มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
ความฝันกับชีวิตจริง

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 161 เดือนเมษายน 2537
หน้า 1/1


"...จากนั้นเจ้าหญิง และ เจ้าชาย ก็กลับมาครองรักร่วมกัน และ มีความสุขชั่วกาลนาน"

นิทาน ที่เคยได้ฟัง สมัย ที่ฉันยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอยู่ ยังจำได้ดี ขณะนั้นฉันรู้สึกว่า โลกนี้สวยสดงดงามไปเสียทุกอย่าง

อารมณ์โรแมนติกเช่นนี้ ติดตัวมาจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ เวลาเดินทางนั่งรถไปไหนไกลๆ ฉันก็จะชื่นชมธรรมชาติสองข้างทาง ท้องทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างไกลสุดสายตา แสงแดดสดใสอบอุ่น สายลมพัดเย็น พันธุ์ไม้ดอกนานาบานสะพรั่ง งามจริงๆ

จะว่าเป็นเรื่องตลก ที่แสนเศร้าก็ดูจะไม่ผิดนัก ในชีวิตแห่งความเป็นจริง ฉันมีงาน ที่ต้องรับผิดชอบมากมาย งานให้การพยาบาลดูแลคนไข้ในโรงพยาบาล ทำให้ฉันได้เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็น ที่รัก ได้เห็นน้ำตาแห่งความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็น ที่รัก และ จากการประสบกับสิ่งอันไม่พึงปรารถนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เหตุการณ์ในความฝันอันสวยสดงดงาม กับชีวิตจริง ดูจะไปด้วยกันไม่ได้เอาเสียเลยทีเดียว

มีบางช่วง ของชีวิต ( ของผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งอย่างฉัน) ที่หัวใจหวั่นไหว ล่องลอยไปกับโลกสีชมพู ของความรัก ฉันก็จะได้อยู่ในดินแดนแห่ง "ภารตฝัน" ไม่นานเลยจะต้องมีเหตุการณ์ต่างๆมากระตุ้นเตือนให้ฉันกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงทุกครั้งไป โลกสีชมพูในฝันช่างสวยสดงดงาม เต็มไปด้วยความสุข แต่ชีวิตจริงๆ ของฉัน ต้องทำงานในโรงพยาบาล ให้การพยาบาลดูแลช่วยเหลือคนเจ็บป่วย คน ที่มีความทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกาย และ จิตใจ

คนไข้บางคนมีไข้สูงปวดศีรษะมาก ฉันจะไต่ถามอาการอย่างเอาใจใส่ ฉันเอามือไปอัง ที่หน้าผาก ของเขา ฉันเช็ดตัวให้เพื่อลดไข้ ฉันฉีดยาเพื่อลดอาการปวดแผล คนไข้ ที่มีหนองเน่าเหม็นอยู่ในแผลเรื้อรังเหวอะหวะ ฉันจะล้างแผล และ ค่อยๆรีดหนองออกมาอย่างเบามือ ญาติ ที่ร่ำไห้เพราะคนไข้เสียชีวิตลงไป ฉันจะยกมือโอบปลอบประโลมอย่างเห็นใจ ในโลกแห่งความจริงสอนฉันว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้น ที่เวียนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ เสื่อมไป

ทุกครั้ง ที่ให้การพยาบาลคนไข้ ฉันจะมองตามมือทั้งสองข้าง ของฉัน อันมีรูปลักษณ์ดุจใบตาล! (เพราะมันทั้งกว้าง และ ใหญ่...หาความงามมิได้!) สำนึกภายในบอกกับตัวเองว่า

"มือทั้งสองนี้ สร้างมาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้พ้นจาก ความทุกข์ทรมาน มิใช่เพื่อกอบโกย หรือ แย่งชิงสิ่งต่างๆเข้ามาให้กับตัวเอง (ถ้ากอบโกยก็คงได้มากกว่าคนอื่น เพราะมือมันใหญ่!)...ชีวิตนี้มิได้เกิดมาเพื่อรัก หากเกิดมาเพื่อให้"

เสียงแว่วเตือนสติจากผู้ ที่ฉันเทิดทูนบูชาท่านหนึ่ง ดังขึ้นอีกว่า

"คน ที่จะทำงาน บำบัดทุกข์ให้เพื่อนมนุษย์นั้น จะมัวเสพย์สุข จะมัวยึดแต่บุคคลอันเป็น ที่รักมิได้เลยแม้แต่น้อย ถ้ามีความรักกับใครเป็นพิเศษ ความเมตตาย่อมถูกจำกัด ดวงจิตย่อมเจือด้วยอคติ การตัดสินใจใดๆจะไม่ประกอบพร้อมด้วยปัญญาบริสุทธิ์"

มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะ ที่ฉันออกเวรเป็นเวลาเ ที่ยงคืนกว่า และ กำลังถีบจักรยาน (คู่ชีพ!) กลับไปยังแฟลต ที่พัก ถนนหนทางว่างโล่ง และ เงียบสงบจริงๆ อากาศกลางคืนเยือกเย็น สายลมพัดมากระทบชุดขาวเป็นระยะๆ พระจันทร์สีเงินในคืนเพ็ญทอแสงงาม กระจ่าง ฉันรำพึงในใจว่า

"คืนนี้ฟ้างามสะอาดตาจริงๆ" เพลงหวานแต่อดีต ดังแว่วขึ้นมาในใจ

"จันทร์กระจ่างฟ้า...นภาประดับด้วยดาว โลกสวยราวเนรมิต ประมวลเมืองแมน"

ความคิด ของฉันสะดุดลงเพียงนั้น เมื่อมีสุนัขสีขาวตัวหนึ่ง วิ่งตัดหน้ารถผ่านไป ความสว่างจากแสงจันทร์ ทำให้ฉันเห็นว่า มันเป็นสุนัขขี้เรื้อนด้วย!

ฉันยิ้มให้กับตัวเองอย่างขันๆ เป็นอย่างนี้ทุกทีซีน่า! ...ความสุขอันแสนหวานอันเป็นดุจภาพมายา มักหลุดลอยไปรวดเร็วเสมอ จากเรื่องสุนัขขี้เรื้อนวิ่งตัดหน้าไปนี้ ก็เหมือนจะเตือนบอกว่า อย่ามัวฝันหวานชมดอกไม้ข้างทางอยู่เลย แท้จริงโลก ที่เราเห็นว่างดงามอยู่นี้ ก็คือแดน ที่สัตว์โลก ต้องเกิดมาทุกข์ มาใช้หนี้กรรมทั้งสิ้น...สัตว์โลก ที่ทุกข์ทรมาน (เช่นสุนัขขี้เรื้อนตัวนี้) ที่รอคอยความช่วยเหลือ รอการปลดเปลื้องทุกข์ ยังมีอีกมากมายนัก

เราเองก็เถอะหากมัวเอ้อระเหยลอยชายอยู่ อาจมีสักกี่ชาติ ที่วิบากกรรมบางชุด ทำให้ต้องมาเกิดเป็นสุนัขสีขาว (แทน ที่จะเป็นมนุษย์สีขาว!) แถมยังเป็นขี้เรื้อนทั้งตัวอีกต่างหาก!

พระพุทธองค์ตรัสว่าวิบากกรรมอันเป็นดุจหมาไล่เนื้อ หากเราหยุดอยู่ในการสร้างกุศลกรรม...ในการขัดเกลาจิตวิญญาณ ของตนเองวิบากกรรมหนัก ที่เคยไปสร้างไว้บางชาติ ก็จะตามมาทัน ทีนี้ก็จะไม่มี "ขณะ" ไม่ใช่ "กาละ" ที่จะฝึกฝนตน และ สร้างบุญบารมีอีกต่อไป

ขณะ ที่กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่ ฉันกำลังได้รับความสะเทือนใจอย่างมาก จากเรื่องราว ที่ได้เกิดขึ้นมาในชีวิต หลังจาก ที่หยุดงานไปหลายวัน พอมาขึ้นเวรเช้าวันนั้นฉันก็ได้ทราบจากเพื่อนร่วมงาน และ จากข่าวหน้าหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ว่า ข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่ง ประสบอุบัติเหตุรถชนกัน และ เสียชีวิตขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เขาผู้นี้คือสามี ของพี่พยาบาลคนหนึ่ง ที่สนิทกับฉันมาก และ "พี่ชัย" ผู้ตาย ก็สนิทกับฉันมากเช่นกัน พี่ชัยแก่กว่าฉัน ๓ ปี เราเกิดราศีเดียวกัน แทบจะเป็นวันเดียวกัน ความคิดความอ่านเหมือนกันในเกือบทุกเรื่อง ต่างกันตรงการดำเนินชีวิตเท่านั้น

ฉันยังจำได้ดี เมื่อ ๘ ปีก่อน งานแต่งงาน ของพี่ชัย และ พี่สุ เป็นงานสุดท้าย ของงานแต่งงาน ที่ฉันไปร่วมงาน (เพราะสนิทกันทั้งสองฝ่ายมาก) งานนั้นจัดใหญ่โตหรูหรามาก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และ แขกผู้มีเกียรติ มาร่วมอวยพรกันคับคั่ง ชีวิตคู่หลังแต่งงาน ของพี่ชัย และ พี่สุ แรกๆก็หอมหวานเหมือนคู่อื่นๆ ไม่นานฉันก็ต้องกลายเป็น ที่ปรึกษาจำเป็น ที่คอยฟังปัญหาความขัดแย้ง การกระทบกระทั่งกันในชีวิตคู่ มีหลายเรื่อง ที่ทั้งสองฝ่ายต้องปรับเข้าหากัน ไหนจะปัญหาญาติทั้งสองฝ่าย ที่เข้ามาก้าวก่าย ปัญหาการอบรมเลี้ยงดูลูก การใช้จ่ายเงินทองภายในบ้าน บางครั้งก็มีเรื่อง "ผู้หญิงอื่น" เข้ามาเป็นบุคคล ที่สามด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทางฝ่ายพี่สุดูจะเดือดร้อน และ ทุกข์ใจมากกว่าเรื่องอื่น

เมื่อสองอาทิตย์ก่อน พี่สุก็มาร้องไห้ปรับทุกข์ เพราะเกิดเรื่องขัดแย้งทะเลาะกันอีก เหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะทั้งสองฝ่าย ต่างก็มีทิฐิ ของตนเอง ไม่พยายามปรับตัวเข้าหากัน ทุกครั้ง ที่พี่สุมาหา ฉันก็จะรับฟังปัญหา พยายามปลอบใจ ให้กำลังใจ ให้ความรู้เรื่องสัจธรรมกับเธอไปบ้าง ซึ่งก็ทำให้พี่สุสบายใจขึ้น

สองวันต่อมา เธอก็มาบอกว่า "เราดีกันแล้ว เข้าใจกันแล้ว" ด้วยใบหน้า ที่มีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส

สี่วันก่อนฉันอยู่เวรบ่าย พี่สุอยู่เวรพยาบาลตรวจอาการ เธอดีใจ ที่เราอยู่เวรตรงกัน และ พาลูกสาวคนเดียว ของเธอมาอยู่กับฉัน ที่หอผู้ป่วยด้วย

เมื่อมีเวลาว่างจากงานดูแลคนไข้ ฉันก็จะเล่านิทานคติธรรม และ ชวนลูกสาว ของพี่สุเล่นกันอย่างสนุกสนาน (ถือโอกาส "ปล่อยแก่" ไปด้วยในตัว!)

สี่ทุ่มแล้วพี่ชัยซึ่งไปตีเทนนิส นัดว่าจะมารับลูก ก็ยังไม่มา ทุกคนก็เฝ้ารอจนห้าทุ่ม พี่สุทนไม่ไหว จึงบ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า เขาไม่ตรงเวลา ไม่รักษาคำพูด ฉัน จึงปลอบว่า พี่ชัยอาจติดธุระฉุกเฉินอะไรอยู่ก็ได้ แต่ในใจนึกอนุโมทนาตัวเองว่า

"เราสิโชคดี จะขึ้นเวรลงเวร ไม่ต้องรอให้ใครมารับมาส่ง ชีวิตโสดนี่ช่างอิสระเสรีจริงๆ"

จนเ ที่ยงคืน พี่สุ จึงพาลูกกลับบ้านด้วยรถสามล้อเครื่อง ๒๐ นาทีต่อมาพี่ชัยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในชุดนักกีฬา ทำท่าน่าขำ...เหมือนเด็กมีความผิดติดตัว

"อ้อ!...สุล่ะ!?" พี่ชัยถามอย่างรีบร้อน

ฉันได้ที เลยวางมาดผู้ใหญ่เต็ม ที่ (นานๆจะได้อบรมผู้ใหญ่เสียที)

"พี่เขาพาลูกกลับไปบ้านแล้ว...ทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะ รีบไปเลยนะ รู้สึกพี่สุจะงอนด้วยแหละ"

พี่ชัยวิ่งจี๋ไปยังรถเก๋ง แล้วขับออกไปจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ฉันมองตามไปอย่างขำๆ ยังจำภาพนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่นึกเลยว่าจะเป็นภาพสุดท้าย ที่ได้เห็น ขณะ ที่พี่ชัยมีชีวิตอยู่ หากรู้สักนิดว่า อีกสามวันต่อมาเขาจะเสียชีวิต ฉันก็คงไม่ล้อเล่น และ จะพูดกับเขาให้ดีกว่านั้น ให้สมกับ ที่จะเป็นประโยคสุดท้ายในชีวิต ที่เราจะพูดกัน!

ในงานศพพี่ชัย ฉัน และ เพื่อนพยาบาลอีกสองคน ต้องทำหน้า ที่รับแขก ส่วนพี่สุก็เอาแต่ร้องไห้เสียใจ จนหน้าตาบวม มันกระทันหันเกินไป ที่หัวใจอันบอบบาง ของเธอ จะรับคลื่นมรสุมชีวิต ที่โหดร้ายนี้ได้ทัน บ่อยครั้ง ที่น้ำตาพี่สุไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เธอหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร หากไม่มีลูกอยู่ เธอก็จะขอตายตามเขาไปด้วยแล้ว เธอบอกกับฉันอย่างนั้น

ช่วงอาบน้ำศพ ฉันเอามือไปแตะมือ ที่ขาวซีด และ เย็นชืด ของพี่ชัยอย่างจงใจ หากวิญญาณ ของเขารับรู้ได้ ฉันก็จะบอกพี่ชัยว่า ในชาติต่อๆไป ขอให้พี่เบนเข็มชีวิตเข้าสู่ทางธรรมให้มากกว่านี้ ใช้เวลา ของชีวิตไปกับการสร้างกุศลกรรม และ ขัดเกลา กิเลสออกไปให้มาก ที่สุด อย่าได้เป็นห่วงลูก และ ภรรยาเลย ฉันเองก็จะทำหน้า ที่เพื่อน ในยามทุกข์ยาก ที่ดี ที่สุดเท่า ที่จะทำได้ สำหรับพี่สุ และ ลูกต่อไป

วันเวลาแห่งความสุข ของพี่ทั้งสอง ดูช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน

ร่าง ของพี่ชัยเพื่อนสนิท ที่แสนดีคนหนึ่ง กำลังถูกเผามอดไหม้ไปในกองเพลิงแล้ว ทิ้งภรรยา และ ลูกให้นำนาวาชีวิต ล่องลอยไปในวัฎฎสงสารแต่เพียงลำพัง

"จากนั้น เจ้าหญิง และ เจ้าชาย ก็กลับมาครองรักร่วมกัน และ มีความสุขชั่วกาลนาน"

ในโลกแห่งนิทาน ใครจะเสกสรรปั้นแต่ง ให้งดงามเท่าใดก็ได้ แต่ในชีวิตจริง ที่ต้องเผชิญอยู่ ก็คือ ความทุกข์ทั้งสิ้น...ทุกข์เพราะพลัดพรากจากบุคคล หรือ สิ่งอันเป็น ที่รัก และ ทุกข์เพราะประสบกับบุคคล หรือ สิ่งอันไม่เป็น ที่รัก

ฉันได้ยินหมอคนหนึ่ง บอกกับพี่สุว่า

"อธิษฐานซิ ขอให้ได้เกิดมารักกันอีกทุกชาติๆ"

ฉันยิ้มในใจ...

ความทุกข์ ที่พี่สุกำลังประสบอยู่นี้ ก็มากมายน่าจะเพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ตื่นจากความฝันมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ละ หน่าย คลายจาก ความรัก ความเกาะเกี่ยวผูกพันได้แล้วทำไม จึงต้องไปอธิษฐาน ให้ผูกพันกันอีกในชาติต่อๆไป...ความรัก ความผูกพันข้ามชาตินี้ จะต่างอะไรกับการจองเวรจองกรรมกัน...ผูกกันไว้ไม่ให้หลุดพ้น และ อยู่เหนือทุกข์ได้

ดังพระพุทธพจน์ ที่ว่า "ขึ้นชื่อว่า ผู้เป็น ที่รัก ไม่เป็น ที่พึ่งได้ เป็นผู้กีดกั้น เธอ ที่จะไปสู่ปรโลก"

นิทานชีวิตรัก ปิดฉากลงอีกคู่หนึ่งแล้ว หากเป็นทางโลก ก็อาจสรุปให้เพราะพริ้งจับใจว่า

"คนดี ที่รัก ฉันยังรักเธออยู่ จงมาได้โปรดรับรู้ วิญญาณ ที่อยู่แดนฟ้า ฉันก่อนจะนอน เฝ้าวิงวอนให้เทพเทวา ให้เราพบกันชาติหน้า ขอบูชารักเธอทุกชาติ"

ความรัก ที่ผูกพันกันเช่นนั้น เป็นความรัก ที่แท้จริง หรือ ฉันถามตัวเอง และ กลับเห็นด้วยกับข้อความ ที่ว่า

"ความรัก ที่แท้จริง คือการปลดปล่อย สู่ความเป็นอิสระด้วยกันทุกฝ่าย ขณะใด จิตซึมซาบ อยู่กับ"ความหลุดพ้น" ขณะนั้นชื่อว่าเป็นทั้งผู้ปลดปล่อย และ ผู้ได้รับการปลดปล่อย เป็นทั้งผู้ให้ความรัก และ ผู้รับความรัก จากสากลจักรวาล"

บันทึกฉบับนี้ เขียนขึ้นในช่วงผ่านเทศกาลวันแห่งความรักมาไม่นาน

ในปีนี้ (ใกล้ความตายเข้าไปอีกปีหนึ่งแล้ว) พวกเรานักปฏิบัติธรรมทุกท่าน คงมีความรัก ที่มิติสูงยิ่งๆขึ้น ไม่เบียดเบียนผูกพันกัน ปลดปล่อยหัวใจไปสู่ความอิสระเสรี รัก ที่จะเห็นกัน และ กัน ก้าวขึ้นสู่ความประเสริฐ ความบริสุทธิ์สะอาด ในการประพฤติพรหมจรรย์ ยิ่งๆขึ้นไป ฉันเองก็จะพยายาม ตื่นจากโลกแห่งความฝัน มาอยู่กับชีวิตแห่งสัจธรรมความเป็นจริงให้มาก ที่สุดเท่า ที่จะทำได้เช่นกัน

และ ขอให้เพื่อนนักปฏิบัติธรรมทุกท่าน รวมทั้งตัวข้อยเอง เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุ

ลูกไกลพ่อ
๒ มีนาคม ๒๕๓๖; ๓.๓๐ น.

 

(สารอโศก อันดับ ๑๖๑ เม.ย. – พ.ค. ๒๕๓๖)