มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
หยุดหัวใจไว้ที่รัก

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 152 เดือนมกราคม 2535
หน้า 1/1


รูปแร้งดูร่างร้าย รุงรัง
ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า
เสพย์สัตว์ที่มรณัง นฤโทษ
สาธุชนนั่นอ้า "เลิศด้วยดวงใจ"

ที่ยกโคลงบทหนึ่งในเพลง"มนต์รักอสูร"มาไว้ข้างต้นนี้ ก็เป็นการอ้างอิง ก่อนที่จะคุยกันต่อไป เพื่อป้องกันความขบขัน ซึ่งท่านผู้อ่านโดยเฉพาะญาติธรรมที่รู้จักผู้เขียนดี อาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ดิฉันจะพบ "ความรัก"!

หรือบางท่านก็อาจให้ค่าเรื่องนี้เป็นเพียง "ตำนานรักของมนุษย์สีขาว" เท่านั้นก็ได้

ก็ใครเล่าจะคาดการณ์ได้ว่า คนที่มี"รูปแร้งดูร่างร้าย รุงรัง" อย่างดิฉัน ก็มีโอกาสพบความรักกับเขาบ้างเหมือนกัน [จริงๆ แล้วดิฉันก็ไม่ค่อยจะเหมือน"แร้ง"มากนักหรอกนะ] แถมก็ไม่ได้"เสพย์สัตว์ที่มรณัง นฤโทษ" อีกด้วย เพราะกินอาหารมังสวิรัติ และเนื่องจากกำลังสังวรในศีลแปดอยู่ ทำให้บางคนมองผ่านรูป "ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า" เข้าไปภายในจิต แล้วยังคิดว่า "เลิศด้วยดวงใจ" ก็มี

พูดถึงความเป็นเลิศนี่ [ต้องขอแวะนิดหนึ่ง] พ่อท่านเคยบอกลูกๆ อโศกว่า "เราจะเลิศ จะยอด จะเก่งเด่น ดัง อย่างไร ไม่สำคัญ แต่การที่เราได้ช่วยเหลือให้สังคมมนุษยชาติอยู่เย็นเป็นสุขนี่ สำคัญที่สุด"

ดิฉันซาบซึ้ง และประทับใจมาก และขอตราความข้อนี้ไว้ในจิตวิญญาณจนชั่วชีวิต เพื่อป้องกันความหลงตนลืมตัว แม้ขณะนี้ยังมิได้เป็นเลิศอะไรเลยก็ตาม

จากประสบการณ์ในชีวิตของนักปฏิบัติธรรม ดิฉันพบว่า ทุกคนหรือทุกสิ่งในโลกล้วนมีพระคุณและเป็นองค์ประกอบ ในการข้ามโอฆสงสารของเราทั้งนั้น ไม่ด้วยทางตรง ก็ทางอ้อม

เช่น บ่อยครั้งที่ดิฉันลงเวรดึกในตอนสาย มาถึงแฟลตพยาบาล ก็พบว่าพ่อหรือแม่ ได้เดินทางมาเกือบยี่สิบกิโล เพียงเพื่อเอาอาหารมาให้ ทั้งๆ ที่ท่านทั้งสองก็ได้เป็นผู้ให้ชีวิต ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับดิฉันมาโดยตลอด แม้บัดนี้เราก็โตแล้ว และช่วยตัวเองได้อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ท่านก็ไม่เคยเบื่อที่จะ "ให้" เราเลย

จากหัวใจอันเปี่ยมไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์ และความกรุณาปรานีอันไม่มีที่สิ้นสุด ที่ท่านทั้งสองได้มีให้นี้ ได้กระตุ้นเตือนให้ดิฉันตั้งมั่นอยู่ในศีล และตั้งใจจะใช้ร่างกายที่ท่านทั้งสองได้ให้มานี้ นำไปสร้างประโยชน์ในสังคม สร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม เพื่อตอบแทนพระคุณอันมากล้นนี้

เมื่อเร็วๆนี้ก็เช่นกัน ดิฉันไปธุระที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ได้แวะเข้าไปซื้ออาหาร ในร้านของญาติธรรมแถวนั้น พอตักใส่ถุงเสร็จ ญาติธรรมท่านนั้นก็ยื่นให้โดยไม่ยอมรับเงิน ทั้งๆที่ดิฉันพยายามจะให้ แต่ก็ถูกปฏิเสธว่า "ขอให้แก้วได้ทำบุญกับพี่ด้วยเถิดค่ะ"

ดิฉันสำนึกในความกรุณานี้มาก และมีบ่อยครั้งเหลือเกิน ที่มีผู้เมตตาให้ความสะดวกในการติดต่องาน หรือในการดำรงชีวิตของเรา

จริงๆด้วย หันไปทางไหนมีแต่ผู้ที่มีพระคุณกับเราเต็มไปหมด บางทีใครจะรู้บ้างเล่าว่า ข้าวที่เรากินเข้าไปแต่ละเมล็ด เพื่อยังชีพนั้น ก็มาจากหยาดเหงื่อ และความเหนื่อยยาก ของชาวนาคนที่เดินสวนทางกับเราในตลาด หรือจากคนไข้ซึ่งกำลังมารับบริการจากเราในโรงพยาบาลก็ได้

โดยปกติดิฉันก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเคร่งครัดอะไรนัก บางครั้งยังอยากจะเกเร ยังอยากจะ"ซิ่ง"เสียด้วยซ้ำไป แต่ด้วยสำนึกที่เตือนจิต อยู่ตลอดเวลาว่า ชีวิตของเราอยู่เนื่องด้วยผู้อื่น ดังนั้นชีวิตนี้จึงเป็นของมนุษยชาติ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง และเราไม่ควรนำพลังงานที่ได้จากเมล็ดข้าว แห่งความเหนื่อยยากของผู้อื่น ไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย อย่างไร้สาระ

มีอยู่ครั้งหนึ่งในชีวิตของการปฏิบัติธรรม ดิฉันตั้งตนอยู่บนความประมาท คิดว่า "เราก็ชัดในเป้าหมายแล้วว่า จุดหมายปลายทางของเราคือ นิพพาน แต่ตอนนี้ ขอหยุดหัวใจไว้ที่"รัก" ขอพักใจชมสวนดอกไม้กลางทางสักหน่อย เป็นการเรียนรู้โลกไปด้วย เดี๋ยวจะไม่มีประสบการณ์ว่า žที่ว่ารักนั้น หวานฉ่ำฉันใดž ขอนั่งพักใจสักครู่ แล้วค่อยเดินทางต่อ"

[ที่จริงแล้ว "มาร" ที่กีดขวางทางนิพพานของเรา ไม่ใช่ใครอื่นเลย หากแต่คือมิจฉาทิฐิ หรือความเห็นที่ตั้งไว้ผิดของเรานี่เอง!]

ตามปกติแล้วไม่ว่าจะกำลังฉีดยา ทำแผล หรือให้การบริการกับคนไข้ ดิฉันจะระวังจิตอยู่เสมอ ตามรู้อารมณ์ในจิตว่า ขณะนี้มีนิวรณ์ตัวไหนกลุ้มรุมอยู่หรือไม่ และพยายามปรับจิตปรับพฤติกรรม ให้มาอยู่ในทางกุศลเสมอ ก็แพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่ก็พยายาม มองให้ชัดถึงเป้าหมายว่า การทำงานทุกอย่างเราทำเพื่อละหน่ายคลาย เพื่อล้างกิเลสให้หมดสิ้น

แต่...เมื่อหัวใจสีแดง[ในเครื่องแบบสีขาว] เกิดมีความรักขึ้นมา ดิฉันรู้สึกว่า โลกนี้สวยสดงดงาม เป็นสีชมพูไปหมด [ไม่ใช่ตาบอดสีหรอก แต่นี่เป็นโวหารน่ะ!] บางทีคนไข้ยุ่งมากๆ แต่เมื่อใจเรานึกถึงคนที่เรารัก จิตใจก็เบิกบานอย่างประหลาด จิตใจละเอียด อ่อนโยน มีพลัง ยิ่งนึกถึงวันเวลาที่ได้พบ ได้พูดคุย นึกถึงสิ่งที่ประทับใจ เมื่ออยู่กับบุคคลอันเป็นที่รัก ก็ยิ่งชื่นใจ ทำงานไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย บางเรื่องบางเหตุการณ์ก็ยอมได้ ให้อภัยได้อย่างง่ายดาย กับบุคคลที่มากระทำไม่ดีต่อเรา

ดิฉันคิดในใจว่า "เออ...มันก็ดีเหมือนกันนะ" แต่ อนิจจา...เพียงแค่ดอกรักเริ่มผลิบาน ดิฉันก็ถูกรุมทึ้ง เอ๊ย! รุมเทศน์จากมิตรดีสหายดีรอบข้าง รอบทิศทางไปหมด !

"พี่หวงน้องของพี่ อ้อจะต้องไปสูงกว่านี้ !"

"อ้อน่ะยังซื่อเกินไป พี่เกรงว่าใครจะมาหลอกเอาได้ง่ายๆ"

"ผมจะบอกให้ ผู้ชายน่ะ มันไม่อิ่มในกามหรอก ขนาดผมนั่งรถมากับเมียผมแท้ๆ แต่ในใจผมน่ะ ยังแอบเสพย์ผู้หญิงข้างทางอยู่เลย"

"ผมน่ะเวลาท้อแท้ พอมาเห็นแบบอย่างผู้หญิงที่ปฏิบัติธรรมเอาจริงเอาจังอย่างนี้ ก็เกิดกำลังใจ บอกกับตัวเองว่า เราเป็นผู้ชายแท้ๆเราจะท้อไม่ได้ และก็ได้ตั้งต้นเพียรสู้กิเลสใหม่อีก"

ที่สะดุดใจดิฉันมากก็คือ มีญาติธรรมท่านหนึ่งร้องไห้ !

"พี่น่ะหวังจะเห็นอ้อได้บวช หวังจะยึดชายผ้าสีกรักของน้อง ไปพระนิพพานด้วย" น้ำตาพี่ไหลริน

ดิฉันตาโต ตื้นตันใจว่ารอบข้างเรานี้ มีแต่ผู้ที่ปรารถนาดีที่จะเสริมหนุนเรา ให้ไปสู่ที่สูงปานนี้เชียวหรือ หนี้พระคุณเหล่านี้ ควรแล้วที่จะต้องตอบแทนด้วยชีวิต ก็ในเมื่อมิตรดี สหายดี ต้องการให้เราก้าวไปสู่ที่สูงเช่นนี้ มีหรือเราจะไม่ไป

บางคนก็ให้กำลังใจ "ลับหลัง" [ทั้งที่ยังไม่ทราบเรื่องอะไรเลย!]

"ไปไม่ได้กี่น้ำร้อก คอยดูเถอะ ทำเคร่งดีนัก !"

"ไม่แน่นะอ้อเนี่ย ทำเป็นไฟแรง ต่อไปอาจจะออกไปแต่งงานก็ได้" ว่าแล้วก็ยกตัวอย่างดอกอโศก ที่ร่วงหล่นในอดีตทั้งหลาย ขึ้นมาประกอบการ"อภิปราย" ซึ่งแม้จะด้วยเจตนาอย่างไรก็ตาม ก็ทำให้ดิฉันเตือนตนเองอยู่เสมอว่า บนเส้นทางไปสู่พระนิพพานของเรานี้ จะต้องนำทั้ง"สร้อย" และ"แส้" มาเป็นประโยชน์ให้ได้อย่างเต็มที่โดยถ่ายเดียว เราจึงจะไม่ขาดทุน

ด้วยสำนึกอันหนักแน่น ในเป้าหมายที่จะไปสู่ความอิสระ จากการตกเป็นทาสของกิเลสทั้งปวง และตระหนักอยู่เสมอว่า "ชีวิตเรานี้ อยู่เนื่องด้วยผู้อื่น" กอปรกับปณิธานที่เป็นเกราะแก้วประจำชีวิตว่า

"ชาตินี้ เราจะไม่ขอแย่งสิ่งอันเป็นที่รักของใครมาอย่างเด็ดขาด สิ่งใดแม้เรามีสิทธิอย่างเต็มที่ แต่ถ้ามันเป็นที่รัก ที่ต้องการสำหรับผู้อื่นแล้ว เราจะขอสละให้ทันที"

[เพราะคิดว่า จิตเราได้ฝึกให้ทนต่อความผิดหวัง และการพลัดพรากจากของรัก จนมีความแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่คนอื่นที่ยังต้องการอยู่ เขาอาจอ่อนแอกว่า และจำเป็นกว่าเราก็ได้]

ดิฉันจึงเริ่มพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง ขึ้นจากน้ำอย่างเด็ดขาด และหักมุมความคิดทันที พยายามพิจารณาถึงโทษภัยอันเกิดแต่ความรัก จากตัวอย่างผู้ป่วยที่ประสบในโรงพยาบาล และชีวิตคู่รอบข้างที่ต้องตกเป็นทาสของกันและกันจนชั่วชีวิต

ด้วยความพากเพียรเอาจริง [ถือคติที่ว่า "ทุกอย่างจะสำเร็จได้ด้วยความเพียร”] และศรัทธาที่เต็มเปี่ยมในพระศาสนา ทำให้จิตลอยเหนือขึ้นมาเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อหันกลับไปมองอดีต ก็ยิ่งละอายใจและอดสงสัยไม่ได้ว่า "แหม ทำไมเรานี่โง่หลงผิดขนาดนั้นนะ เสียแรง เสียเวลา และทำ"ขณะ"แห่งการปฏิบัติธรรมให้ตกล่วงไปตั้งนานแน่ะ...พอกันทีความรักมิติที่ ๑ ในชาตินี้"

และได้เตือนตนเองอยู่เสมอว่า ขณะนี้สังคมมนุษยชาติ กำลังใกล้กลียุคไปทุกขณะ ไฟแห่งโลกันต์เริ่มแลบเลียสังคมให้รุ่มร้อนมากขึ้นทุกที ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยดับไฟนี้ได้ งานเข็นกงล้อพระธรรมจักร ยังต้องการพลังหมู่มวลอีกมากนัก ในเมื่อโลกลุกเป็นไฟอยู่อย่างนี้ เราจะทนเสพย์สุขได้อย่างไรกัน การเดินทางไปสู่เป้าหมายของเราขณะนี้ ยังอยู่อีกไกลแสนไกลนัก แต่ถ้าเราขอนั่งพักใจ ชมสวนดอกไม้ข้างทางอยู่ ก็เท่ากับยืดระยะเวลาแห่งการเดินทาง ให้ยิ่งยาวไกลออกไปอีก ในสังสารวัฏอันไม่รู้จบสิ้นนี้

ขณะนี้ไม่ว่าดิฉัน จะวัดความดันโลหิต จะฉีดยา ทำแผล หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม ก็ยังสังวรระวังจิต ตรวจดูอารมณ์ในจิตอยู่เสมอ ถึงมันจะไม่สดชื่นรื่นเริง เหมือนขณะที่หัวใจยังมีความรักหล่อเลี้ยงอยู่ แต่มันก็เข้มแข็งแกร่งกล้าขึ้นมา จากการตกเป็นทาสของกามนิวรณ์ระดับหนึ่ง อย่างสิ้นสงสัยทีเดียว และสดชื่นเบิกบาน อยู่กับการได้ประพฤติตามศีล ที่ได้สมาทานไว้ เพื่อทำให้ละหน่ายคลายจากกิเลส เพื่อดับทุกข์ให้สนิท และเพื่อช่วยงานศาสนาได้อย่างเต็มสติกำลัง ด้วยดวงจิตที่สงบและสังวรอย่างไม่ประมาทอีก

ชาตินี้จะปฏิบัติธรรมไปได้แค่ไหนก็ช่างเถอะ ขอเพียงได้เป็นลูกที่ดี ที่เบาภาระของพ่อท่าน และได้ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ท่ามกลางญาติธรรมชาวอโศก และสังคมมนุษยชาติ ดิฉันก็พอใจแล้ว

"แร้ง (ก็มี) รัก (ได้)"

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๑

 

(สารอโศก อันดับ ๑๕๒ มกราคม ๒๕๓๕)