความรักเสียแล้ว โศกภัยก็ไม่มี

พ่อท่าน เคยสอนลูกๆอโศกไว้นานแล้วว่า การแต่งงานเป็นทุกข์ "การแต่งงาน ไม่ใช่การเอาห่วงมาคล้องคออย่างเดียวเท่านั้น การแต่งงานคือการสร้างมารขึ้นมา คอยประหัตประหารตัวเอง ให้ห่างจากการบรรลุพระนิพพานอย่างแท้จริงด้วย

มาร...คือพญาแห่งความทุกข์ทรมาน

หรือผู้คอยชักนำให้คนไปสู่ทางต่ำเสมอ"

ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า จะมีลูกอโศกกี่คน(ที่จริงกี่ร้อยกี่พันคน) ที่จะเอาชนะ

ตัวนี้ได้"มาร"

ก่อนจะลงจากคาน คิดใคร่ครวญอีกทีเถิดนะ

"ลูกไกลพ่อ"
๕ มิถุนายน ๒๕๓๓

 

(สารอโศก อันดับ ๑๔๔ สิงหาคม กันยายน ๒๕๓๓)