มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
พบรักเข้าแล้ว

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 150 เดือนสิงหาคม 2534
หน้า 1/1


ช. "ช่างสวยเหลือเกิน แก้วตา หยาดฟ้ามาหรืออย่างไร...

ญ. ช่างหวานในคำพร่ำไป หวั่นใจจะสวยไม่นาน

ช. หยาดเยิ้มอย่างนี้หรือมีใดปาน น้องลอยมาจากสถานทิพย์วิมานชั้นใด

เริ่มอารัมภบทด้วยเพลงรัก เพราะวันแห่งความรักใกล้เข้ามาทุกที ย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่หน้าห้องผ่าตัดโรงพยาบาลชลบุรี เมื่อหลายปีก่อน

"กรุณาเถอะครับ หมอ อย่าตัดขาเมียผมเลย ช่วยทีเถอะครับ"

คำวิงวอนจากสามีของคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุ จนกระดูกขาแตกและทิ่มออกมานอกเนื้อดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

"หมอครับ เมียผมจะตายไหม?..." คำถามจากสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์กังวล เพราะกลัวว่าบุคคลอันเป็นที่รักของตน จะต้องพลัดพรากจากไป นี่คือผลจากความรักความผูกพันในอีกแง่หนึ่ง

เมื่อสองปีก่อนก็เช่นกัน ขนาดปฏิบัติธรรมมาได้สองสามปีแล้ว แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำเอาฉันตบะแตกและขาดทุนอย่างย่อยยับทีเดียว

ยังจำได้ดี ผู้ป่วยเตียง ๒๗ ของแผนกสูตินรีเวช เข้ารับการผ่าตัดหน้าท้องได้หนึ่งวันนอนแซ่วซีดเซียวให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง บางครั้งลูกน้อยเพิ่งเกิดก็ร้องจ้า ซึ่งถ้ามีเวลาว่างฉันก็จะไปช่วยดูแลให้ ถ้าไม่ว่างก็ปล่อยให้แกร้องไป นึกว่า ดีเหมือนกัน ให้เด็กแกบริหารปอดไปพลางๆจะได้แข็งแรง! อดแปลกใจไม่ได้ว่า นี่ญาติๆของเขาไปไหนกันหมดนะ ไม่มีใครมาเฝ้าอยู่เลย จนประมาณตีสองคืนนั้น ซึ่งฉันเป็นหัวหน้าเวรอยู่ ชายคนหนึ่งพูดจาเอะอะ ตรงเข้าด่าทอและทุบตีผู้ป่วยบนเตียง กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่ว ผู้ป่วยเองก็สู้ ทั้งที่แขนข้างหนึ่งยังให้น้ำเกลืออยู่ ปากก็เถียงสามีไม่หยุดเหมือนกัน!

ฉันปราดเข้าไปกั้นคนทั้งสองไว้

"นี่! หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้" ฉันพูดกับชายผู้นั้นอย่างเหลืออด สติสัมโพชฌงค์ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด!

"หมอดูซิ! มันไม่มาช่วยดูลูกแล้ว ยังเมามาหาเรื่องอีก..."

ผู้ป่วยกล่าวลุ้น เพราะคงอยากได้ผู้ช่วย อีกแรงหนึ่งเป็นแน่!(สู้กันไม่ถนัดเพราะแขนติดน้ำเกลือ)

"เรื่องของกู! ใครอย่ามายุ่งนะโว้ย!" เสียงตะโกนจากร่างเมา

"ไม่ยุ่งไม่ได้ ที่นี่สถานที่ราชการ มาส่งเสียงเอะอะยังงี้ได้ยังไง"

"เรื่องของผัวเมียกัน หมอมายุ่งด้วยทำไม!" ร่างเมาเดินเซมาหาอย่างตั้งใจ

ฉันเองก็ไม่ถอย (ที่จริงแล้วตกตะลึงด้วยน่ะ)

"นี่ลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะเรียกยามมาจัดการ!"

เพื่อนของเขาจึงรั้งตัวไว้แล้วพาลงไปชั้นล่าง ผู้ป่วยน้ำตาไหลรินๆ

"อยู่บ้านมันซ้อมฉันประจำแหละหมอ" เสียงพูดอย่างปวดร้าว

"แล้วก่อนแต่งน่ะ ทำไมไม่ดูให้ดีๆซะก่อนละ"

"ก็ตอนนั้นมันไม่เป็นยังงี้นี่ มันดีทุกอย่างเลย" พลางยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่นองใบหน้า ฉันพูดปลอบอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินจากมา ตั้งใจว่าคราวหน้าจะพยายามมีสติให้แววไวรู้เท่าทันอารมณ์ให้มากกว่านั้น

โอ...นี่หรือชีวิตคู่.... นี่แหละผู้ประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง เป็นจริงดังพระพุทธพจน์ ตรัสไว้ไม่ผิดเลย

ยังสามีของเพื่อนร่วมงานในแผนกอีกคนหนึ่ง เขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยมาก เขายังศรัทธาปฏิปทาของชาวอโศกมากอีกด้วย เป็นครอบครัวหนึ่งที่เรียกว่า รักใคร่ กลมเกลียวกันดี วันหนึ่งภรรยาของเขาพูดขึ้นว่า

"สงสัย ฉันจะต้องกินมังสวิรัติแบบอ้อซะแล้ว"

"อย่า ’ดัดจริต’ ไปตีเสมอเขาดีกว่า!" นั่นคือเสียงตอบจากสามีสุดที่รัก! ฉันอดตกใจระคนกับปลงสังเวชในชีวิตคู่ อะไรกัน! ทำไมกับคนอื่นล่ะ พูดสุภาพได้ ทีกับเมียตัวเองใช้คำพูดอย่างนี้ แต่ตัวภรรยาเขาน่ะ หัวร่อคิก อย่างขบขัน

ฉันคิดในใจเงียบๆว่า ถ้าเป็นเราขันไม่ออกแน่! นี่หรือชีวิตหลังแต่งงาน นี่หรือที่เรียกว่าความรัก!...

และอีกเหตุการณ์หนึ่ง เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อเช้านี่เอง

ชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง พร่ำเพ้ออย่างขาดสติ อยู่หน้าห้องเก็บศพ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้นำศพของบุตรสาวของแก ซึ่งกินยาตายเมื่อคืนนี้ เข้าไปเพื่อฉีดยากันศพเน่า

"แมว...ลุกเถอะลูก...ลุกมาหุงข้าว...แมว...ตื่นเถอะลูก พ่อจะไปซื้อเสื้อสวยๆมาให้ พ่อให้ไปเที่ยวงานดอนฯแล้วลูก..."

"แมว...ทำไมทิ้งพ่อไป...แต่นี้ไปพ่อจะอยู่กับใครล่ะลูกเอ๊ย"

ร่างนั้นทุ่มตัวลงเกลือกกลิ้งกับพื้นดิน กระดุมเสื้อเก่าๆหลุดลุ่ยออก บางทีก็เอาศีรษะโขกกับพื้นดิน

"โว้ย! ไม่รู้จะทำใจยังไงแล้ว!... พ่อจะทำยังไงดี!... มา ! ใครเอาเงินมาให้กูสองพัน กูจะให้ลูกกูไปเที่ยวงานดอนเจดีย์ เอามาเร็ว!"

แล้วร่างนั้นก็ผุดลุกขึ้น ยื้อแย่งกระเป๋าจากญาติๆอย่างน่าสมเพชเวทนา

ทราบภายหลังว่า บุตรสาววัยสิบแปดปีของแกกินยาฆ่าแมลงตาย หลังจากไปเที่ยวงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์เมื่อคืนนี้ แล้วผู้เป็นพ่อไปตามให้กลับบ้าน โดยปกติแล้วแกจะตามใจลูก เอาใจลูกตลอด เพราะภรรยาทิ้งแกไปตั้งแต่ลูกอายุ ๓ เดือน ลูกคนนี้จึงคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

ชายวัยฉกรรจ์ผู้นั้น ยังร้องไห้โฮเหมือนเด็ก ประเดี๋ยวก็ล้มตัวลงไปนอนคลุกฝุ่น ตรงหน้าห้องเก็บศพ พลางถีบขาปัดแขนไปมาอย่างระงับความรู้สึกเสียใจไว้ไม่อยู่

อนิจจา!...นี่หรืออานุภาพของความรักและการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก!

ฉันได้แต่ยืนดูอยู่บนระเบียงหอพักผู้ป่วยอย่างสลดสังเวชใจ สักครู่จึงกลับเข้ามาในแผนก เพื่อทำแผลและฉีดยาให้กับผู้ป่วย

ภาพความทุกข์อันเกิดมาแต่ความรัก มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ แต่หมอหรือพยาบาล และเจ้าหน้าที่ต่างๆในนั้น ก็ยังคงสร้างความรักขึ้นมาผูกพันกัน ยังแต่งงานกันอยู่เป็นปกติ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาขาดตัวโยนิโสมนสิการ และไม่มีใครชี้บอกเขาเหล่านั้นให้มีสัมมาทิฐิ ว่านั่นมันเป็นการสร้างทุกข์สร้างพันธนาการแห่งหัวใจ อย่างใหญ่หลวงทีเดียว

อา...ความรัก เป็นสิ่งที่มนุษย์ใฝ่ฝันไขว่คว้า เพื่อการได้มาแห่งความรู้สึกว่า"สุข" อันก่อให้เกิดความหวังอันเจิดจ้า

สิ่งนี้ได้ผลาญพร่าให้มนุษย์ จมและวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้ปีแล้วปีเล่า ชาติแล้วชาติเล่า...นับกัลป์

หากสามารถทำให้ปราศจากรักได้แล้ว ย่อมปลดเปลื้องทุกข์ออกไปโดยสิ้นเชิง

บนเส้นทางการปฏิบัติธรรมในเครื่องแบบสีขาว แม้มีจิตมุ่งมั่น มีปณิธานแน่วแน่ที่จะถือศีลพรหมจรรย์ไปตลอดตราบตายอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ จะต้องมีบทปฏิบัติที่จะเสริมหนุนไปด้วย ตราบใดที่ยังไม่สามารถข้ามฝังกามโอฆะนี้ได้ ตราบนั้นจะหย่อนความเพียรไม่ได้ หากฝ่าด่านนี้(กามคุณ)ไปไม่ได้ จะช่วยงานศาสนาคงไม่ได้มาก ยังด่านมานะอีกที่รออยู่ข้างหน้า

ในการปฏิบัติธรรมอยู่ห่างไกลหมู่กลุ่ม มีพระสูตรหนึ่งชื่อสารีปุตตสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ กล่าวไว้อย่างแจ่มชัดถึงมรรควิธี ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ไปจนตลอดชีวิต ซึ่งฉันได้นำไปปฏิบัติอย่าง"เอาจริง" ปรากฏว่าได้ผลมีอานิสงส์มากมาย (แม้ทำยังไม่ได้ ๑๐๐% ก็ตาม) พระสูตรนั้นมีโดยย่ออย่างนี้

"ภิกษุคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียร จักประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ติดต่อกันไปตลอดชีวิตนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้”

ผู้คุ้มครองในทวารอินทรีย์ คือเห็นรูปใดๆแล้วไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ คือไม่ตราไว้ในใจ หรือนำมาปรุงต่อในทางอกุศล แม้ทางหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ฯลฯ ก็ย่อมสำรวมสังวรในจักขุนทรีย์ ไปจนถึงมนินทรีย์ เพื่อไม่ให้อกุศลกรรมอันลามกเกิดขึ้น

ผู้รู้ประมาณในโภชนะ คือพึงพิจารณาแล้ว กลืนกินอาหารว่า ไม่ใช่เพื่อเล่น เพื่อมัวเมา เพื่อประดับตกแต่ง ย่อมกินเพื่อ กำจัดความเบียดเบียน เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ จักกำจัดเวทนาเก่าเสีย และไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น

ผู้ประกอบความเพียร คือมีสติเต็ม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ด้วยการนั่ง การเดิน (ด้วยการงาน ตลอดวันและปฐมยาม (หัวค่ำ) แห่งราตรี มัชฌิมยามสำเร็จสีหไสยาสน์ โดยข้างเบื้องขวา เท้าซ้อนเหลื่ยมเท้า มีสติสัมปชัญญะกำหนดเวลาตื่น และรีบลุกขึ้นในปัจฉิมยามแห่งราตรี (แล้วชำระจิตให้บริสุทธิ์ด้วยการงานต่อ)

จากประสบการณ์ แม้จะอยู่ห่างไกลหมู่กลุ่มมากเพียงใด แต่ถ้ามีตัว"เอาจริง"ตัวเดียวก็สามารถตั้งมั่น และเจริญขึ้นในอธิศีลได้เรื่อยๆ แต่บางครั้งแม้ตัวฉันเองอยู่ในหมู่กลุ่ม หากประมาทไม่เอาจริง ตั้งตนอยู่บนความสบายแล้ว การปฏิบัติธรรมก็มีแต่ความเสื่อมถอย... เสียเวลา...และเสียส่วนหนึ่งของชีวิตไปด้วย

ฉันจึงคิดว่าหากปฏิบัติ"เอาจริง"ใน"สารีปุตตสูตร"อย่างเคร่งครัดแล้ว จะอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา สำหรับการตั้งมั่นในชีวิตพรหมจรรย์นี้เลย แม้อยู่ห่างไกลหมู่กลุ่มเพื่อนสพรหมจรรย์ก็ตาม

แต่ถ้าเลือกได้ การปฏิบัติเอาจริง และอยู่ใกล้หมู่กลุ่มย่อมดีกว่าเป็นแน่ เพราะเบาสบายกว่า และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วกว่าด้วย

"ความรัก" บนเส้นทางชีวิตในเครื่องแบบสีขาวที่ประสบมาจึงคือความทุกข์ทรมาน และคือ"มาร"ที่กีดกั้นทางไปสู่นิพพานที่ฉันจะต้องพากเพียรต่อสู้อย่างสุดกำลัง และดับทุกข์ที่มีอยู่ด้วยแรงเพียรของฉันเอง

ลูกไกลพ่อ
๒๘ มกราคม ๓๑

"ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ไม่มีการเอาจริง จะไม่มีการบรรลุได้จริงๆ
รู้ทั้งรู้ ยังยากแสนยาก ถ้าไม่มีการเอาจริงแล้ว ไม่มีการบรรลุธรรม
ต้องเอาจริง

นี้คือ เคล็ดที่สำคัญที่สุด ต้องเอาจริง"

พ่อท่าน

 

(สารอโศก อันดับ ๑๕๐ สิงหา กันยา ตุลา ๒๕๓๔)