มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
บทเรียนราคาแพง

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 158 เดือนมกราคม 2536
หน้า 1/1


เวรบ่ายวันนี้ ขณะรับเวร ฉันได้ข้อมูลจากพยาบาลเวรเช้า เกี่ยวกับประวัติของคนไข้ ห้อง ๑๐๖ ว่า หญิงอายุ ๕๖ ปี ผู้นี้ เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสายงานสาธารณสุข เช่นเดียวกับดิฉัน เธอเข้าโรงพยาบาล เพื่อทำรีแพร์ (Repair = การทำศัลยกรรมผ่าตัด เพื่อให้ช่องคลอดกระชับ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ทำสาว นั่นเอง) และวันนี้ แพทย์ทางสูตินรีเวชผู้หนึ่ง ก็ได้ทำผ่าตัดให้ตามที่เธอต้องการ เรียบร้อยแล้ว

ฉันนึกไปถึงเหตุการณ์ เมื่อ ๒ ปีก่อนนั้น มีภรรยาของนายตำรวจ ๓ คน อายุ ๒๐,๒๒ และ ๒๗ ปี ตามลำดับ มารักษาตัวที่แผนกหลังคลอดและนรีเวช เพื่อทำสาว เธอเหล่านั้นนอนเตียงใกล้กัน หัวเราะพูดคุยกันคิกคักอยู่เรื่อย บางทีก็มีเสียง กรี๊ดกร๊าด หรือพูดเล่นกันเสียงดังด้วยภาษาที่ไม่สุภาพเลย ฉันไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่พวกเธอบอกกับฉัน ขณะที่ไปซักประวัติผู้ป่วย พวกเธอต้องการมาทำสาว เพราะไม่ต้องการให้สามีไปมีเมียน้อย ดิฉันนึกในใจว่า ทำไมถึงคิดสั้นๆอย่างนี้ ไร้สาระจริงๆ และยังต้องเจ็บตัวเปล่าๆด้วย เมื่อมีชีวิตคู่ การผูกใจสามี ไม่ใช่เรื่องอย่างนี้เพียงเรื่องเดียวเสียเมื่อไหร่ การยอมรับกัน ให้เกียรติ ให้ความอบอุ่น การอภัย และให้กำลังใจนั่นต่างหาก จะทำให้ชีวิตคู่มีความสุขและยืดยาว [แต่ถ้าปะเหมาะไปเจอ สามี ที่หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องกามารมณ์ ก็คงต้องมองในแง่ดีว่า ตนจะได้เห็นทุกข์ เข็ดหลาบในชีวิตคู่ และถือเป็นเหตุให้เบนเข็มชีวิต เข้าสู่เส้นทางการดับทุกข์ได้เร็วยิ่งขึ้น]

ภาพพจน์ของคนไข้ที่มาทำสาว ที่ฝังไว้ในใจของดิฉันนั้น จะเป็นแง่ลบ คือฉันไม่เห็นด้วยและไม่ค่อยพอใจเลย คนไข้ห้อง ๑๐๖ นี่ก็เหมือนกัน ดูสิ อายุก็ปาเข้าไปตั้ง ๕๖ แล้ว ยังมาทำสาวให้เจ็บตัวอยู่ได้ น่าจะมีความคิดที่ดีๆ และทำอะไรที่มีสาระกว่านี้

ไม่ทันไร ญาติคนไข้ห้อง ๑๐๖ ก็มาบอกว่า คนไข้หลังทำรีแพร์ ปวดแผลผ่าตัดมาก ฉันเข้าไปตรวจดู และได้ฉีดมอร์ฟีนให้ไป ๑ เข็ม เธอบอกว่า เธอปวดทรมานมาก ฉันยิ้ม และปลอบว่า รอให้ยาแก้ปวดออกฤทธิ์สักครู่ เดี๋ยวจะค่อยๆทุเลาขึ้น จะปวดมากก็วันแรกๆนี่แหละ วันต่อๆไปอาการจะดีขึ้นกว่านี้

ฉันเข้าไปช่วยเช็ดตัว ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนผ้านุ่งที่เปื้อนเลือดเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ ทุกครั้งที่ให้ขยับตัว เธอจะร้อง เพราะปวดตึงแผลมาก ฉันวัดความดันโลหิต ชีพจร วัดปรอท และดูอัตราการหายใจ เป็นระยะๆ คอยสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างเอาใจใส่ ต่อน้ำเกลือ ฉีดยาแก้อักเสบให้ตามเวลา ดูแลเรื่องความสะอาด และความสุขสบายทั่วไป เธอพูดขอบอกขอบใจ และชื่นชมฉันมาก วันรุ่งขึ้น แพทย์ยังให้ใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้เหมือนเดิม แต่ให้ดึงผ้าก๊อสที่อัดไว้ เพื่อป้องกันเลือดออกหลังผ่าตัดทิ้งได้

หลังจากฉันดึงผ้าก๊อสออกมาจากช่องคลอดให้เธอแล้ว เธอบอกว่า อาการปวดตึงได้ทุเลาลงไปมาก แพทย์ได้สั่งยาแก้ปวด เป็นยากินแทนยาฉีด แต่เธอก็ไม่ได้ขอยาแก้ปวดอีก

ทุกครั้ง เมื่อฉันเข้าไปวัดความดันโลหิต และปรอท หรือเข้าไปให้ยา เธอจะชวนพูดคุยด้วยนานๆ ดูท่าทางเธอคงถูกชะตากับฉันกระมัง แต่ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจของฉันก็คือ "อายุป่านนี้ น่าจะเข้าวัดได้แล้ว ไม่น่ามาทำสาวเลย"

จนวันที่ห้าของการผ่าตัด อาการเจ็บตึงแผลของเธอทุเลา แต่เวลาลุกนั่งจะรู้สึกค้ำๆ เพราะยังใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ ในตอนสายวันนั้น ฉันได้เข้าไปเอาสายสวนปัสสาวะออกให้ ให้เธอดื่มน้ำมากๆ และแนะนำให้คอยสังเกตอาการขับถ่ายปัสสาวะ ว่าปกติดีหรือมีอาการแสบขัดหรือไม่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอจะชวนฉันพูดคุยอยู่เป็นเวลานาน มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอพูดขึ้นว่า

"ที่พี่มาทำรีแพร์เนี่ย ไม่อยากมาทำเลย แม่คุณ...กระบังลมมันหย่อนแล้ว ยูเทอรัส

(Uterus, Uteri = มดลูก) มันไหลลงมาจุกที่ Vagina ปวดทรมานมา ๒ ปีแล้ว เลยต้องมาทำรีแพร์"

ฉันไม่ได้ตอบว่าอะไร ยิ้มๆแล้วก้าวออกมาจากห้องนั้น ด้วยหัวใจที่อยากจะเข้าไปหาคนไข้อีก แล้วบอกว่า

"ขอโทษนะคะ ที่ใจลึกๆเพ่งโทษมาตลอดว่า แก่แล้วยังมาทำสาวอีก คิดว่า ทำเพื่อให้สามีชอบ เหมือนภรรยานายตำรวจทั้งสามคนนั่น"

แล้วก็บอกสอนตัวเองว่า "จำไว้นะ นิสัยเรา ชอบด่วนสรุปพฤติกรรมของผู้อื่นเร็วเกินไป"

จากเรื่องนี้ ทำให้ฉันนึกไปถึงเหตุการณ์บนรถเมล์ ในกรุงเทพฯเมื่อ ๓ ปีก่อน ครั้งนั้นฉันจำได้ดี ฉันกำลังโหนรถเมล์ไปพร้อมๆกับญาติธรรมหญิงท่านหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นเธอตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด ไม่มีใครลุกให้เธอนั่งเลย (และส่วนใหญ่ ผู้ที่นั่งอยู่เป็นผู้ชาย!) ซ้ำร้ายเมื่อชายคนหนึ่งลุกขึ้น เพื่อจะลงป้ายถัดไป ญาติธรรมท่านนี้ก็จะเข้าไปนั่ง ชายอีกคนหนึ่ง ที่โหนรถอยู่ รีบชิงเข้าไปนั่งแทนเสียก่อนด้วยความรวดเร็ว ยังไม่พอแค่นั้น เวลารถเบรก ชายคนที่ลุกขึ้นจะลงจากรถ ก็เซแล้วเอาข้อศอกและลำตัว มากระแทกท้องของญาติธรรมหญิงท่านนั้นอีก ฉันน่ะยืนดูเหตุการณ์เหล่านี้ อย่างอึดอัดขัดเคืองมาก เรียกว่าช่วงนั้นสร้างนรกขึ้นในใจตัวเองตลอดเลย หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน แทบว่าจะผูกโบได้! นึกในใจว่า ผู้ชายสมัยนี้ช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย ดูซิเนี่ย! คนท้องคนไส้ก็ไม่ลุกให้นั่ง พวกเนี้ยใจร้าย ใจดำ และตับดำด้วย!

ต่อมามีอยู่วันหนึ่ง ฉันมีโอกาสได้ขึ้นรถเมล์ เพื่อไปฟังธรรมที่สันติอโศก ที่นั่งบนรถเมล์คันนั้นเต็มหมด ฉันจึงต้องยืนโหนรถเมล์อยู่ตรงส่วนกลางของคันรถ ผู้หญิงตั้งครรภ์แก่คนหนึ่ง ขึ้นมาจากตลาดหมอชิต เธอโหนรถเมล์อยู่ข้างหน้าฉัน แล้ว เหตุการณ์ก็เป็นเช่นวันก่อนอีก ไม่มีใครลุกให้เธอนั่งเลย พอรถเบรก เธอก็เซเอาท้องไปปะทะพนักพิงเบาะข้างหน้า เบาะนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ หญิงครรภ์แก่คนนี้ ได้ใช้มือทั้งสองยึดพนักพิงนั้นไว้แน่น แต่พอรถเบรกทุกครั้ง ตัวเธอก็เซไปมา และ ท้องก็กระแทกกับพนักพิงทุกครั้ง ชายคนนั้นยังนั่งนิ่งเฉยอยู่ เหมือนทองไม่รู้ร้อน (ราวกับจะบอกว่า "ฉันไม่ลุกให้เธอนั่งซะอย่าง มีอะไรอ๊ะป่าว?!) ฉัน (ผู้ชำนาญในสาขาการเพ่งโทษ) คิดในใจว่า จิตใจของผู้ชายคนนี้ทำด้วยอะไรนะ ทำไมไม่ลุกให้ผู้หญิงท้องนั่ง เขาไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ ใจดำจริงเชียว!

รถเมล์ยังแล่นไปเรื่อยๆ สายตาของฉันจับจ้องตรงไปยังชายคนนั้นตลอด นี่ถ้าหากตาของฉัน เป็นลูกธนูละก็ มันคงจะพุ่งเข้าไปปักชายคนนั้นม่อยกระรอกไปแล้ว รถแล่นมาถึงบางกะปิ หญิงครรภ์แก่ผู้นั้นยังโหนรถมาตลอด ชายคนนั้นค่อยๆลุกขึ้นช้าๆอย่างระมัดระวัง และทันทีนั้นเอง ฉันก็เห็นว่า ขาซ้ายบนชายผู้นั้น ขาดหายไป อนิจจา...เขาขาพิการหรือนี่! เขาค่อยๆหยิบ Crush (ไม้ค้ำ) ข้างๆตัว (ซึ่งดิฉันไม่เห็นแต่แรก) มาค้ำตรงรักแร้ แล้วค่อยๆเดินอย่างลำบาก ลงจากรถไป

ดิฉันตะลึงมองภาพนั้น ในหัวใจน่ะ พูดขอโทษขอโพยชายผู้นั้นเป็นการใหญ่ ที่ไปเพ่งโทษเขาแต่แรก

จริงสินะ ใครทำอะไร แสดงพฤติกรรมอย่างไร เขาก็ย่อมมีเหตุผลของเขา เราเองต่างหากที่รีบด่วนสรุปพฤติกรรมภายนอกของเขาเร็วเกินไป โดยใช้ประสบการณ์ที่เราได้รับแต่อดีตมาตัดสินคิดว่า คงจะมีเหตุผลเหมือนกัน ที่จริงแล้ว ความคิดคาดคะเนของเราอาจไม่ถูกต้องเสมอไปก็ได้

ชายคนนั้นไม่ได้ลุกให้หญิงครรภ์แก่นั่ง เพราะเขาขาพิการ เขาไม่พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือคนอื่น วันก่อนก็เหมือนกัน ที่ไม่มีใครลุกให้ญาติธรรมหญิงครรภ์แก่นั่ง ก็เพราะผู้ชายเหล่านั้น ไม่พร้อมที่จะเสียสละ จิตวิญญาณของพวกเขาอาจไม่ได้รับการอบรม ให้เห็นคุณค่าของการได้มีโอกาสเสียสละ ชายคนที่รีบชิงที่นั่งจากคนท้อง เขาอาจยืนมานานจนเมื่อยมาก หรือกำลังไม่สบายอยู่ ชายคนที่เซมากระแทกท้องนั่น เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เขารีบจะก้าวลงจากรถ และรถเมล์ก็เบรกแรงด้วย

ตัวเราเองต่างหาก ที่ควรจะหันมามองตน ขัดเกลาจิตใจที่เพ่งโทษด่วนสรุปผู้อื่น มาเป็นการให้เกียรติต่อความคิดเห็นของเพื่อนมนุษย์แต่ละคน เปิดความคิดจิตใจให้กว้าง มองโลกในแง่ดี ปรับจิตวิญญาณให้อบอุ่น และเป็นภราดรภาพ กับเพื่อนมนุษย์ให้มากกว่านี้

วันหนึ่งดิฉันได้ฟังเทศน์ ที่ศาลีอโศก สมณะท่านหนึ่ง เล่านิทานให้ฟังว่า

มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง มีลูกอ่อน เธอเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง มันจงรักภักดีกับเธอมาโดยตลอด วันหนึ่งเธอไปซักผ้าที่ท่าน้ำ ปล่อยให้สุนัขตัวนั้นเฝ้าลูกน้อยไว้ที่บ้าน ครู่ใหญ่ เจ้าสุนัขตัวนั้นก็วิ่งไปหาเธอที่ท่าน้ำ ด้วยอาการลิงโลด ปากของมันเปื้อนเลือดสดๆสีแดงฉานเข้มข้น! หญิงผู้นั้นตกใจแทบสิ้นสติ เจ้าสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ตัวนี้ ได้ฆ่าบุตรสุดที่รักของเธอเสียแล้ว ความเสียใจและโกรธแค้น เธอจึงคว้าได้ท่อนไม้ไล่ทุบตีเจ้าสุนัขตัวนั้นจนตาย แต่เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน เธอก็พบว่าลูกน้อยของเธอยังนอนหลับอย่างมีความสุขอยู่ในเปลเช่นเดิม โดยข้างๆเปลนั้น มีซากของงูเห่าตัวหนึ่งที่เพิ่งตายใหม่ๆ เธอจึงเข้าใจเหตุการณ์โดยตลอดว่า แท้จริงเจ้าสุนัขผู้จงรักภักดีนั่น มันได้เสี่ยงชีวิต เข้าต่อสู้กับงูเห่า ที่จะมาทำร้ายลูกอ่อนของนายมัน จนได้ชัยชนะ และวิ่งไปที่ท่าน้ำ เพื่อจะอวดวีรกรรมของมันกับเธอ

หญิงชาวบ้านคนนั้นเสียใจมาก ที่ตนได้ฆ่าผู้มีพระคุณ และมิตรที่ดีที่สุดของตนเองไป ด้วยเหตุที่เธอด่วนสรุปพฤติกรรมที่มองเห็นตรงหน้านั่นเอง

สิ่งที่เห็นประจักษ์แก่ตา มิได้หมายความว่าจะเป็นสิ่งที่เราเข้าใจถูกต้อง เชื่อมั่นลงความเห็นว่าจริงได้เสมอไป อาจจะมีอะไรลึกซึ้งซ่อนอยู่ในนั้น โดยที่เราไม่รู้ก็ได้

ฉันคิดว่าฉันยังโชคดีกว่าหญิงผู้นี้มากนัก ตรงที่ได้พบธรรมะ มีมิตรดี สหายดี ช่วยประคับประคองจิตวิญญาณ และยังไม่ได้สูญเสียอะไรมากเท่าเธอ

ใครก็เคยทำผิดพลาดมากันแล้วทั้งนั้น ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่น่าตำหนิเสมอไป แต่การที่รู้ว่าผิด แล้วไม่ยอมแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นนี่ต่างหาก ที่น่าตำหนิจริงๆ

จากบทเรียนราคาแพงต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต การได้มองตน ตรวจพิจารณา และได้รู้ข้อบกพร่องผิดพลาดของตน และได้ใช้ธรรมะมาขัดเกลาความไม่ดีต่างๆออกไปจากจิตวิญญาณทีละน้อย การน้อมรับขุมทรัพย์จากผู้อื่น เพื่อนำมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุงตน การฝึกทำใจให้กว้าง ให้เกียรติความคิดและเหตุผลของผู้อื่น การไม่รีบด่วนสรุปเหตุการณ์และพฤติกรรมของผู้อื่นเร็วเกินไป สิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมจิตวิญญาณของฉัน ให้สุขุมอ่อนโยน และมีความเป็นภราดรภาพมากขึ้น อันจะช่วย นำความร่มเย็นมาสู่จิตใจของตน ทั้งเป็นที่พึ่งที่ให้ความอบอุ่นกับคนไข้ และเพื่อน มนุษย์ได้ตลอดไป

"ลูกไกลพ่อ"
๒:๓๕ น. ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๕

 

(สารอโศก อันดับ ๑๕๘ ม.ค.๒๕๓๖)